รู้ทันวิธีการล้างสมองเพื่อไม่ให้กลายเป็นสลิ่ม

รู้ทันวิธีการล้างสมองเพื่อไม่ให้กลายเป็นสลิ่ม

ตีแผ่! วิธีการที่แกนนำ พธม. ใช้ในการชี้นำกองเชียร์ เปิดเผยเบื้องลึก แบบที่กองเชียร์ไม่เคยรู้มาก่อน

ท่านเคยสงสัยหรือไม่ เหตุใด บุคคลรอบข้างท่าน โดยเฉพาะชนชั้นกลางถึงได้เชื่อ พธม. แบบทุ่มสุดตัวแม้กระทั่ง บุคคลระดับที่สามารถ เรียกได้ว่าเป็น ปัญญาชน เหตุใดถึงได้ คลั่งพธม. เสียมากมาย ผมจะตีแผ่ วิธีการ ที่แกนนำ พธม. ใช้ในการปลุกปั่นมวล ชนคนเสื้อเหลืองให้หลงเชื่อ ถวายตัว ถวายหัว ทุ่มสุดตัว ทุ่มสุดใจ จากประสบการณ์ที่เฝ้าดู พธม. ติดตามความเคลื่อนไหว และวิธีการที่ใช้ตลอดมา. สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนโดยหน้าที่ บุคคลคนนี้ ฝีมือไม่ธรรมดา เรื่องทฤษฎีการสื่อสารมวลชน เขาได้นำมา ใช้แทบทุกแง่มุมไม่ เว้นแม้แต่ สิ่งที่เป็นด้านมืดของสื่อ มวลชน เขาไม่ลังเลที่จะหยิบมันมาใช้ ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้ไป สู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เขาจะใช้มันโดยทันที อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยกล่าวไว้ว่า "If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed." "หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อย ครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ" นี่คือหลัก นี่คือหัวใจที่ สนธิฯ ใช้ในการปลุกปั่นมวลชน มาโดยตลอด จากนั้นก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) เพื่อที่จะสร้างระบบ จิตวิทยามวลชน อุปาทานหมู่ เพื่อชี้นำความ คิดมวลบชนไปยังความต้องการของตน เทคนิคการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda Techniques) อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล สร้างศัตรูบุคคล ขึ้นมา เป็นหุ่น รับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอต่อว่า ทั้งเรื่อง ส่วนตัว และคำพูดทุกคำพูด ของคนๆนั้น รวมถึงการสร้างภาพ ให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตี เป็นปีศาจร้าย เปรียบเทียบกับความชั่วร้าย ในโลกทั้งมวลทั้ง ในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์ ตัวอย่าง เช่น การโจมตีทักษิณฯ ว่าต้องการโค่นล้ม สถาบัน การลากโยงว่า มีความสัมพันธุ์ในเชิงชู้สาว กับนักร้องรุ่นลูก การว่าเป็นเทวทัตกลับชาติมาเกิด

2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสุถาษิตไทยบทหนึ่งว่า "อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว" กระบวนการปราศัยของ แกนนำ พธม. จะมีวิธีการหนึ่ง เรียกว่า พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก โจมตีจุดเดียว ในแต่ละวัน ที่ขึ้นเวที เดี๋ยวมันก็เชื่อเอง วิธีการ พธม. จะใช้คนพูดในระดับรองๆ ที่ไม่ได้เด่นดัง มากนักขึ้นพูดในช่วงเย็นๆก่อน เพื่อหยั่งกระแสดูท่าทีว่ากองเชียร์ รู้สึกอย่างไรถ้า มีแนวโน้มว่าจะเชื่อเรื่องไหน วันนั้น คนพูดระดับแม่เหล็กคนต่อๆ มาก็จะพูดเรื่องนั้น ซ้ำไปซ้ำมา กันทุกคน แต่จะทำให้ดูเหมือนมีระบบ ก็คือแต่ละคนจะพูดเรื่องเดียวกัน แต่คนละแง่ เช่นในแง่ของสังคม ในแง่ของเศรษฐกิจ ในแง่ของวัฒนธรรม แต่ทั้งหมดล้วน แล้วแต่"เป็นการพูดเท็จ ซ้ำไปซ้ำมา" จนกระทั้ง ทำให้ความคิดของกองเชียร์เปลี่ยนไป เช่น จากคิดว่า "ไม่ใช่" กลายเป็น "ลังเล" เข้าสู่ "ไม่แน่ใจ 50:50"ผันไป "น่าจะใช่ 80:20" สุดท้าย "ใช่แน่ๆ 100%"

3. Big Lie : โกหกคำโต โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945) รัฐมนตรี กระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวา ของฮิตเลอร์ กล่าวว่า "The bigger the lie, the more it will be believed." "ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น" และ "The great masses of people will more easily fall victims to a big liethan to a small one." "ฝูงชนมหาศาล ถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ" การโกหกเรื่องเล็กๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหก ได้ง่ายแต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอก ให้เชื่อมันย่อมครอบคลุม เรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่ง ที่ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่อ อยู่แล้วเขา ก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่งจริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือ ปฏิญญามือถือ เรื่องที่ฮาสุดคลาสิค "ปฏิญญาฟินแลนด์" เป็นเรื่องที่โกหก ได้ยิ่งใหญ่แต่แหกตา กองเชียร์ได้ผลมากมาย เกิดผลกับสังคมได้อย่างรุนแรง พอสมควรกินเวลาอยู่ หลายอาทิตย์กว่าจะมีการออกมาแก้เกมส์ว่าจริงๆมันเป็นเรื่อง "โจ๊กใส่ไข่ ใส่ผักชี" ลองดูปัจจุบันซิครับ มีใครคนไหนในแกนนำ พธมกล้าเอ่ยเรื่องนี้บ้าง มีกองเชียร์คนไหนกล้าถกเรื่อง นี้บ้าง แต่ละคน"ทำเป็นลืม กันเสียหน้า" ว่าพลาดที่ไปเชื่อ

4. Name calling : สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทน ใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆและตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรูเป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง เช่น ระบอบทักษิณ ทุนนิยมสามานย์ หรือแม้แต่กระทั่งชื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ฟังดูดี ฟังว่าทำเพื่อประชาธิปไตยทั้งๆ ที่การกระทำนั้น ทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง

5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ ผู้โฆษณาชวนเชื่อ ต้องสร้างภาพ การแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจน เป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่าย ถูกฝ่ายธรรมะ ส่วนใครไม่เห็นด้วย ก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที ในความเป็นจริงแล้ว เรามีแต่สีเทา จะเทามากหรือเทาน้อยก็แล้วแต่ว่าเงื่อนไขใด ในทางอุดมคติ เราต่างก็แสวงหาความดี ความถูกต้อง ตาม หลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ เมื่อ แกนนำ ให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจน ย่อมไม่แปลก ที่จะหลงเชื่อในสิ่ง ที่แกนนำกล่าว อย่างง่ายดายและอาจไม่ฉุกคิดเลยว่าสิ่งที่แกนนำพูดไม่ตรง กับการกระทำอย่างใดเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด "เราทำเพื่อพ่อ เราทำเพื่อสถาบัน ใครไม่อยู่ข้างเรา มันผู้นั้น ทรยศต่อชาติ ราชบัลลังค์ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง" ทั้งๆ ที่ไม่เคยอะไรเชิงสร้างสรรค์ ในการแสดงออกเรื่องการรักสถาบัน การรักชาติขนาดขบวนเสด็จยังไม่ให้ผ่าน ม๊อบไม่หลีกทางให้

6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษการ โฆษณาชวนเชื่อนั้น จะอ้างตนเอง และกลุ่มแนว คิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่สูงส่ง อลังการมีคุณธรรมจริยธรรมศีลธรรมด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์ ศาสดา ที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ มหาตมะคานธี อับราฮัม ลินคอล์น อ้างพระคัมภีร์ของศาสนา ต่างๆ ฯลฯ แต่การอ้างดังกล่าวแตกต่างไปจากการเผยแผ่ หรือโน้มนำที่ดี ตามปกติด้วยว่าการโฆษณา ชวนเชื่อ จะนำภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งสวยงามเหล่านั้น มาบิดเบือนให้เข้าข้างแนวคิดของตน ตัวอย่าง เช่น สนธิอ้างว่า ได้นั่งทางใน เป็นผู้วิเศษ ปะพรมน้ำมนต์เพื่อให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูเป็นผู้วิเศษ ตอกย้ำ ความเชื่อสาวกให้ศรัทธาเลื่อมใส และแกนนำพธม.มักจะอ้างหลักทางพุทธศาสนา ว่าพวกพธม.เป็นกองทัพธรรมที่สูงส่ง แต่ทักษิณเป็นซาตาน เป็นเทวทัต กลับมาชาติมาเกิด แบบนี้อยู่เนืองๆ

7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชนการ บอกข้อมูล ไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูล หรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี ยิ่งใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปากและยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า"ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้" "ก็นักวิชาการท่านโน้น ท่านนี้บอกมาอย่างนี้" วิธี นี้เป็นวิธีที่ แกนนำ พธม.ใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการบอกไม่ครบ แม้กระทั่งปัจจุบัน ยังนำมาใช้ในการบิดเบือน ข่าวสาร โดยไม่ลงเนื้อหาให้ ครบ ทำให้คนเข้าใจผิด แม้กระทั่งในม๊อบ ก็ยังใช้วิธี การบอกต่อแบบปากต่อปากว่า แกนนำ ได้รับการสนับสนุนจากคนโน้นคนนี้ ว่าทักษิณทำอย่างโน้น อย่างนี้ แบบที่พูดบนเวทีไม่ได้ พธม. จะมีหน่วยหน้าม้า กระจายข่าวในกลุ่ม ในหมู่กองเชียร์ เพื่อชี้นำความคิดไปในทิศทางของตน วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับกองเชียร์ พธม.ที่หลงเชื่อเป็นอันมาก มัน ทำให้ตรรกะของกองเชียร์ บิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว กองเชียร์จะเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ พธม. ด้วยกัน เป็นคนผิดหมด เป็นคนโง่ รู้ไม่เท่าทัน เหมือนตน หนักเข้า กองเชียร์ก็จะโดนแกนนำโน้มน้าวว่า ให้ปิดหูปิดตาไม่ต้องดูสื่ออื่นๆ นอกจากสื่อที่แกนนำบอกให้ดู ซึ่งกองเชียร์ก็เชื่อ ดูข่าวจากแหล่งเดียว และเชื่อโดยทันที หรือแม้กระทั้งกองเชียร์บางคนกลายเป็นคนใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสีคนที่ไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยมีพฤติกรรม หรือนิสัยหยาบคายมาก่อน กองเชียร์พร้อม บริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สิน ให้กับแกนนำโดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว ไม่คิดหน้าคิดหลังให้จนสุดตัวบ้าจนหมัดตัว ทุ่มจนสุดใจ ซึ่งกว่าจะรู้ตัว สิ่งแวดล้อม สังคมเพื่อนฝูงของกองเชียร์แฟนพันธุ์แท้เหล่านี้ ก็จะเหลือเพียงคนที่เป็นกองเชียร์ด้วยกันเท่านั้น เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องที่เคยคบหากันด้วย ต่างก็หลบลี้หนีหน้า มันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ รักชาติจนป่นปี้ รู้ทันจนบรรลัย...

*ข้อสังเกต บรรดาแฟนพันธุ์แท้ของ พธม. ที่หลงเหลืออยู่ พวกเหนียวแน่น จะมีคุณสมบัติหนึ่ง ที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นพวกรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ รู้ไม่จริงซะเป็นส่วนมาก และใครแตะต้อง วิจารณ์แกนนำไม่ได้เด็ดขาด จะต้องปฏิบัติการโต้ตอบ แบบอดรนทนไม่ไหว ตามแต่วิธีการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่