จอห์น วิมเบอร์ ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรชาวอเมริกัน ได้อธิบายถึงการที่ไม้กางเขนกลายมาเป็นเรื่องจริงสำหรับเขาว่า
หลังจากที่ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์ ... อยู่ประมาณสามเดือน ผมผ่านการทดสอบขั้นแรกที่ไม้กางเขน ผมเข้าใจว่ามีพระเจ้าองค์เดียว
ซึ่งมีสามพระภาค ผมเข้าใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าแท้จริงและเป็นมนุษย์แท้จริงด้วย และพระองค์ตายบนไม้กางเขนเพื่อความผิดบาปของโลก
แต่ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นคนบาป ผมคิดว่าผมเป็นคนดี ผมรู้ว่าผมทำผิดบ้างบางครั้งบางคราวแต่ผมไม่ตระหนักว่ามันร้ายแรงเพียงใด
แต่เย็นวันหนึ่งในช่วงเวลานั้น แครอล (ภรรยาของเขา) พูดขึ้นว่า "ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้" และแล้วขณะที่ผมมองเธอด้วยควมงุนงง เธอคุกเข่าลงที่พื้นและเริ่มอธิษฐานกับสิ่งที่ผมคิดได้ว่าเป็นปูนฉาบเพดานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เสียใจในความผิดบาปของข้าพระองค์"
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย แครอลเป็นคนดีกว่าผม แต่เธอยังคิดว่าเธอเป็นคนบาป ผมสามารถสัมผัสถึงความลึกซึ้งในคำอธิษฐานของเธอ ไม่นาน เธอก็น้ำตาไหลและอธิษฐานซ้ำอีกว่า "ข้าพระองค์เสียใจในความผิดบาปของข้าพระองค์" ในตอนนั้นมีคนอยู่หกหรือเจ็ดคนในห้อง ทุกคนหลับตาหมด ผมมองดูพวกเขาและผมก็รู้ว่า พวกเขาทุกคนอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานเดียวกัน!
ผมเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ผมคิดว่าผมกำลังจะตาย เหงื่อเริ่มไหลลงมาที่หน้าของผมและผมคิดว่า "ผมจะไม่ทำสิ่งนี้แน่ นี่มันโง่ชัดๆ ผมเป็นคนดีนะ" แล้วผมก็ตระหนักว่าแครอล ไม่ได้อธิษฐานกับปูน เธอกำลังอธิษฐานกับบุคคลคนหนึ่ง กับพระเจ้าที่สามารถได้ยินเธอ เมื่อเทียบกับพระองค์แล้วเธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนบาปและต้องการการอภัยบาป
ในแวบหนึ่งผมรู้สึกว่าไม้กางเขนมีความหมายสำหรับผมเป็นการส่วนตัว ในทันใดนั้นผมได้รู้สิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือผมทำให้พระเจ้าเสียใจ พระองค์ทรงรักผมและเพราะความรักนั้น พระองค์ทรงส่งพระเยซูมา แต่ผมได้หันหนีจากความรักนั้น ผมได้หลบหลีกมาตลอดชีวิต ผมเป็นคนบาปที่ต้องการไม้กางเขนอย่างที่สุด
แล้วผมก็คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำมูกน้ำตาไหล และร่างกายทุกตารางนิ้วชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ผมรู้สึกได้ว่าคุยกับใครบางคนที่อยู่กับผมมาตลอดชีวิตแต่ผมไม่เคยรู้จักเขาเลย เช่นเดียวกับแครอลผมเริ่มพูดกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผมบอกพระองค์ว่าผมเป็นคนบาป แต่ผมพูดออกมาได้เพียงคำเดียวว่า "โอ พระเจ้า โอ พระเจ้า"
ผมรู้ว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงภายในผมอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่า "หวังว่านี่คงจะช่วยได้ เพราะเราได้ทำสิ่งที่โง่ที่สุด" แล้วพระเจ้าก็ทรงทำให้ผมนึกถึงชายคนนึงที่ผมพบในเพอร์ชิ่งสแควร์ ที่ลอสแองเจอลิสเมื่อหลายปีก่อน เขาแขวนป้ายที่เขียนว่า "ผมเป็นคนโง่เพื่อพระเยซู แล้วคุณล่ะเป็นคนโง่เพื่อใคร" ในเวลานั้น ผมคิดว่า "นั่นเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา" แต่ตอนที่ผมคุกเข่าบนพื้น ผมได้เข้าใจความจริงของป้ายที่แปลกนั้นว่า ไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับคนที่กำลังพินาศ (1คร.1:8)
คืนนั้นผมคุกเข่าที่ไม้กางเขนและเชื่อในพระเยซู ผมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ...
--- ข้อความดีดีจากหนังสือ อัสฟา คำถามแห่งชีวิต หน้า 56-57 ---
ของขวัญที่แท้จริงในวันคริสต์มาส
หลังจากที่ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์ ... อยู่ประมาณสามเดือน ผมผ่านการทดสอบขั้นแรกที่ไม้กางเขน ผมเข้าใจว่ามีพระเจ้าองค์เดียว
ซึ่งมีสามพระภาค ผมเข้าใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าแท้จริงและเป็นมนุษย์แท้จริงด้วย และพระองค์ตายบนไม้กางเขนเพื่อความผิดบาปของโลก
แต่ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นคนบาป ผมคิดว่าผมเป็นคนดี ผมรู้ว่าผมทำผิดบ้างบางครั้งบางคราวแต่ผมไม่ตระหนักว่ามันร้ายแรงเพียงใด
แต่เย็นวันหนึ่งในช่วงเวลานั้น แครอล (ภรรยาของเขา) พูดขึ้นว่า "ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้" และแล้วขณะที่ผมมองเธอด้วยควมงุนงง เธอคุกเข่าลงที่พื้นและเริ่มอธิษฐานกับสิ่งที่ผมคิดได้ว่าเป็นปูนฉาบเพดานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เสียใจในความผิดบาปของข้าพระองค์"
ผมแทบไม่อยากเชื่อเลย แครอลเป็นคนดีกว่าผม แต่เธอยังคิดว่าเธอเป็นคนบาป ผมสามารถสัมผัสถึงความลึกซึ้งในคำอธิษฐานของเธอ ไม่นาน เธอก็น้ำตาไหลและอธิษฐานซ้ำอีกว่า "ข้าพระองค์เสียใจในความผิดบาปของข้าพระองค์" ในตอนนั้นมีคนอยู่หกหรือเจ็ดคนในห้อง ทุกคนหลับตาหมด ผมมองดูพวกเขาและผมก็รู้ว่า พวกเขาทุกคนอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานเดียวกัน!
ผมเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ผมคิดว่าผมกำลังจะตาย เหงื่อเริ่มไหลลงมาที่หน้าของผมและผมคิดว่า "ผมจะไม่ทำสิ่งนี้แน่ นี่มันโง่ชัดๆ ผมเป็นคนดีนะ" แล้วผมก็ตระหนักว่าแครอล ไม่ได้อธิษฐานกับปูน เธอกำลังอธิษฐานกับบุคคลคนหนึ่ง กับพระเจ้าที่สามารถได้ยินเธอ เมื่อเทียบกับพระองค์แล้วเธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนบาปและต้องการการอภัยบาป
ในแวบหนึ่งผมรู้สึกว่าไม้กางเขนมีความหมายสำหรับผมเป็นการส่วนตัว ในทันใดนั้นผมได้รู้สิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือผมทำให้พระเจ้าเสียใจ พระองค์ทรงรักผมและเพราะความรักนั้น พระองค์ทรงส่งพระเยซูมา แต่ผมได้หันหนีจากความรักนั้น ผมได้หลบหลีกมาตลอดชีวิต ผมเป็นคนบาปที่ต้องการไม้กางเขนอย่างที่สุด
แล้วผมก็คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำมูกน้ำตาไหล และร่างกายทุกตารางนิ้วชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ผมรู้สึกได้ว่าคุยกับใครบางคนที่อยู่กับผมมาตลอดชีวิตแต่ผมไม่เคยรู้จักเขาเลย เช่นเดียวกับแครอลผมเริ่มพูดกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผมบอกพระองค์ว่าผมเป็นคนบาป แต่ผมพูดออกมาได้เพียงคำเดียวว่า "โอ พระเจ้า โอ พระเจ้า"
ผมรู้ว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงภายในผมอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่า "หวังว่านี่คงจะช่วยได้ เพราะเราได้ทำสิ่งที่โง่ที่สุด" แล้วพระเจ้าก็ทรงทำให้ผมนึกถึงชายคนนึงที่ผมพบในเพอร์ชิ่งสแควร์ ที่ลอสแองเจอลิสเมื่อหลายปีก่อน เขาแขวนป้ายที่เขียนว่า "ผมเป็นคนโง่เพื่อพระเยซู แล้วคุณล่ะเป็นคนโง่เพื่อใคร" ในเวลานั้น ผมคิดว่า "นั่นเป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา" แต่ตอนที่ผมคุกเข่าบนพื้น ผมได้เข้าใจความจริงของป้ายที่แปลกนั้นว่า ไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับคนที่กำลังพินาศ (1คร.1:8)
คืนนั้นผมคุกเข่าที่ไม้กางเขนและเชื่อในพระเยซู ผมเป็นคนโง่เพื่อพระคริสต์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ...
--- ข้อความดีดีจากหนังสือ อัสฟา คำถามแห่งชีวิต หน้า 56-57 ---