เพิ่งถูกบอกเลิกมาครับ..จะเข้ามาด่า มาคุยอะไรกันก็ได้ครับ..ผมมึนไปหมดแล้ว

เพิ่งถูกบอกเลิกเลยครับ...บอกตรงๆยังงงๆมึนอยู่ อยากเข้ามาระบายครับ...
ส่วนตัวแล้วชีวิตผมไม่ค่อยมีใครหรอกครับ มีพ่อ แม่ น้อง2คน กับแมวอีกตัว ครอบครัวนี่ต้องบอกว่าแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีเลยแหละครับ พ่อมีครอบครัวใหม่ แม่มีครอบครัวใหม่ ผมอยู่กับน้องแค่สองคน (อีกคนอยู่กับแม่) ชีวิตก็มีเท่านี้แหละครับ เหตุการณ์ตอนนั้นยอมรับเลยว่ามีผลกระทบต่อชีวิตมาก ผมเลยไม่ค่อยเชื่อใจใครอีก เพื่อนนี่ ณ ตอนนี้อายุ 26 ทั้งชีวิตมีเพื่อนที่สนิทจริงๆประมาณ 5 คนได้ครับ เพราะเป้นคนเก็บตัวด้วย รวมถึงผมจะไม่ค่อยเป้นพวกชอบสานต่ออะไร บอกตรงๆว่าอาจเพราะอัธยาศัยไม่ค่อยดี ขี้อายด้วยนะครับ้ลยไม่ค่อยได้คุยกับใคร

ความรักผมมีแฟนมาเรื่อยๆนะครับ แปลกดี ทั้งๆที่เป็นคนแบบนี้ สมัยก่อนผมเป็นคนที่เหมือนขี้เบื่อครับ พอได้คบใครเข้าแล้วรู้สึกว่าเค้าไม่พยายามจะมีเป้าหมายอะไรนอกจากมาเกาะแกะผม อยู่ผมก็จะหนีทันที บอกเลิกดื้อๆก็เคยครับ ยอมรับเลยว่าเลวมาก จนเจอกับคนปัจจุบันนี่แหละครับ

ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย จากสมัยก่อนผมเอาแต่เที่ยวๆๆๆๆ เมาสลบอยู่ไหนก็ไม่รู้ เที่ยวจนแม่ร้องไห้ จนตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อสถานที่แบบนั้นไปเลยครับ ผมแค่อยากมีชีวิตที่มีเวลาให้เค้าเยอะๆ ทั้งแฟนทั้งแม่  ส่วนการงานจากเมื่อก่อนเบื่อนิดเบื่อหน่อยผมก็ย้ายทันทีที่มีที่ที่ให้เงินเยอะกว่า จนมาถึงวันนี้ผมมุ่งมั่นกับการทำงานครับ ส่วนใหญ่ไม่ใช่อยากเติบโตในหน้าที่การงานหรอกครับ ผมแค่อยากหาเงินให้ได้เยอะที่สุดนั้นเอง ตอนนี้เลยทำทั้งเงินประจำ สอนพิเศษที่บ้าน และรับฟรีแล้นบ้างแล้วแต่ใครถามนะครับ รายรับประมาณ 35 ส่วนตัวก็ค่อนข้างพอใจครับ

.....
ความรักกับคนนี้ จะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่ ฝ่าฝันมาเยอะกว่าจะได้เป้นแฟนก็ได้นะ แรกเธอค่อนข้างปิดใจมาก เป็นการจีบที่ไม่รู้สิ ถ้าเจอวาจากับการกระทำหลายๆอย่างของเธอแรกๆเป้นคนอื่นคงท้อและเสียเซลฟ์ไปหมดแล้วแต่ตอนนั้นไม่รู้พลังอะไร ที่ผลักดันคนขี้เกียจ แบบผมให้ไม่ท้อ และหน้าด้านหน้าทนจีบจนตรงลงปลงใจ จนวันนี้ก็ประมาณสองปีแล้วครับ

ความสันพันธ์ก็มีทะเลาะบ้างครับ ตามสไตล์ลูกผู้หญิงคนเล็ก เอาแต่ใจหน่อยๆ แต่ผมก็เข้าใจนะครับ บวกกับผมจบโทจิตวิทยามา เลยเบรคๆได้บ้าง...แต่ไม่ได้บ้างก็มี 555 อะไรที่รู้สึกรักเค้ามากๆก็คงเพราะเค้าพาเราไปหาครอบครัวเค้าแหละครับ ผมรุ้สึกพิเศษขึ้นมามากๆเลยละ
พ่อแม่เค้าก็ดีกับเรานะ ดีมากๆ ทุกวันนี้ ก็ไปส่งเขาที่บ้านทุกวัน ศ เสา ก็นอนบ้านเค้านี่แหละครับ ดูแลเราเหมือนคนในบ้านคนนึง

เรื่องที่ทะเลาะกันบ่อยนี่ก็คงเพราะความต่างนี่แหละมั้งครับ ผมจะเป้นคนติดบ้านมากๆ งานสังคมจะไม่ค่อยเอาเลย พวกงานแต่ง งานเลี้ยงรุ่น หรืองานที่ต้องเจอคนเยอะๆนี่ ไม่ชอบเลยครับ ไม่ชอบเวลาคนที่รู้จักกันผิวๆต้องมาแต่งตัวหรือมายิ้มให้กันมัน เกร็งๆ แต่เค้าจะชอบออกไปเจอเพื่อน เค้าเป้นคนเพื่อนเยอะครับ หลายกลุ่ม หลายคน เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนมหาลัย เพื่อนคณะ เพื่อนมัธยม ทุกครั้งก็ต้อง กระเตงผมไปด้วยนี่แหละครับ ซึ่งยอมรับตรงๆว่าไปแล้วมันไม่เอ็นจอยเลย เราไม่รู้จักใคร มันจะเหมือนมีบรรยากาศที่มาคุด้วย หลายๆอย่าง อาจะเพราะเค้าจบมหาลัยที่ดีกว่าผมด้วยแหละครับ มันจะเหมือนมีเส้นบางๆที่พอคุยกันแล้วเราจะเหมือนด้อยกว่าทุกที แต่ผมก็ไปกะเค้าแทบทุกครั้งนะครับ แต่ยอมรับจริงๆว่าไม่ใช่คนที่ ทักใคร หรือเจ๊าะแจ๊ะเก่ง เลยอึนๆตลอด (ปกติคนอื่นเป้นแบบนี้กันรึเปล่า)

อาจะด้วยบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยมั้งครับ มันมีความต่างโผล่เข้ามาเรื่อยๆ เช่น ผมเป้นคนที่ชอบอะไรถูกๆครับ ชอบติดดินๆ แต่เค้าจะชอบแนวๆอาหารตามพวกรีวิว ดาดฟ้าโรงแรม ร้านในทองหล่ออะไรประมาณนี้ ทุกอาทิตย์ก็จะมีรีเควสมาแล้วว่าอยากกินนั่นกินนี้ มื้อนึงมันก็เป้นพัน หรือเกือบพันทุกที ชอบกินค๊อกเทล แก้วละ 300 400 บางทีก้โอเคแหละครับ(ถ้าเป้นต้นเดือน55) แต่ด้วยความที่แม่ผมเป้นคนทำกับข้าวผมเลยไม่ค่อยหรรษากับการกินอาหารนอกบ้าน 1000 นึงกินได้ทั้งอาทิตย์กินกันได้ทั้งบ้าน แต่ก็ไม่เคยปฏิเศษนะครับ ถ้ามีเงิน...แต่แอบเสียดายเงินนี่ก้ประจำ อย่างที่เคยบอกไปว่า เงินเดือนประมาณ 35 ก้จริง แต่หนี้ผมก็เยอะครับ เหลือใช้ประมาณเดือนละ  15-20
....

ส่วนตัวผมไม่ติดอะไรพวกนี้หรอกครับ ความชอบของเค้า เห้นเค้ามีความสุขก็โอเค แต่มันเริ่มเดือดร้อนก้ตรงที่ ผมมีความชัดเจนขึ้นนี่แหละครับ ผม...."อยากแต่งงาน" กับเค้าครับ ผมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ก็เข้ามาสร้างเป้าหมายให้คนที่แม้แต่ครอบครัวก็ไม่เหลือแบบผมด้วยครับ...

เรากล้าคุยกันเรื่องนี้แบบจริงจัง เพราะผมเองก็เริ่มยืนหลักได้แล้ว เค้าเองก็มั่นคงดีแล้ว ไปมาหาสู่พ่อแม่กันและกันได้ไม่มีปัญหา (แต่ยังไม่ได้บอกนะพ่อแม่เรื่องแต่งครับ...) ผมเริ่มเล่าโร้ดแมพของผมให้เขาฟัง (จริงจังมาก 555) ว่าหลังจากผ่อนรถหมดแล้ว ผมจะเริ่มดาวน์บ้าน แล้วถ้าบ้านเสร็จก็แต่งแล้วเข้าบ้านได้เลย..ซึ่งการพูดคุยมันจริงจังครับไม่ได้เหมือนกับเวลาที่ตอนเด็กๆเราคบผู้หญิงซักคนแล้วก็ฟุ้งๆโม้ให้เขาฟัง
ผมพูดไปว่า ผมเองต้องเริ่มเก้บเงินจริงจังแล้วนะ แต่ไปใช้กินใช้เล่นแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ซึ่งเวลาพูดกันก็เหมือนจะเข้าใจดีครับ...แต่นิสัยหรือความชอบมันก็เปลี่ยนกันไม่ได้

สุดท้ายมันก็กลับมาเป้นแบบเดิมครับ เธอมักจะมีความสุขหรืออยากไปเที่ยวไหนต่อไหน อยากเจอเพื่อนเหมือนเดิม แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าปริมาณมันเพิ่มขึ้น เงินผมก็ต้องเก็บ(เพื่อเค้า เพื่ออนาคต) ความสุขของเขาเราก็ต้องดูแล จนมันเริ่มไม่บาล้านกัน...
มันกลายเป้นว่า ทุกครั้งที่เข้าอยากไป ผมเองก็ต้องเริ่มปฏิเสธ แต่กลับกลายเป้นว่าเค้ามองว่าเราไม่เห้นแก่ความสุขของเขาเองครับ

ไอ้ประเด็นไม่เห้นแก่ความสุข ที่เขาว่ามา หนะแหละที่มันเริ่มขยายตัว
ผมปฏิเสธบ่อยขึ้น (แต่ก็ยังไปอยู่นะเพียงแต่มันถี่น้อยลง) เค้าก็คิดว่าผมไม่รักเขาเหมือนเดิมและเริ่มมีดีมานมากขึ้น ความต่างจากที่เล็กๆน้อยก็เริ่มขยายขึ้น หลังๆนี่ผมมักจะถูกบ่นว่าไม่สนใจเพราะผมเอาแต่ห่วงบอล หรือเล่นเกมด้วยนะครับ ทั้งๆที่ 6 วันผมอยู่กับเค้าตลอด เกมที่เล่นก้คือ แบกโน้ตบุคมานั่งเล่นข้างกันเลย(ไม่ได้อุปมานะ นั่งติดกันเลย แล้วก็ชวนเค้ามามีส่วนร่วมด้วยตลอด) แล้วก็เล่นแค่ตอนที่เราอยู่กันเฉยๆหรือตอนเขานอนด้วยซ้ำ เวลาที่อยู่ด้วยกันจริงๆก็ไม่เคยเอามาปะปนเลยครับ ส่วนเรื่องฟุตบอลเองผมจะเขาเค้าอาทิตย์ละวันที่จะขอกลับบ้านเร็วหน่อย ประมาณสามทุ่มครึ่ง (ทุกวันผมจะไปส่งเขาที่บ้านแล้วอยู่ถึงสี่ทุ่ม แล้วขับรถกับบ้านถึงบ้านประมาณห้าทุ่ม) เพื่อมานั่งดูบอลที่มันรีรันหนะครับ บอลสดไม่เคยได้ดู 555 แต่ก็ไม่เครียดหรอกครับ เปิดเจอผลบอลใน fb ก็พยายามหลับตามแล้วเลื่อนผ่านๆไป อยากลุ้นหน้าจอ 555

จนถึงเมื่อวานที่เป้นจุดแตกหักนั่นแหละครับ เค้าเหมือนจะอยากไปนั่งชิล อะไรประมาณนี้ จริงๆผมก้รับปากไว้แหละครับ แต่เราไม่ได้กำหนดวันกันจริงจัง พอเป็นเมื่อเย็นพอเลยขับรถไปรับที่ออฟฟิส (ปกติถ้ารู้ว่าต้องไปเมาผมจะไม่เอารถไปเลยครับ ผมกลัวด่านยิ่งคนไม่มีเส้นมีสายแบบผมด้วยถ้ามาเสีย หลายๆหมื่นนี่ไม่ดีแน่ๆครับ) เราชวนไปดูหนังแทน เค้าก้เลยเปรยๆมาเหมือนว่าเราตกลงกับเขาไว้ แต่ผมเองก็ไม่ค่อยอยากไปแหละครับเอาตรงๆ ผมเสียดายตัง ดูหนังผมยังดูสกาล่าเลย 555  อยากประหยัดเงินไว้เพราะอีกเดี๊ยวก็จะต้องไปเมืองนอกกับเค้าเพราะจองตั๋วจองที่พักไว้หมดเเล้ว เลยอยากประหยัด  ยังไม่ทันได้ร่ายเหตุผลก็ถูกหงุดหงิด แล้วก็จบคืนวันศุกร์ไปดื้อๆแบบนั้นแหละครับ กลับบ้าน(เค้า)ปิดไฟนอน ตัวใครตัวมัน

เช้ามามันก็ยังคงกรุ่นๆอยู่ ต่างคนก็ต่างก็เงียบตึงครับ จนเค้าทนไม่ไหวเลยขอเคลีย ต่างคนก็ต่างเริ่มพูดในมุมขอตนเองแหละครับ จนเขาหลุดมาว่าถ้าจะเป้นแบบนี้ก็เลิกกันดีกว่า นั้นเเหละครับที่ผมเซ็นสิทีฟมาก...

เพราะจริงๆเรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งตอนที่งอนๆกันแล้วเขาไปพูดกับเพื่อนเค้าว่าอยากเลิกกับผม(แต่ก็รุ้นะครับว่าตอนนั้นแค่งอนมากกว่า) เลยไม่ได้โกรธอะไรมาก แต่ก็บอกไปว่าเสียนะใจที่พูดแบบนี้ ถ้าคราวหน้าพูดอีกทีขอให้คนแบบนั้นจริงๆ แล้วอยากเลิกจริงๆ.....จนเมื่อวานนี้แหละครับที่ได้ยินจากปากเค้าอีกครั้ง...แน่นอนโดนไล่เปิดเปิงออกมาจากบ้านเค้า เลยขับรถกลับบ้าน ทั้งโมโหทั้งเสียใจ ...ไม่คิดว่าเค้าจะพูดมันออกมาจริงๆ ซึ่งคราวนี้มันคงจะจริงแหละครับ..

จากที่เคยมีจุดมุ่งหมาย มีไฟในการใช้ชีวิต มันเลยกลับมาเป้น 0 อีกแล้ว ท้อครับ ไม่รู้จะเดินต่อไปยังไง แม่ผมเองก้ยังไม่รู้เรื่อง ยังจะซื้อขนมมาฝากและเอ็นดูเค้า ผมไม่กล้าบอกแม่เลยครับ ขอบคุณที่มาอ่านสิ่งที่ผมระบายตรงนี้นะครับ ขออย่างเดียว อย่าคอมเม้นว่าผู้หญิงเลยนะครับยังไงเธอก็เป้นครึ่งหนึ่งของผม เสียใจครับ เสียใจสุดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่