อาจจะยาวไปหน่อย แต่อยากถามความเห็นดูค่ะ ว่าเราเป็นคนเห็นแก่เงินหรือเปล่า?
ถ้าเป็นปมชีวิตเรื่องเงินเรามีสองเรื่องค่ะ
1. เมื่อก่อนบ้านฐานะค่อนไปทางยากจนเลย อยากได้อะไรก็มักจะไม่ได้ ต้องใช้เงินอย่างประหยัด ทำงานพาร์ทไทม์หาค่าขนมให้ตัวเอง แต่ปัจจุบันโอเคขึ้นมากแล้ว พี่ชายสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็สร้างอพาร์ทเมนต์ให้เช่า เราอยู่บ้าน ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอะไร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ท พี่ชายเป็นคนจัดการหมด พ่อแม่ไม่รับเงินจากเรา ให้ลูกดูแลตัวเองมากกว่า เราก็พาท่านไปกินข้าวบ้าง ซื้อของดีๆ มาให้กินบ้าง
2. แฟนคนล่าสุด (เลิกไปได้เกือบ 2 ปีแล้วค่ะ) เค้าเคยดูถูกเรา ตอนเราเรียนจบใหม่เป็นกราฟิกดีไซน์เงินเดือนสตาร์ทแค่ 12,000 ส่วนเค้าเป็นวิศวกรเงินเดือนสตาร์ท 18,000 คือเค้าก็เก่งจริงแหละ ตอนนี้ก็เป็นเมเนเจอร์แล้ว เค้าดูถูกว่าเราเป็นคนไม่มีอนาคต เงินเดือนน้อย อาชีพไม่ก้าวหน้า (คือเราเป็นกราฟิกดีไซน์ที่ความสามารถกลางๆ ค่ะ ไม่ได้เก่งอะไร) แต่เพราะโดนดูถูกนี่แหละ เลยทำให้เราขยันทำงาน ยิ่งเป็นคนไม่เก่งยิ่งต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า
ตอนนี้อายุ 24 ทำงานอยู่กราฟิกเฮาส์ ได้เงินเดือนหมื่นปลายๆ ค่ะ มีรับฟรีแลนซ์เพิ่มในงานสาย Book Design ซึ่งถ้าใครอยู่วงการนี้จะพอรู้ว่าเงินไม่ได้เยอะมาก + กว่าจะจบงานนึงได้ปาไปเป็นเดือน ใน 1 เดือนเราก็จะมีรายได้เสริมประมาณ 3-5000 เดือนไหนฟลุ๊กได้งานเยอะก็มีรายได้เสริมเป็นหมื่นบาท แต่เดือนไหนปิดงานไม่ได้ก็ไม่มีรายได้เสริมเลย ที่รับงานเยอะขนาดนี้เพราะเราอยากมี อยากได้ของค่ะ อยากได้แม็คบุ๊กโปร อยากได้ไอโฟน อยากติดแอร์ในห้องนอน อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากได้อะไรตอนนี้เราก็ซื้อ คือเงินเก็บไม่ได้มีมากหรอก แต่พยายามหาเงินมาเยอะๆ เพื่อซื้อของที่เราเคยอยากได้ สนอง need ตัวเอง อะไรแบบนั้น ด้วยความที่ชีวิตเราไม่มีภาระอะไร เราไม่ต้องอยู่หอพัก ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่มี ไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่ (พวกท่านไม่รับจริงๆ ค่ะ) คือการพาไปทานข้าวทีนึงมันก็ไม่ได้จ่ายเยอะมากมายขนาดนั้น แต่ก็พยายามซื้ออะไรดีๆ ให้ท่านใช้ ให้ท่านกินบ่อยๆ นะ เหมือนทำได้ดีที่สุดแค่จุดนี้
เราไม่ได้ติดหรูหรือติดไฮโซนะคะ แต่ชอบ iOS เพราะมันเจ๋ง มันเก๋ นวัตกรรมดีเลิศ ยอมจ่ายแพงเพราะชอบฟังก์ชั่นต่างๆ ของมัน ชอบไปเที่ยวต่างประเทศเพราะเค้าเจริญกว่าเรา บ้านเมืองสวยกว่าเรา เราก็แต่งตัวธรรมดา เสื้อผ้าตัวละ 150 บาทก็ซื้อใส่ ไม่ได้หิ้วกระเป๋าชาแนลหรือแบรนด์เนม คือแต่ละอย่างที่มันอาจจะดูราคาสูง แต่เราว่าเรามีเหตุผลที่ชอบและตัดสินใจซื้อมัน
เราใช้ชีวิตแบบพังร่างกายมาก ช่วงรับฟรีแลนซ์โหดๆ นี่ได้นอนแค่วันละ 3-5 ชม. ไม่เกินนี้ ป่วยก็ดันทุรังไปทำงาน คือเหมือนเราอยากเก่ง ปมที่เคยโดนดูถูกตอนนั้นมันมีอิทธิพลมากจริงๆ ตอนนี้เราก็ยังไม่ถือว่าเก่งนะคะ แต่อาจจะขยันกว่าคนอื่น เราไม่ดูทีวี ไม่ดูละคร คือกลับบ้านแล้วจะเปิดคอม แล้วเริ่มทำงานทันที มีไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้าง คือไม่ทิ้งสังคมนะ แต่ถ้าเราติดงานก็จะไม่ไป
ล่าสุดคือเรารับฟรีแลนซ์งานด่วนมางานนึง ซึ่งยาก+ต้องแก้เยอะมาก แล้วนอนน้อยติดกันแล้ว 3 อาทิตย์ วันหยุดตอนไปเที่ยวตจว.ก็เอาคอมไปนั่งแก้งานด้วย เมื่อวานนี้เราเร่งปิดงานที่ออฟฟิศถึงประมาณ 2 ทุ่มกว่า กะว่าถ้าจบงานประจำได้ จะได้มาเคลียร์งานฟรีแลนซ์ที่บ้านต่อ พอถึงบ้านเราก็นั่งพักที่ห้องรับแขก แล้วก็เผลอหลับไปทั้งๆ ที่ยังนั่งตรงโซฟาเลยค่ะ คือหลับคอพับไปเลย พ่อมาเห็นตอน 5 ทุ่มกว่าๆ เลยปลุกให้ไปนอนหลับในห้องดีๆ แต่เราก็นั่งทำงานต่อจนถึงตี 4 (ก็ได้พักแล้วเลยทำงานยาว - -)
เผอิญมีผู้ชายคนนึงกำลังคุยๆ กับเราอยู่ เราก็เล่าให้เค้าฟังว่าช่วงนี้เหนื่อย ปั่นงาน เล่าให้ฟังเรื่องที่เผลอหลับตรงโซฟา เค้าก็บอกว่าเราทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ทำไมต้องเห็นแก่เงินขนาดนั้น เราก็เงิบเลยค่ะ... คือการอยากมี อยากได้ แล้วดิ้นรนหาเงินมาเพื่อซื้อมันนี่เป็นการเห็นแก่เงินหรอคะ เราอาจจะติดกับวัตถุนอกกายจริงๆ แต่ทุกอย่างที่เราซื่อมัน เพราะชอบล้วนๆ คือไม่ได้มองว่าอยากซื้อมาใช้เพราะมันดูไฮโซ มันหรูหราอะไรนะ เอามาก็ใช้งานจริงๆ แต่มันอาจจะแพงกว่ายี่ห้ออื่นๆ จนตอนนี้เราก็หันกลับมามองตัวเองว่า เราทำงานหนักขนาดนี้เพราะอยากได้เงิน อยากเอาเงินมาซื้อของที่อยากได้ แต่มันเป็นการเห็นแก่เงินรึป่าวนี่เราเริ่มไม่แน่ใจ
ถ้าใครอ่านจบ เราอยากรู้ความคิดเห็นค่ะว่ามันเป็นการเห็นแก่เงินจริงๆ มั้ย
คอมเมนต์กันตรงๆ ได้นะคะ เปิดรับความคิดเห็นทุกคนค่ะ ตอนนี้จิตตก+เสียเซลฟ์ไปเลยว่านี่ฉันเป็นคนอย่างนี้จริงๆ หรอ =_____='
ปล. เงยหน้ามาอ่านย้อนอีกที นี่ฉันพิมพ์อะไรไปเยอะแยะเนี่ย เวิ่นเว้อมาก
เราเป็นคนเห็นแก่เงินหรือเปล่าคะ?
ถ้าเป็นปมชีวิตเรื่องเงินเรามีสองเรื่องค่ะ
1. เมื่อก่อนบ้านฐานะค่อนไปทางยากจนเลย อยากได้อะไรก็มักจะไม่ได้ ต้องใช้เงินอย่างประหยัด ทำงานพาร์ทไทม์หาค่าขนมให้ตัวเอง แต่ปัจจุบันโอเคขึ้นมากแล้ว พี่ชายสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็สร้างอพาร์ทเมนต์ให้เช่า เราอยู่บ้าน ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอะไร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ท พี่ชายเป็นคนจัดการหมด พ่อแม่ไม่รับเงินจากเรา ให้ลูกดูแลตัวเองมากกว่า เราก็พาท่านไปกินข้าวบ้าง ซื้อของดีๆ มาให้กินบ้าง
2. แฟนคนล่าสุด (เลิกไปได้เกือบ 2 ปีแล้วค่ะ) เค้าเคยดูถูกเรา ตอนเราเรียนจบใหม่เป็นกราฟิกดีไซน์เงินเดือนสตาร์ทแค่ 12,000 ส่วนเค้าเป็นวิศวกรเงินเดือนสตาร์ท 18,000 คือเค้าก็เก่งจริงแหละ ตอนนี้ก็เป็นเมเนเจอร์แล้ว เค้าดูถูกว่าเราเป็นคนไม่มีอนาคต เงินเดือนน้อย อาชีพไม่ก้าวหน้า (คือเราเป็นกราฟิกดีไซน์ที่ความสามารถกลางๆ ค่ะ ไม่ได้เก่งอะไร) แต่เพราะโดนดูถูกนี่แหละ เลยทำให้เราขยันทำงาน ยิ่งเป็นคนไม่เก่งยิ่งต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า
ตอนนี้อายุ 24 ทำงานอยู่กราฟิกเฮาส์ ได้เงินเดือนหมื่นปลายๆ ค่ะ มีรับฟรีแลนซ์เพิ่มในงานสาย Book Design ซึ่งถ้าใครอยู่วงการนี้จะพอรู้ว่าเงินไม่ได้เยอะมาก + กว่าจะจบงานนึงได้ปาไปเป็นเดือน ใน 1 เดือนเราก็จะมีรายได้เสริมประมาณ 3-5000 เดือนไหนฟลุ๊กได้งานเยอะก็มีรายได้เสริมเป็นหมื่นบาท แต่เดือนไหนปิดงานไม่ได้ก็ไม่มีรายได้เสริมเลย ที่รับงานเยอะขนาดนี้เพราะเราอยากมี อยากได้ของค่ะ อยากได้แม็คบุ๊กโปร อยากได้ไอโฟน อยากติดแอร์ในห้องนอน อยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากได้อะไรตอนนี้เราก็ซื้อ คือเงินเก็บไม่ได้มีมากหรอก แต่พยายามหาเงินมาเยอะๆ เพื่อซื้อของที่เราเคยอยากได้ สนอง need ตัวเอง อะไรแบบนั้น ด้วยความที่ชีวิตเราไม่มีภาระอะไร เราไม่ต้องอยู่หอพัก ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ไม่มี ไม่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่ (พวกท่านไม่รับจริงๆ ค่ะ) คือการพาไปทานข้าวทีนึงมันก็ไม่ได้จ่ายเยอะมากมายขนาดนั้น แต่ก็พยายามซื้ออะไรดีๆ ให้ท่านใช้ ให้ท่านกินบ่อยๆ นะ เหมือนทำได้ดีที่สุดแค่จุดนี้
เราไม่ได้ติดหรูหรือติดไฮโซนะคะ แต่ชอบ iOS เพราะมันเจ๋ง มันเก๋ นวัตกรรมดีเลิศ ยอมจ่ายแพงเพราะชอบฟังก์ชั่นต่างๆ ของมัน ชอบไปเที่ยวต่างประเทศเพราะเค้าเจริญกว่าเรา บ้านเมืองสวยกว่าเรา เราก็แต่งตัวธรรมดา เสื้อผ้าตัวละ 150 บาทก็ซื้อใส่ ไม่ได้หิ้วกระเป๋าชาแนลหรือแบรนด์เนม คือแต่ละอย่างที่มันอาจจะดูราคาสูง แต่เราว่าเรามีเหตุผลที่ชอบและตัดสินใจซื้อมัน
เราใช้ชีวิตแบบพังร่างกายมาก ช่วงรับฟรีแลนซ์โหดๆ นี่ได้นอนแค่วันละ 3-5 ชม. ไม่เกินนี้ ป่วยก็ดันทุรังไปทำงาน คือเหมือนเราอยากเก่ง ปมที่เคยโดนดูถูกตอนนั้นมันมีอิทธิพลมากจริงๆ ตอนนี้เราก็ยังไม่ถือว่าเก่งนะคะ แต่อาจจะขยันกว่าคนอื่น เราไม่ดูทีวี ไม่ดูละคร คือกลับบ้านแล้วจะเปิดคอม แล้วเริ่มทำงานทันที มีไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้าง คือไม่ทิ้งสังคมนะ แต่ถ้าเราติดงานก็จะไม่ไป
ล่าสุดคือเรารับฟรีแลนซ์งานด่วนมางานนึง ซึ่งยาก+ต้องแก้เยอะมาก แล้วนอนน้อยติดกันแล้ว 3 อาทิตย์ วันหยุดตอนไปเที่ยวตจว.ก็เอาคอมไปนั่งแก้งานด้วย เมื่อวานนี้เราเร่งปิดงานที่ออฟฟิศถึงประมาณ 2 ทุ่มกว่า กะว่าถ้าจบงานประจำได้ จะได้มาเคลียร์งานฟรีแลนซ์ที่บ้านต่อ พอถึงบ้านเราก็นั่งพักที่ห้องรับแขก แล้วก็เผลอหลับไปทั้งๆ ที่ยังนั่งตรงโซฟาเลยค่ะ คือหลับคอพับไปเลย พ่อมาเห็นตอน 5 ทุ่มกว่าๆ เลยปลุกให้ไปนอนหลับในห้องดีๆ แต่เราก็นั่งทำงานต่อจนถึงตี 4 (ก็ได้พักแล้วเลยทำงานยาว - -)
เผอิญมีผู้ชายคนนึงกำลังคุยๆ กับเราอยู่ เราก็เล่าให้เค้าฟังว่าช่วงนี้เหนื่อย ปั่นงาน เล่าให้ฟังเรื่องที่เผลอหลับตรงโซฟา เค้าก็บอกว่าเราทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า ทำไมต้องเห็นแก่เงินขนาดนั้น เราก็เงิบเลยค่ะ... คือการอยากมี อยากได้ แล้วดิ้นรนหาเงินมาเพื่อซื้อมันนี่เป็นการเห็นแก่เงินหรอคะ เราอาจจะติดกับวัตถุนอกกายจริงๆ แต่ทุกอย่างที่เราซื่อมัน เพราะชอบล้วนๆ คือไม่ได้มองว่าอยากซื้อมาใช้เพราะมันดูไฮโซ มันหรูหราอะไรนะ เอามาก็ใช้งานจริงๆ แต่มันอาจจะแพงกว่ายี่ห้ออื่นๆ จนตอนนี้เราก็หันกลับมามองตัวเองว่า เราทำงานหนักขนาดนี้เพราะอยากได้เงิน อยากเอาเงินมาซื้อของที่อยากได้ แต่มันเป็นการเห็นแก่เงินรึป่าวนี่เราเริ่มไม่แน่ใจ
ถ้าใครอ่านจบ เราอยากรู้ความคิดเห็นค่ะว่ามันเป็นการเห็นแก่เงินจริงๆ มั้ย
คอมเมนต์กันตรงๆ ได้นะคะ เปิดรับความคิดเห็นทุกคนค่ะ ตอนนี้จิตตก+เสียเซลฟ์ไปเลยว่านี่ฉันเป็นคนอย่างนี้จริงๆ หรอ =_____='
ปล. เงยหน้ามาอ่านย้อนอีกที นี่ฉันพิมพ์อะไรไปเยอะแยะเนี่ย เวิ่นเว้อมาก