การหักโหมออกกำลังกายจะทำให้เกิดความต้องการในการใช้ออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อร่างกายที่มากขึ้น รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจที่ทำงานมากขึ้นคับ ส่งผลให้ร่างกายพยายามปรับตัวโดยการกระตุ้นระบบ sympathetic ส่งผลให้หัวใจบีบตัวแรงและเร็วขึ้น ร่วมกับการหายใจที่เร็วขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ถุงลมในปอดมากขึ้น(ทำให้มีอาการ หัวใจเต้นเร็ว อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น รู้สึกร้อนหน้า ร้อนตัว อาจมีหน้าแดง ร่วมกับเหงื่อออก) ถือว่าเป็นระยะปรับตัวของร่างกายคับ ถือเป็นเรื่องปกติในการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ (ถ้าออกแรงแล้วไม่มีอาการที่บอก ก็ไม่ใช่การออกกำลังกายคับ เพราะไม่ส่งเสริมการไหลเวียนเลือดนั่นเอง) แต่ในกรณีของคุณกลับพบว่ามีอาการตาพร่า อาจปวดศีรษะร่วมด้วยแต่ไม่รู้สึกตัว เพราะอาการเหนื่อยนำ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณเล่นเกินกว่า การออกกำลังกาย ล่ะ เพราะร่างกายทำงานหนักเกินกว่าจะใช้กลไกการปรับตัว (ระยะปรับตัว) ปกติได้ เนื่องจากมีความต้องการพลังงานและออกซิเจนของเซลล์มากขึ้น ร่างกายจึงปรับกลไกปกติที่เป็น aerobic metabolism(กระบวนการสันดาปที่ใช้ออกซิเจน) เป็นหลัก เปลี่ยนเป็นใช้ anaerobic metabolism(กระบวนการสันดาปที่ไม่ใช้ออกซิเจน) เป็นหลักแทน ทำให้เกิดผลิตผลจากกระบวนการดังกล่าวเป็น lactic acid ที่เป็นของเสีย(อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายหนักๆ ก็เพราะตัวนี้แหละ) ทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น ร่างกายจึงใช้ระบบ sympathetic มากขึ้นเพื่อให้หายใจขับ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่จะทำให้เกิด ไฮโดรเจนไอออน ที่จะทำให้เกิดสภาพเลือดเป็นกรดมากขึ้น (ร่างกายพยายามลดปัจจัยที่จะทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากขึ้นนั่นเอง) นอกจากจะเพิ่มการหายใจแล้วยังทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัวลง ส่งผลให้เกิด แรงต้านทานที่หลอดเลือดส่วนปลายมากขึ้น ทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงขึ้น(ความดันโลหิตสูง) ซึ่งจะมีอาการตาพร่ามัว ร่วมกับปวดศีรษะขึ้นได้ ถ้าหากยังหักโหมเล่นโหมหนักต่อไป จะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ ที่สำคัญคือ สมองก็จะมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลงด้วย ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ลมวูบ และหมดสติได้ ถือว่าอันตรายครับ

สรุป - (ย่อให้ถ้าขี้เกียจอ่าน) อาการตาพร่าของคุณมาจาก ความดันโลหิตที่สูงขึ้นมากๆ ส่วนอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด จากเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง ถ้ายังฝืนเล่นโหมหนักมากต่อไป จะทำให้วูบ และหมดสติได้ ^^*