สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
การเปิดบริษัท หรือ หจก.(ในรูปแบบของคุณ คือ paper company) ค่าใช้จ่ายที่ตามมาแน่นอน คือ การจัดทำงบการเงิน และการเซ็นต์งบการเงิน
สิ้นปี รวมทั้ง การจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (ผมไม่ทราบว่า ใน กรณีธุรกิจของคุณ ต้อง คิด ภาษีมูลค่าเพิ่มจากลุกค้า แล้ว นำภาษีมูลค่าเพิ่มสุทธิ
มาชำระให้ กรมสรรพากร หรือ ไม่ หากใช่ ก้ต้องมี คชจ. ในการจัดเตรียม และ ยื่นชำระ ทุกๆเดือน)
สำหรับ การจ้าง พนักงาน ก็ควรให้เหมาะสม กับ ขนาดของรายได้ ของบริษัท ถึงแม้ เงินเดือนที่ตั้งอาจจะไม่ถึงขึ้นต้องเสียภาษีรายได้
แต่ ส่วนหนึ่งที่คุณต้องจ่ายให้ เขาแน่ๆคือ เงินประกันสังคม ที่ บริษัท ต้องจ่ายส่วนหนึ่ง (สมทบ) และ คุณ ต้องออกให้เขาอีกส่วนหนึ่งเพราะ เขาคง
ไม่ต้องออกเองเนื่องจากคุณ เอาชื่อเขามาใช้
ค่าน้ำ ค่าไฟ หาก ใบเสร็จค่าน้ำต่าไฟ ไม่ได้ออกเป็นชื่อ บริษัท คงเป็นการยากที่จะนำมาหัก เป็น ค่าใช้จ่าย
ค่าเช่าสถานที่ตั้งบริษัท คุณ ต้อง ทำเหมือนว่า จ่ายค่าเช่าให้แม่คุณจริงๆ โดยการ หักภาษี ณ ที่จ่าย จากค่าเช่า และนำส่งให้ สรรพากร ทุกเดือน
และ แม่คุณ ก็ ต้อง นำเอาค่าเช่าที่ได้รับได้ แจ้งเป็นรายได้ ตอนเสียภาษีเงินได้ด้วย แต่ ภาษี หัก ณ ที่จ่ายทุกเดือน แม่คุณ ก็นำมาหักภาษีได้
รถ อันนี้ ง่ายๆ คุณ ต้อง ขาย รถคุณ ให้เป็นของบริษัท โอนทะเบียนเป็นของบริษัทเสีย ค่าเสื่อม รถ ก็ ตัดปีละ20% บิลค่าซ่อม ค่าน้ำมัน
ให้ออกเป็นชื่อ บริษัท นำมาหักได้ทั้งหมด รวมทั้ง แวต ด้วย
คชจ อื่นๆ ก้ อาจจะมีพวก ค่ารับรอง ค่าของขวัญสิ้นปี อุปกรณ์ สำนักงาน พวกนี้ก้หักได้ตามสมควร
คุณควรตั้งเงินเดือนให้ตัวคุณด้วย ในส่วนนี้ คง ไม่น่าจะน้อยเกินไป(แบบ ตั้งใจให้ไม่เสียภาษี คงไม่น่าจะน้อยแบบนั้น)
เป็นผม ผมเปิด บริษัท ครับ และ ทำมันจริงๆจังๆเป็นเรื่องเป็นราวด้วย ขยับขยายให้มันใหญ่โตขึ้นไป ไม่ทำเป็น paper company
สิ้นปี รวมทั้ง การจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (ผมไม่ทราบว่า ใน กรณีธุรกิจของคุณ ต้อง คิด ภาษีมูลค่าเพิ่มจากลุกค้า แล้ว นำภาษีมูลค่าเพิ่มสุทธิ
มาชำระให้ กรมสรรพากร หรือ ไม่ หากใช่ ก้ต้องมี คชจ. ในการจัดเตรียม และ ยื่นชำระ ทุกๆเดือน)
สำหรับ การจ้าง พนักงาน ก็ควรให้เหมาะสม กับ ขนาดของรายได้ ของบริษัท ถึงแม้ เงินเดือนที่ตั้งอาจจะไม่ถึงขึ้นต้องเสียภาษีรายได้
แต่ ส่วนหนึ่งที่คุณต้องจ่ายให้ เขาแน่ๆคือ เงินประกันสังคม ที่ บริษัท ต้องจ่ายส่วนหนึ่ง (สมทบ) และ คุณ ต้องออกให้เขาอีกส่วนหนึ่งเพราะ เขาคง
ไม่ต้องออกเองเนื่องจากคุณ เอาชื่อเขามาใช้
ค่าน้ำ ค่าไฟ หาก ใบเสร็จค่าน้ำต่าไฟ ไม่ได้ออกเป็นชื่อ บริษัท คงเป็นการยากที่จะนำมาหัก เป็น ค่าใช้จ่าย
ค่าเช่าสถานที่ตั้งบริษัท คุณ ต้อง ทำเหมือนว่า จ่ายค่าเช่าให้แม่คุณจริงๆ โดยการ หักภาษี ณ ที่จ่าย จากค่าเช่า และนำส่งให้ สรรพากร ทุกเดือน
และ แม่คุณ ก็ ต้อง นำเอาค่าเช่าที่ได้รับได้ แจ้งเป็นรายได้ ตอนเสียภาษีเงินได้ด้วย แต่ ภาษี หัก ณ ที่จ่ายทุกเดือน แม่คุณ ก็นำมาหักภาษีได้
รถ อันนี้ ง่ายๆ คุณ ต้อง ขาย รถคุณ ให้เป็นของบริษัท โอนทะเบียนเป็นของบริษัทเสีย ค่าเสื่อม รถ ก็ ตัดปีละ20% บิลค่าซ่อม ค่าน้ำมัน
ให้ออกเป็นชื่อ บริษัท นำมาหักได้ทั้งหมด รวมทั้ง แวต ด้วย
คชจ อื่นๆ ก้ อาจจะมีพวก ค่ารับรอง ค่าของขวัญสิ้นปี อุปกรณ์ สำนักงาน พวกนี้ก้หักได้ตามสมควร
คุณควรตั้งเงินเดือนให้ตัวคุณด้วย ในส่วนนี้ คง ไม่น่าจะน้อยเกินไป(แบบ ตั้งใจให้ไม่เสียภาษี คงไม่น่าจะน้อยแบบนั้น)
เป็นผม ผมเปิด บริษัท ครับ และ ทำมันจริงๆจังๆเป็นเรื่องเป็นราวด้วย ขยับขยายให้มันใหญ่โตขึ้นไป ไม่ทำเป็น paper company
แสดงความคิดเห็น
เปิด บ. หรือ หจก. หรือ ไม่เปิดดีกว่า!!
ปัจจุบันเป็นฟรีแลนซ์ครับทำงาน เขียนภาพ 3D รับงานจากบริษัทออกแบบ เดลเวลลอปเปอร์ โดยลูกค้ารู้จักเราจากการบอกต่อๆกันครับ ทำมาปีที่ 3แล้วครับ
ลักษณะงาน คือใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานเป็นหลัก ส่งงานงานเป็น file ครับ ทำงานคนเดียวทั้งหมด ตั้งแต่เอกสาร เสนอราคา วางบิล จนถึงเก็บเช็ค จึงดูเหมือนว่าไม่มีต้นทุน ไม่มีใบเสร็จ ไม่มีพนักงาน ในการผลิต ใช้แต่แรงกาย กับทักษะในการทำงาน
ประเด็นของผมคือ
1. รายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย อยู่ที่ 1-1.2 ล้าน ต่อปี (ผมจบสถาปัตยกรรม จึงสามารถหักค่าใช่จ่ายแบบเหมารวม 30% ก่อนนำไปคิดภาษีได้ครับ) แต่ผมก็ยังต้องเสียภาษีอยู๋ประมาณ 3.5-4.5 หมื่น ปกติงานที่รับจะถูกหักภาษีณที่จ่าย 3% ทุกครั้งที่รับงาน ผมไม่เคยได้รับเงินคืนเลยครับ มีแต่จ่ายเพิ่ม //ประกันชีวิต เงินบริจาค LMF ดอกเบี้ยบ่าน ทำทุกวิธีในการลดภาษี
2.ในบางครั้ง งานเยอะมาก ผมสับงานต่อให้คนรู้จักทำ แต่ใช้ชื่อผมรับและกินเป็น 5-10% ไปครับ (อยากให้ลูกค้าอยู๋กับเราครับ) แต่แย่หน่อยเวลาคำนวนภาษี มันดูไม่คุ้มเอาซะเลย รายได้จริงที่เอาไปคำนวนภาษี
3. เป้าหมายที่เปิด บริษัท ไม่ใช่เรื่อง ความน่าเชื่อถือครับเพราะ ลูกค้าเลือกเราเพระาผลงาน แต่ ในอนาคตถ้าผมรับงานมากขึ้นและมีสับงานต่อให้คนร็จักทำมากขึ้น ฐานภาษีสูงขึ้นผมก็คงจะแย่แน่!!
เท่าที่ผมส่งภาษีมา 2-3 ปีที่ผ่านมา
การหักค่าใช่จ่ายแบบเหมารวมของบุคคลธรรมดารายได้ 1-1.2 ล้าน ต่อปี เฉลี่ยอยุ๋ที่ 3-3.6 แสน ต่อปี หรือเฉลี่ยคร่าว 30,000 ต่อเดือน/**กรณีนี้ผมจบสถาปัตยกรรม
ผมเลยมองมาที่การ เปิด บ. หรือ หจก. โดยความต้องการผมคือ
1.การเพิ่มค่าใช่จ่ายให้เป็นรูปแบบ จริงๆ
- การจ้างพนักงาน (จำลองขึ้น อาจจะเป้นแฟน หรือญาติ) สัก 2-3 คน วางเงินเดือนไว้ 1.5-1.8 หมื่นต่อเดือน (ไม่ให้เสียภาษีพอ)
- ค่าน้ำ ค่าไฟ อื่นๆ (มาทำเป็นค่าใช้จ่าย บริษัทได้ไหม)
- ค่าเช่าสำนักงาน (ปัจจุบันตึกเป็นตึกแถวชื่อแม่ )
- ค่าน้ำมันรถ (ถ้าเอารถส่วนตัว มาทำเป็นค่าใช้จ่าย บริษัทได้ไหม)
- อื่นๆ มีแนะนำไหมครับ
โดยเฉลี่ยแล้วหักเป็นค่าใช่จ่าย แบบมีใบเสร็จจริง น่าจะได้อยู่ 4-6 หมื่นต่อเดือน ซึ่งมากกว่าการหักค่าใช่จ่ายแบบเหมารวม
2.สามารถออกใบหัก ณที่จ่าย ในกรณีที่ผมรับงาน และส่งต่อให้คนอื่น เพื่อจะได้หักเป็นค่าใช้จ่ายจริง เวลาจ้างงานคนอื่น
3.เพิ่มความน่าเชื่อถือ
4.แน่นอนว่าคงต้องตามมาด้วยเรื่อง เอกสารและภาษี!!!!!!! ซึ่งก็พอหาข้อมูลไว้บ้างครับแต่ต้องศึกษาเพิ่มเติม
ผมไม่แน่ใจว่าที่ผมคิดมานี้ จะถูกต้องหรือไหม หรือมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าช่วยแนะนำผมด้วยครับ