ในฐานะประธาน กปปส. ขอมอบกระทู้ให้บุคคลอับปี เอ๊ย บุคคลแห่งปี 2556

กระทู้สนทนา
อมยิ้ม01

"believe it or not"

ปี 2538
ชายคนหนึ่งเป็น รมช.กระทรวงเกษตรฯ
ดูแลกรมที่ดิน เขาได้แจกที่ดิน สปก.4-01 เนื้อที่ 90 ไร่
ซึ่งเป็นที่ดินสำหรับแจกเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน
ให้กับเศรษฐีคนหนึ่งที่ไม่ใช่เกษตรกรและเป็นสามีของเลขาฯส่วนตัวของเขาเอง

ในปีนั้น เมื่อเรื่องถูกเปิดเผย
เศรษฐีคนนั้นก็ไม่ยอมคืนที่ดิน สปก.ที่ได้รับแจก
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ออกมาปกป้องเขาว่า
การแจกที่ดิน สปก. ก็เหมือนการสอบชิงทุน
ไม่ว่าใครจะรวยหรือจน หากสอบได้ก็ต้องได้ทุนไป
ปกป้องกันถึงขนาดยอมยุบสภาฯ

คงไม่ต้องบอกนะครับว่า นายกฯคนนั้นคือใคร
และวันนี้ นายกฯคนนั้นก็ยังสนับสนุนชายคนนี้อยู่ทุกวัน
แม้บ้านเมืองจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
เพราะถือว่าเป็นพวกเดียวกัน  มีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกัน

หลายปีต่อมา ศาลฎีกาก็ได้พิพากษา
ให้เศรษฐีคนนั้นคืนที่ดิน สปก. ให้กับกรมที่ดิน
หลังจากที่ครอบครองทำประโยชน์มานานถึง 12 ปี
ไม่มีคดีความใด ๆ ในเรื่องนี้  จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง
และวันนี้  ก็ไม่มีใครรู้ว่าผืนดิน สปก.4-01 ผืนนี้เป็นอย่างไร  ใครใช้ประโยชน์อยู่


และในปี 2538 ชายคนหนึ่ง
ที่ดำรงตำแหน่ง รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ได้อนุมัตโครงการสร้างโรงบ่มยางพาราในภาคใต้
ด้วยการอ้างว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพยาง
สร้างในทุกตำบล ตำบลละสองโรง
ด้วยงบประมาณแผ่นดิน 900 ล้านบาท

ด้วยการจ้างผู้รับเหมารายเดียว !!!

ผลก็คือ โรงบ่มยางสร้างไม่เสร็จ
กลายเป็นโรงบ่มยางร้าง ผู้รับเหมาทิ้งงาน
สร้างความเสียหายให้ราชการหลายร้อยล้านบาท

15 ปีต่อมา  พ.ศ. 2553
ชายคนหนึ่งเป็นรองนายกฯ
ได้อนุม้ติให้มีการสร้างสถานีตำรวจใหม่แทนของเก่า
ซึ่งเรียกกันว่าโครงการสร้างโรงพักทดแทน
จำนวน 361 โรงพักทั่วประเทศ
ด้วยงบประมาณหลายพันล้านบาท

ด้วยการจ้างผู้รับเหมารายเดียว !!!

ผลก็คือ
การก่อสร้างโรงพักทดแทนได้สร้างความเดือดร้อนให้ตำรวจทั่วประเทศ
เพราะผู้รับเหมาทุบโรงพักเก่าเพื่อสร้างโรงพักใหม่
แต่การสร้างโรงพักใหม่กลับไม่คืบหน้า มีแค่เสาโรงพักโด่เด่
ตำรวจไม่มีโรงพักทำงาน
ต้องไปอาศัยวัดบ้าง โรงรถบ้าง โรงเรียนบ้าง ฯลฯ เป็นโรงพักจำเป็น

และสุดท้าย ผู้รับเหมาก็ทิ้งงาน
สร้างความเสียหายให้แก่ราชการกว่าพันล้านบาท

ปี 2553-2554
ชายคนหนึ่งเป็นรองนายกฯ
และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการน้ำมันปาล์มแห่งชาติ
ในช่วงนั้น ประเทศไทยก็เกิดวิกฤตน้ำมันปาล์ม
น้ำมันปาล์มขาดตลาดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จนประชาชนต้องเข้าคิวกันซื้อน้ำมันปาล์ม
ถึงขั้นทะเลาะชกต่อยกันเพราะแย่งกันซื้อ

ราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นสูงลิ่วขวดละ 18 บาท
จากราคาขวดละ 37 บาท เป็นขวดละ 55 บาท
รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงด้วยการให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือ
ด้วยการจ่ายเงินให้ผู้ผลิต 9 บาท
เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันปาล์มไม่ให้สูงเกินไป
และให้ประชาชนรับภาระส่วนที่เพิ่มขึ้นอีก 9 บาทเอง
ซึ่งหมายความว่า น้ำมันปาล์มขวดละ 55 บาท
รัฐบาลจ่ายให้ผู้ผลิต 9 บาท เพื่อให้ขายในราคา 46 บาท
และให้ประชาชนรับภาระส่วนที่เพิ่มขึ้นอีก 9 บาทเอง
ซึ่งต้องใช้งบประมาณหลายร้อยล้านบาท

กินทั้งเงินหลวง กินทั้งเงินราษฎร์
ไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ
คือทั้งหลวงทั้งราษฎร์ โดนกินคนละ 9 บาทเท่า ๆ กัน

แต่แปลก เมื่อหมดระยะเวลาที่รัฐต้องจ่ายเงินอุดหนุน
น้ำมันปาล์มที่เคยขาดตลาด ที่ฝาขวดบอกว่ารัฐอุดหนุน
กลับมีวางขายกันเกร่อ เหมือนไม่เคยขาดตลาดมาก่อน
และราคาน้ำมันปาล์มก็ลดลงดื้อ ๆ

ชายคนหนึ่ง ตอนเป็นรองนายกฯเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว
แจ้งบัญชีทรัพย์สินผิดปกติหลายอย่าง
เช่น แจ้งว่ามีที่ดินมูลค่า 8 ล้านกว่าบาท
แต่อีกไม่ถึงสามเดือน เมื่อต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินอีกครั้ง
เขากลับแจ้งว่าที่ดินแปลงเดิม เนื้อที่เท่าเดิมนั้น
มีมูลค่า 38 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาทในระยะเวลาแค่สามเดือน

เขาแจ้งบัญชีทรัพย์สินว่า
มีรายได้จาการทำสวนปาล์มสวนยาง 41 ล้านบาท
แต่ในรายการบัญชีทรัพย์สินของเขา
กลับไม่ปรากฎว่าเขามีสวนปาล์มและสวนยาง
แล้วรายได้จากสวนปาล์ม สวนยางของเขามาจากไหน ?

เรื่องแจ้งบัญชีทรัพย์สินนี้ มีผู้เห็นความผิดปกติ
ได้ทำการร้องเรียนไปยัง ปปช. นานแล้ว
แต่ไม่รู้ ปปช. สอบถึงไหน

เงียบกริบ !!!
(แต่ ปปช. กลับชี้มูลได้ว่าแซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี
แจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ
ทั้งที่หากลำดับความสำคัญแล้ว แซมห่างเยอะ
เพราะแซมเป็นแค่ ส.ส. ฝ่ายค้าน ขณะที่ชานคนนั้น
เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีโอกาสทุจริตกว่าแซมหลายเท่า)


ช่วงราว ๆ ปี 2543
ลือกันให้แซ่ดว่าชายคนหนึ่ง  ชื่อสุริยะ  
ซึ่งตอนนั้นยังตัดสินใจไม่ได้ว่า  จะเข้าสังกัดพรรคการเมืองพรรคไหน   ระหว่างพรรคเก่าแก่  กับพรรคที่กำลังจะเกิดใหม่ซิง ๆ
ถูกเชิญไปกินแกงไตปลาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ที่เจ้าบ้านมีตำแหน่งเป็นถึง รมต.กระทรวงใหญ่ในขณะนั้น
เจ้าบ้านก็ต้อนรับอย่างดี  กินไปคุยกันไป

ได้จังหวะ  เจ้าบ้านก็พูดขึ้นว่า  ช่วยสมทบทุนพรรคผมหน่อยสิ
โดนไถเอาดื้อ ๆ  แขกผู้ไปเยือนแทบสำลักแกงไตปลา
จำใจต้องเขียนเชคมูลค่าห้าล้านบาทให้เป็นค่าแกงไตปลามื้อนั้น
เป็นอาหารมื้อที่แพงที่สุดของเสี่ยสุริยะ...


นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับชายคนนี้

ที่วันนี้ เขากำลังกลายเป็นวีรบุรุษผู้จะพลิกแผ่นดิน
ให้ประเทศไทยกลายเป็นเมืองพระศรีอาริย์
ให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยอันสมบูรณ์
ให้ฟ้าเมืองไทยสีทองอำไพ ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

เชื่อหรือไม่ !!!


ผมก็ลืมไปแล้วครับว่าชายคนนี้ชื่ออะไร เป็นใคร
จำได้แต่ว่า ชายคนนี้ หน้าดำ ๆ แขนคด ๆ
ชอบแลบลิ้นแพล่บ ๆ

ใครอยากรู้ก็ค้นหาเอาเองครับว่าเป็นใคร ชื่ออะไร

ผมมันประเภทความจำไม่ดีเหมือนหน้าตา
ลืมจริง ๆ ครับ
อมยิ้ม01

..................................................................


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่