หนังเรื่อง Invictus กับการใช้รถใช้ถนน

+++ ขอย้ำชัดนะครับ ความหมายที่ผมจะนำเสนอนั้นไม่เกี่ยวกับการเมืองโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุที่ทำให้ผมนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้นนั้นเกิดบนถนน แต่ใครจะคิดอย่างไรต่อนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละคนครับ+++

วันก่อนดูหนังเรื่อง Invictus ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของ Nelson Mandela ในสมัยแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ที่เป็นตำนานผู้ล่วงลับ (ชื่อตำแหน่งปัจจุบันยาวมาก ^^)

มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือการปฏิบัติต่อคนที่เป็นคู่กรณีของตนเอง อย่างที่ทุกคนทราบว่า Nelson Mandela นั้นนอนเล่นอยู่ในคุกนานถึงกว่า 27 ปี (เกือบเท่าอายุของผมตอนนี้ ตอนนี้ผม 29) แต่หลังจากที่ออกจากคุกมาได้ และผ่านการเลือกตั้ง Nelson Mandela ก็เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี สิ่งที่เค้าพบเมื่อกำลังเดินเข้ามายังทำเนียบก็คือ เจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานอยู่กับผู้นำคนเก่าต่างพากันลาออกและเก็บของออกจากที่ทำงานเดิม

เมื่อ Nelson Mandela เดินมาถึงห้องทำงาน จึงได้ขอให้เลขาช่วยไปเชิญเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่ได้ลาออกให้มาพบกับเค้าและได้กล่าวถึงการพัฒนาประเทศโดยจะเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือกันของคนทุกฝ่าย เพื่อเปลี่ยนใจเจ้าหน้าที่ที่เป็นกำลังในการบริหารประเทศที่กำลังจะลาออกเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

ในเรื่องเดียวกันแต่ต่างเหตุการณ์คือเมื่อทีม Springboks ทีมรักบี้ทีมชาติแฟริกาใต้ ประสบความสำเร็จในการทำให้คนทั้งชาติผิดหวัง (แพ้ดะ) ไม่ว่าจะเป็นแมทช์สำคัญแค่ใหน ก็สามารถสร้างความผิดหวังให้ได้เสมอ (ซึ่งทีมนี้นั้นเป็นทีมรักบี้ที่มีแต่นักกีฬาผิวขาว แต่มีนักกีฬาผิวสีอยู่คนหนึ่ง ทีม Springboks นี้ในมุมของกลุ่มชาวแอฟริกันผิวสีนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของการกดขี่จากคนผิวขาวที่มีต่อคนผิวสี) เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ บวกกับสถิติการแข่งขันที่น่าผิดหวัง จึงได้มีการประชุมเพื่อลงคะแนนให้มีการปรับเปลี่ยนทีม โดยสิ่งแรกที่เค้าจะทำคือเปลี่ยนชื่อทีมและเอาสีเขียว ทองที่เป็นสีประจำทีมที่คนผิวสีนั้นเกลียดแสนเกลียดออก

ในระหว่างที่มีการประชุมลงคะแนนอยู่นั้น Nelson Mandela ก็ได้ส่งคนมาเฝ้าดูการประชุมครั้งนี้ และผลเป็นไปตามคาดคือผู้คน Vote ให้เปลี่ยนเอาของเดิมออก เมื่อ Nelson Mandela ได้ยินเรื่องดังนั้นจึงรีบรุดมายังที่ประชุมในทันที เพื่อพูดโน้มน้าวให้ผู้คนในที่ประชุมเปลี่ยนใจในการตัดสินใจครั้งนี้ แม้ Nelson Mandela จะมาด้วยตัวเอง แต่ผลการ Vote ก็ออกมาไม่ดีอยู่ดี

ระหว่างทางกลับไปยังทำเนียบ ก็ได้มีการพูดคุยกันกับเลขาส่วนตัว โดยในประเด็นนั้นผมจับใจความได้ว่า "ถ้าเราทำอะไรที่ร้ายกาจใส่ฝ่ายตรงข้าม นั่นก็เท่ากับเรากำลังรับรองในสิ่งที่เค้าเกลียดและกลัวที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนขั่วอำนาจ ซึ่งแน่ะนอน ไม่ได้เกิดความเข้าใจและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รังแต่สั่งสมความโกรษแค้น และเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ความขัดแย้งต่างๆ ก็จะกลับมาอีก ทำให้วนเวียนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด"

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องนี้จนอยากเอามาเล่าให้ฟังก็คือเหตุตื่นเต้นนิดหน่อยเมื่อเช้า ระหว่างที่ผมกำลังแวนซ์มอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ ของผมมาทำงาน ในระหว่างที่กำลังลัดเลอะอยู่เนื่องจากรถที่ติดแสนติดในช่วงก่อนขึ้นสะพานสาธรข้ามมายังฝังพระนคร ก็เจอกับรถ Hundai H1 คันหนึ่งจอดล้ำออกมาจากรถคันอื่นๆ ที่อยู่ในแถว แถมยังมีท่าจะเลี้ยวออกทางซ้ายอีก โดยไม่ปิดไฟเลี้ยวซะด้วย (น่าตบกระโหลกคนขับ)

มอเตอร์ไซค์คันหน้าๆ ก็ต้องหลบไปอย่างทุลักทุเล แล้วก็หลันกลับมาด่า ในใจผมคิดว่า ถ้าผมเอาคันเบรคหรือแฮนไปขูดเป็นทางยาว คงยากที่เค้าจะตามผมได้ทัน เพราะรถติดสาหัสจริงๆ

แต่ในใจก็คิดขึ้นมาได้ว่า "ยิ้มไม่น่าจะดี" เพราะผมเชื่ออยู่อย่างว่า การที่คนเราจะเลือกวิธีปฏิบัติต่อคนอีกคนอย่างไรนั้น ล้วนมาจากทัศนคติที่มีต่อคนคนนั้นหรือ คนกลุ่มนั้น ดังนั้นถ้าอีตาคนขับรถคนนั้นทำกับคนอื่นอย่างไร้น้ำใจ และไม่สนใจ หรือเกรงใจว่าคนอื่นจะไปอย่างไร นั้นอาจจะหมายถึงว่าเค้ามองกับเราในอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ดี ดังนั้นถ้ายิ่งเราทำไม่ดีใส่เค้า ก็จะยิ่งไปเป็นการตอกย้ำในภาพที่เค้ามองต่อเราให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นผมจึงขับมอเตอร์ไซค์หลบออกไป ทิ้งไว้แค่คำพูดในใจว่า "อีหน้าส้นตรีน ขับรถยิ้มไม่มีน้ำใจ อีหน้าส้นตรีน#$@$#$&*%*"  และใบหน้าใต้หมวกกันน็อคที่ยิ่มแย้มดังไม่มีเกิดอะไรขึ้น และพร้อมให้อภัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ^^

http://www.imdb.com/title/tt1057500/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่