The Good German (2006)



Genre: Drama, Mystery, Thriller, Romance, Noir

Director: Steven Soderbergh
Novel: Joseph Kanon
Screenplay: Paul Attanasio

ขอแสดงความยินดีกับ The Good German ที่ได้รับเลือกจากผมให้เป็นหนังดูข้ามปี ฮ่าๆๆๆ

ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อหนังคือไปอ่านเจอมาว่าโซเดอเบิร์กยกหนังของเขาเทียบกับ Casablanca ไอ้ผมก็ถึงกับทำตาโต O_O รีบเปิดดูข้อมูลใน IMDb ว่าไอ้ Casablanca ของโซเดอเบิร์กมันต้องสุดยอดแน่ ๆ ปรากฎว่าคะแนน IMDb 6.1 นักวิจารณ์เฉลี่ย 49/100 - -" นี่มันคืออะไร ฮ่าๆๆ

The Good German ดัดแปลงจากนิยายอิงเหตุการณ์จริงของโจเซฟ กานอนว่าด้วยเรื่องของเจค (George Clooney) นักข่าวอเมริกันที่เข้าไปติดตามทำข่าวการเจรจาสันติภาพระหว่างอเมริกากับรัสเซีย นอกจากเจคจะมาทำข่าวแล้วเขายังมีจุดประสงค์จะมาตามหาลีน่า (Cate Blanchett) คนรักเก่าของเขาสมัยที่เขาทำงานในเบอร์ลินก่อนสงคราม แล้วเจคก็ต้องพบว่าลีน่าเป็นแฟนกับทัลลี่ (Tobey Maguire) คนขับรถของเขา แต่ยังไม่ทันไรทัลลี่ก็ถูกฆ่าตายในเขตพื้นที่ของรัสเซีย พร้อมกับปริศนาว่าทำไมทั้งอเมริกาและรัสเซียถึงได้ตามหานักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกันนัก

หลังดูจบผมก็รู้สึกว่าหนังมันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนะ หะหะ ผมค่อนข้างชอบ The Good German ในระดับหนึ่ง ผมชอบในแง่ที่ว่ามันเป็นการหยิบจับทดลองทำงานใหม่ ๆ ไม่ย่ำอยู่กับที่ของโซเดอเบิร์ก โอเคว่าหนังในภาพรวมอาจจะไม่ได้ดีขนาดยกขึ้นหิ้ง แต่เมื่อเทียบกับงานในยุค 2000 กับการที่ผู้กำกับคนหนึ่งลุกขึ้นมาทำงานใหม่ ๆ ในสไตล์ลอกแบบจากหนังฟิล์มนัวร์ยุค 40 ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ ควรค่าแก่การชื่นชมครับ

เอาตั้งแต่การเลือกถ่ายแบบฟิล์มขาวดำ ซึ่งงานในยุคก่อนปี 2006 ที่ใช้ฟิล์มขาวดำก็มีแค่ไม่กี่เรื่องเช่น Good Night, and Good Luck, 13 Tzameti, The Man Who Wasn't There, Werckmeister Harmonies แล้วการที่หนังใช้ขนาดภาพที่ไม่ใช่ widescreen แบบหนังสมัยใหม่ แต่หนังมาในลักษณะเหมือนทีวียุคเก่าสัดส่วนภาพ 4:3 (The Good German ใช้สัดส่วนภาพ 1.66 : 1 ส่วนหนังยุค 40 จะใช้สัดส่วน 1.37 : 1 ที่ไม่สามารถทำให้เป๊ะ ๆ ไปเลยได้นั้นเป็นเพราะโรงหนังสมัยใหม่ไม่รองรับขนาดภาพต่ำกว่า 1.66 : 1 ครับ ขนาด The Good German ถ่ายแบบ 1.66 ยังต้องปริ๊นท์ฟิล์มสำหรับฉายโรงเป็น 1.85 : 1 โดยเพิ่มแถบดำไว้ทั้งสองข้างครับ)
และที่สำคัญคือเป็นการถ่ายทำแบบขาวดำเทคนิคเดียวกับหนังสมัยก่อนล้วน ๆ ตั้งแต่การถือไมค์ไว้เหนือหัว การจัดแสงเล่นเงาแบบไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ การแก้ไขเลนส์ให้มีระยะโฟกัสเหมือนเทคโนโลยียุค 40 พูดง่าย ๆ คือเขาทดลองทำงานแบบที่ผู้กำกับและทีมงานถ่ายหนังสมัยยุค 1940 ทำกันนั่นเอง

ในส่วนของบทหนังต้องแบ่งเป็นสามส่วนคือ
1. หนังสะท้อนสถานภาพของเยอรมันหลังสงคราม
- ตรงนี้หนังทำออกมาในระดับเป็นพื้นหลังเฉย ๆ ก็มีพูดถึงการแบ่งเค้กของผู้ชนะสงคราม สภาพบ้านเมืองหลังสงบศึก
2. หนังรักโรแมนติกแบบ Casablanca
- อันนี้เห็นโปสเตอร์ที่ได้อิทธิพลจาก Casablanca บวกกับมีบางฉากในหนังที่ยืม Casablanca มาเป๊ะ ๆ แต่กระนั้นผมคงไม่อาจเอื้อมนำความโรแมนติกของหนังไปเทียบกับงานหนังรักคลาสสิกอันดับหนึ่งตลอดกาลอย่าง Casablanca หรอกครับ หะหะ
มุมโรแมนติกใน The Good German ยังห่างไกลคำว่าโรแมนซ์แฮะ แม้จะมีเส้นเรื่องเกี่ยวกับความรักแต่หนังไม่ได้ใส่ปมที่มาความรักของแต่ละตัวละครทำให้ดูยังไงก็ไม่อินครับ พอไม่อินแบบนี้ช่วงท้ายเลยไม่พีคไม่ซึ้งสักเท่าไร
3. หนังแนวสืบสวนแบบ The Third Man
- ตัวเอกเป็นนักข่าวอยากสืบคดีฆาตกรรมลึกลับว่าทำไมผู้คนถึงตามหาคนที่ตายไปแล้ว แหม่ ได้กลิ่นอิทธิพลงานฟิล์มนัวร์ยุค 40 ฮ่า ๆ แนวสืบสวนไม่เข้มข้นเลยครับ ถ้าคอหนังแนวสืบสวนมาดู ผมบอกได้เลยว่าผิดหวังกันแน่ ๆ ตอนสืบมันเหมือนจะมีอะไรประเภทไขคดีเจอความจริงทีละนิดแต่พอดูจนจบมันก็ไม่มีอะไรให้จำเลย หะหะ

ซึ่งทั้งสามส่วนมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่สุดสักด้าน พอมาผสมกันก็ไม่ค่อยกลมกล่อมสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดจะบอกว่ารับไม่ได้ครับ

อีกอย่างที่ชอบคือการเดินเรื่องโดยป๋าจอร์จ ป๋าแกเป็นส่วนดีส่วนหนึ่งของหนังเลย หล่อมีออร่าแม้จะเป็นหนังขาวดำ ส่วนเคต บลังเชตต์มาพร้อมกับลักษณะตัวละครเต็มไปด้วยความลับไม่รู้เด่นเพราะการแสดงหรือการจัดแสง หะหะ

ถ้าผมเป็นนักวิจารณ์ผมก็จะตำหนิในเรื่องของบทหนังที่ยังไม่ค่อยโอเคเท่าไร แต่จะให้กำลังใจและชื่นชมโซเดอเบิร์กในฐานะที่เป็นผู้กำกับที่ทดลองงานใหม่ ๆ เลียนแบบการถ่ายหนังยุค 40 ตรงนี้เป็นอะไรที่ผมชอบและชื่นชมเขามาก และผมก็ขอเชียร์ให้คนรักโซเดอเบิร์ก/ป๋าจอร์จได้ลองหามาชมกันสักครั้งครับ

7.5/10

ใครสนใจรีวิวหนังเก่า/หนังใหม่ ขอเชิญติดตามกันได้ที่ https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms เลยครับ