หลังจากที่มีหลายกระทู้ วิเคราะห์ถึงแทคติกเหนือเมฆของโค้ชมูรินโก้ของเรา ในสองนัดสุดท้ายรอบแรก ทั้งในการดึงเชงเสมอพม่าและกัมพูชา รวมทั้งการล้างใบเหลืองแบบสุดเนียนในตำนาน แต่หลังจากที่ผมได้ดูตารางคะแนนและผลการแข่งขันอย่างละเอียดทำให้ได้รู้ว่า จริงๆแล้วนั้น ทีมสุดยอดแห่งแท็คติคและการหลอกลวงยิ่งกว่า นั่นคือ...โค้ช Rahmad Darmawan หรือ ราหมัดเบนิเตซ (ผมตั้งเอง)ของอินโดนีเซีย
นัดที่ 1 อินโดนีเซีย คือทีมที่โดนเจ้าภาพจัดโปรแกรมได้เสียเปรียบที่สุดในสายบี (นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล้างแค้นพม่า) ด้วยโปรแกรมการเตะที่ถี่ยิบ แต่อินโดนีเซียต้องเริ่มเตะช้ากว่าทีมอื่นสองวัน นั่นคือ อินโดนีเซียต้องเตะแบบแทบจะแบบวันเว้นวันไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ อินโดนีเซียเริ่มนัดแรกกับกัมพูชาที่ไทยกล้าเสมอในนัดสุดท้ายซึ่งไทยได้เข้ารอบแน่นอนก่อนอยู่แล้ว แต่อินโดนีเซียกล้ากว่านั้น คือกล้าที่จะชนะกัมพูชาแค่ 1-0 ในนัดแรก ทำไมอินโดทำเช่นนั้น
1.อินโดนีเซียศึกษากฏมาเป็นอย่างดีว่าการแข่งครั้งนี้ใช้กฏ Head to Head นั่นคือประตูได้เสียนั้นมีผลน้อยต่อการเข้ารอบ จึงเล่นแบบถนอมตัวไว้
2.นี่คือการหลอกล่อครั้งที่ 1 ให้ทุกคนเห็นว่าอินโด จิ๊บๆ ไม่ใช่ทีมน่ากลัวอะไรในการแข่งครั้งนี้
นัดที่ 2 อินโดพบไทย โค้ชอินโดคงคาดการณ์แล้วว่าในซีเกมส์ครั้งนี้ ไทยนี่แหละคือทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ที่อินโดจะต้องไปวัดด้วยในนัดชิงชนะเลิศ (อินโดได้มองข้ามช็อตไปถึงนัดชิงแล้ว) และสื่งที่อินโดทำนั่นคือ โดนไทยกระซวกไป 4-1 ทำไมอินโดจึงทำเช่นนั้น
1.ทดสอบเกมส์รุกของไทย ได้เห็นการเข้าทำของไทยแบบเนื้อๆเน้นๆ ได้เห็นเกมส์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งของไทย และค่าพลังนักเตะแต่ละคนของไทย เพื่อเอาไว้แก้เกมในนัดชิง
2.ที่ยิงไป 1 ลูกตอนท้ายเกมนั้น เพื่อทดสอบดูแบบเนียนๆด้วยว่าแนวรับของไทยอยู่ระดับไหนเพื่อจะเจาะในนัดชิงได้
3.หลอกทุกชาติ (รวมทั้งกองเชียร์ตัวเอง)สร้างภาพลักษณ์ให้อินโดทีมนี้เป็นทีมก๊อกแก๊ก ไม่น่ากลัวอะไรแล้วสำหรับซีเกมส์ครั้งนี้
นัดที่ 3 อินโดเจอติมอร์ นัดนี้คือสุดยอดอภิมหาปฏิบัติการเหนือเมฆแบบต้นตำรับ อิเหนาเจ้าเล่ห์ นั่นคือ อินโดตั้งใจเล่นแค่เสมอติมอร์ 0-0 ทำไมอินโดจึงทำเช่นนั้น
1.โค้ชราหมัด ดาร์มาวัน วิเคราะห์แล้วว่า การชนะหรือเสมอติมอร์นั้น มีผลไม่ต่างกันต่อการเข้ารอบ เพราะถึงยังไงนัดสุดท้ายที่เจอพม่าก็ใช้กฏเฮดทูเฮดวัดการเข้ารอบอยู่ดี
2.เพื่อหลอกชั้นที่ 3 ให้พม่าประมาทสุดๆ เพราะคิดว่าแค่ติมอร์ อินโดยังทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นพม่าจึงไม่มีอะไรต้องห่วง เล่นชิวๆ จิ๊บๆ เสมอก็เข้ารอบ ตัวหลักเจ็บหน่อยๆ ก็ไม่ต้องฝืนเอาลง
นัดที่ 4 อินโดเจอพม่า แล้วพม่าก็เป็นทีมแรก ที่โดนโค้ชราหมัดเบนิเตซ เล่นเข้าซะแล้ว ด้วยฟอร์มการเล่นที่แตกต่างจาก 3 นัดแรกแบบหน้ามือเป็นหลังทีน ชนิดที่เรียกว่า งงกันทั้งบาง แม้แต่กองเชียร์อินโดเอง ว่าทำไมนักเตะอินโดถึงเล่นได้ขนาดนี้ ทั้งแบบแผนการเล่น ทั้งเรี่ยวแรงที่วิ่งไม่มีหมด ทำให้อินโดเอาชนะพม่า 1-0 เข้ารอบไปแบบที่โค้ชเกาหลีของพม่ายังออกมางงๆอยู่เลยว่า อ้าว...นี่ตูตกรอบแล้วรึ ราวกับจอมยุทธที่โดนดาบฟันแล้วตายโดยไม่รู้ตัว
นัดที่ 5 อินโดเจอมาเลย์เซีย แล้วมาเลย์เซีย คู่ปรับและคู่แค้นสำคัญของอินโด ก็เป็นทีมที่สองที่โดนดาบอิเหนาฟันฉับเข้าให้ เกมนี้โค้ชราหมัดเบนิเตซ ได้ทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง นั่นคือ การซ้อมจุดโทษในสถานการณ์จริง เพื่อวัดกับไทยในนัดชิงชนะเลิศ!!! ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิด อินโดตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากที่โค้ชราหมัดเบนิเตซได้นำค่าพลังที่วัดได้ของนักเตะอินโดและไทยเข้าไปทดสอบในโปรแกรมคำนวณทางวิทยาศาสตร์ (FM)ก็พบว่าขีดความสามารถของนักเตะอินโดนั้นไม่สามารถเอาชนะไทยในเวลาได้ วิธีเดียวที่จะชนะได้นั่นคือการเอาชนะในการดวลจุดโทษ
นัดที่ 6 อินโด พบ ไทย ราหมัด เบนิเตซ ปะทะ มูรินโก้ สิ่งที่ผมวิเคราะห์มาทั้งหมดนี้ ขนาดผมยังดูออก มีรึ โค้ชมูรินโก้ ตำนานอาเซียน นักเตะจ้าวซีเกมส์ตัวจริง จะดูไม่ออก โค้ชโก้ของเราดูออกตั้งแต่นัดที่ 2 และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมโค้ชโก้จึงเล่นดีที่สุดในนัดนั้น นั่นก็เพราะโค้ชโก้รู้แล้วว่าอินโดคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของไทย โค้ชโก้จึงจัดหนักจัดเต็มในนัดนั้น เพื่อหวังที่จะกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้ตกรอบไปเสียก่อน ส่วนนัดที่ไทยเสมอพม่านั้น นั่นก็เพราะโค้ชโก้ตั้งใจจะเลี้ยงพม่าไว้เพื่อให้กำจัดอินโดนั่นเอง (แต่พม่าทำไม่สำเร็จ)ส่วนที่แกล้งเสมอกัมพูชา เฉือนสิงคโปร์แบบมุบมิบ นั่นก็เพราะตั้งใจว่าจะปิดบังความเก่งกาจ และค่าพลังที่แท้จริงของนักเตะไทยไว้ เพื่อไม่ให้โค้ชราหมัดวัดค่าพลังนักเตะไทยได้อย่างถูกต้องอีก เมื่อยังไม่รู้ขีดความสามารถสูงสุดของนักเตะไทย การคำนวณในโปรแกรมคำนวณ FM ย่อมมีข้อผิดพลาด ผลที่โค้ชโก้หวังไว้ก็คือ อินโดไม่สามารถยื้อได้ถึงดวลจุดโทษ และไทยจะชนะในเวลาอย่างน้อย 1ลูกครับ
เหตุการณ์จริงๆจะเป็นเช่นไร ช่วงค่ำวันเสาร์่นี้เราก็จะได้รู้กัน ไฮไลต์จะอยู่ที่ตอนโค้ชทั้งสองท่านจับมือตอนเริ่มเกมส์ จะต้องมีการจ้องตา ฟาดฟันกัน ด้วยพลังจิต จนต้องมีใครกระอักเลือดก่อนเป็นแน่แท้ เอ๊ะ...หรือว่าผมจะวิเคราะห์ผิด โค้ชทั้งคู่อาจจะไม่มองแค่ระดับซีเกมส์ อาจจะมีการแกล้งแพ้ในนัดชิง เพื่อเป็นข้อมูลหลอกใหู้่คู่แข่งพลาดในตอนคัดบอลโลกก็ได้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือ ฟุตบอลโลก โอ้วว...ช่างซับซ้อนยิ่งนัก
วิเคราะห์อินโดนีเซีย ฉบับ ลับ ลวง พราง (ราหมัด เบนิเตซ ปะทะ มูรินโก้)!!!!!
นัดที่ 1 อินโดนีเซีย คือทีมที่โดนเจ้าภาพจัดโปรแกรมได้เสียเปรียบที่สุดในสายบี (นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล้างแค้นพม่า) ด้วยโปรแกรมการเตะที่ถี่ยิบ แต่อินโดนีเซียต้องเริ่มเตะช้ากว่าทีมอื่นสองวัน นั่นคือ อินโดนีเซียต้องเตะแบบแทบจะแบบวันเว้นวันไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ อินโดนีเซียเริ่มนัดแรกกับกัมพูชาที่ไทยกล้าเสมอในนัดสุดท้ายซึ่งไทยได้เข้ารอบแน่นอนก่อนอยู่แล้ว แต่อินโดนีเซียกล้ากว่านั้น คือกล้าที่จะชนะกัมพูชาแค่ 1-0 ในนัดแรก ทำไมอินโดทำเช่นนั้น
1.อินโดนีเซียศึกษากฏมาเป็นอย่างดีว่าการแข่งครั้งนี้ใช้กฏ Head to Head นั่นคือประตูได้เสียนั้นมีผลน้อยต่อการเข้ารอบ จึงเล่นแบบถนอมตัวไว้
2.นี่คือการหลอกล่อครั้งที่ 1 ให้ทุกคนเห็นว่าอินโด จิ๊บๆ ไม่ใช่ทีมน่ากลัวอะไรในการแข่งครั้งนี้
นัดที่ 2 อินโดพบไทย โค้ชอินโดคงคาดการณ์แล้วว่าในซีเกมส์ครั้งนี้ ไทยนี่แหละคือทีมที่แข็งแกร่งที่สุด ที่อินโดจะต้องไปวัดด้วยในนัดชิงชนะเลิศ (อินโดได้มองข้ามช็อตไปถึงนัดชิงแล้ว) และสื่งที่อินโดทำนั่นคือ โดนไทยกระซวกไป 4-1 ทำไมอินโดจึงทำเช่นนั้น
1.ทดสอบเกมส์รุกของไทย ได้เห็นการเข้าทำของไทยแบบเนื้อๆเน้นๆ ได้เห็นเกมส์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งของไทย และค่าพลังนักเตะแต่ละคนของไทย เพื่อเอาไว้แก้เกมในนัดชิง
2.ที่ยิงไป 1 ลูกตอนท้ายเกมนั้น เพื่อทดสอบดูแบบเนียนๆด้วยว่าแนวรับของไทยอยู่ระดับไหนเพื่อจะเจาะในนัดชิงได้
3.หลอกทุกชาติ (รวมทั้งกองเชียร์ตัวเอง)สร้างภาพลักษณ์ให้อินโดทีมนี้เป็นทีมก๊อกแก๊ก ไม่น่ากลัวอะไรแล้วสำหรับซีเกมส์ครั้งนี้
นัดที่ 3 อินโดเจอติมอร์ นัดนี้คือสุดยอดอภิมหาปฏิบัติการเหนือเมฆแบบต้นตำรับ อิเหนาเจ้าเล่ห์ นั่นคือ อินโดตั้งใจเล่นแค่เสมอติมอร์ 0-0 ทำไมอินโดจึงทำเช่นนั้น
1.โค้ชราหมัด ดาร์มาวัน วิเคราะห์แล้วว่า การชนะหรือเสมอติมอร์นั้น มีผลไม่ต่างกันต่อการเข้ารอบ เพราะถึงยังไงนัดสุดท้ายที่เจอพม่าก็ใช้กฏเฮดทูเฮดวัดการเข้ารอบอยู่ดี
2.เพื่อหลอกชั้นที่ 3 ให้พม่าประมาทสุดๆ เพราะคิดว่าแค่ติมอร์ อินโดยังทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นพม่าจึงไม่มีอะไรต้องห่วง เล่นชิวๆ จิ๊บๆ เสมอก็เข้ารอบ ตัวหลักเจ็บหน่อยๆ ก็ไม่ต้องฝืนเอาลง
นัดที่ 4 อินโดเจอพม่า แล้วพม่าก็เป็นทีมแรก ที่โดนโค้ชราหมัดเบนิเตซ เล่นเข้าซะแล้ว ด้วยฟอร์มการเล่นที่แตกต่างจาก 3 นัดแรกแบบหน้ามือเป็นหลังทีน ชนิดที่เรียกว่า งงกันทั้งบาง แม้แต่กองเชียร์อินโดเอง ว่าทำไมนักเตะอินโดถึงเล่นได้ขนาดนี้ ทั้งแบบแผนการเล่น ทั้งเรี่ยวแรงที่วิ่งไม่มีหมด ทำให้อินโดเอาชนะพม่า 1-0 เข้ารอบไปแบบที่โค้ชเกาหลีของพม่ายังออกมางงๆอยู่เลยว่า อ้าว...นี่ตูตกรอบแล้วรึ ราวกับจอมยุทธที่โดนดาบฟันแล้วตายโดยไม่รู้ตัว
นัดที่ 5 อินโดเจอมาเลย์เซีย แล้วมาเลย์เซีย คู่ปรับและคู่แค้นสำคัญของอินโด ก็เป็นทีมที่สองที่โดนดาบอิเหนาฟันฉับเข้าให้ เกมนี้โค้ชราหมัดเบนิเตซ ได้ทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง นั่นคือ การซ้อมจุดโทษในสถานการณ์จริง เพื่อวัดกับไทยในนัดชิงชนะเลิศ!!! ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิด อินโดตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากที่โค้ชราหมัดเบนิเตซได้นำค่าพลังที่วัดได้ของนักเตะอินโดและไทยเข้าไปทดสอบในโปรแกรมคำนวณทางวิทยาศาสตร์ (FM)ก็พบว่าขีดความสามารถของนักเตะอินโดนั้นไม่สามารถเอาชนะไทยในเวลาได้ วิธีเดียวที่จะชนะได้นั่นคือการเอาชนะในการดวลจุดโทษ
นัดที่ 6 อินโด พบ ไทย ราหมัด เบนิเตซ ปะทะ มูรินโก้ สิ่งที่ผมวิเคราะห์มาทั้งหมดนี้ ขนาดผมยังดูออก มีรึ โค้ชมูรินโก้ ตำนานอาเซียน นักเตะจ้าวซีเกมส์ตัวจริง จะดูไม่ออก โค้ชโก้ของเราดูออกตั้งแต่นัดที่ 2 และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมโค้ชโก้จึงเล่นดีที่สุดในนัดนั้น นั่นก็เพราะโค้ชโก้รู้แล้วว่าอินโดคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของไทย โค้ชโก้จึงจัดหนักจัดเต็มในนัดนั้น เพื่อหวังที่จะกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้ตกรอบไปเสียก่อน ส่วนนัดที่ไทยเสมอพม่านั้น นั่นก็เพราะโค้ชโก้ตั้งใจจะเลี้ยงพม่าไว้เพื่อให้กำจัดอินโดนั่นเอง (แต่พม่าทำไม่สำเร็จ)ส่วนที่แกล้งเสมอกัมพูชา เฉือนสิงคโปร์แบบมุบมิบ นั่นก็เพราะตั้งใจว่าจะปิดบังความเก่งกาจ และค่าพลังที่แท้จริงของนักเตะไทยไว้ เพื่อไม่ให้โค้ชราหมัดวัดค่าพลังนักเตะไทยได้อย่างถูกต้องอีก เมื่อยังไม่รู้ขีดความสามารถสูงสุดของนักเตะไทย การคำนวณในโปรแกรมคำนวณ FM ย่อมมีข้อผิดพลาด ผลที่โค้ชโก้หวังไว้ก็คือ อินโดไม่สามารถยื้อได้ถึงดวลจุดโทษ และไทยจะชนะในเวลาอย่างน้อย 1ลูกครับ
เหตุการณ์จริงๆจะเป็นเช่นไร ช่วงค่ำวันเสาร์่นี้เราก็จะได้รู้กัน ไฮไลต์จะอยู่ที่ตอนโค้ชทั้งสองท่านจับมือตอนเริ่มเกมส์ จะต้องมีการจ้องตา ฟาดฟันกัน ด้วยพลังจิต จนต้องมีใครกระอักเลือดก่อนเป็นแน่แท้ เอ๊ะ...หรือว่าผมจะวิเคราะห์ผิด โค้ชทั้งคู่อาจจะไม่มองแค่ระดับซีเกมส์ อาจจะมีการแกล้งแพ้ในนัดชิง เพื่อเป็นข้อมูลหลอกใหู้่คู่แข่งพลาดในตอนคัดบอลโลกก็ได้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงคือ ฟุตบอลโลก โอ้วว...ช่างซับซ้อนยิ่งนัก