เนื่องจากหลายวันมานี้ผมได้มีโอกาสจัดงานให้บุคคลอันเป็นที่รัก
แต่สิ่งที่พบคือ ความขุ่นข้องหมองใจในหลายๆเรื่อง ไม่นับความเสียใจต่อการที่ท่านจากไป
พิธีศพที่ไม่รู้ว่าเขาเรียกแบบพุทธหรือเปล่า แต่ผมกลับคิดว่ามันไม่เข้ากับหลักไตรลักษณ์ที่ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย สักนิด
นับตั้งแต่ติดต่อวัด สิ่งแรกที่ได้ยินจากพระท่านคือ โยมมีเงินก็พอที่เหลือเดี๋ยวจัดการ
เมื่อไปถึงวัด กลับไม่มีใครช่วยเลย ต้องวิ่งวุ่นถามหลวงพี่ จัดโต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ธูปเทียนต่างๆเองหมด อันนี้ไม่ว่า เพราะเราพอเข้าใจและเต็มใจช่วย แต่ขอคนแนะนำหน่อยว่าอะไรวางยังไง
เมื่อจัดศาลาเสร็จ และเริ่มมีญาติพี่น้องอื่นรู้ก็เริ่มทยอยมา ออกความเห็นคนนั้นจะเอาตรงนั้นตรงนี้ จะเอาอันนั้นอันนี้เพิ่ม เราก็ต้องวิ่งวุ่น ขับรถไปซื้อมา ตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผล
เช่น อาหาร สามมื้อ ห้ามมีเส้น เพราะจะเป็นห่วงผูกพัน ตะเกียงต้องจุดตลอดห้ามดับ
อันนี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนา ก็ทำตามได้
เริ่มมีแขกมา รู้จักบ้างไม่รู้บ้างต้องไปสั่งขนม น้ำ ข้าว มาเลี้ยง อ่ะอันนี้เข้าใจ แต่ญาติคนนี้จะเอา
อย่างนั้น อย่างนี้ ถูกสกิดให้วิ่งไปดูแขกวีไอพี พอกินเสร็จกัน ก็ขยะเรี่ยราด หายกันหมดไม่มีใครช่วย
งานพิธีก็เสียงเอะอะ เซ็งแซ่ คนนั้นคุยคนนี้ ทักทายหัวเราะกันสนุกสนาน อย่างกับงานรื่นเริง
ที่อื่นอาจจะมีวงพนันด้วย
พระท่านสวด สังเกตดูก็ไม่ค่อยมีใครตั้งใจฟัง เจ้าภาพก็วิ่งวุ่นเพราะญาติผู้ใหญ่จะคอยสกิดตลอดเวลาให้ไปยกพานบ้าง ถวายผ้าบ้าง กรวดน้ำต้องเอามือแตะตัวกันเป็นทอดเหมือนส่งผ่านพลังงาน สาระความหมายของบทสวดก็ไม่เข้าใจ
เกือบทุกกิจกรรมของพระท่านต้องมีซองปัจจัย(เงิน) แนบด้วยเสมอ สังคทาน ผ้าไตร
พวงหรีด อะไรต่างๆต้องใช้เงินหามาเท่านั้น
ที่แย่สุดคือพี่น้องก็เริ่มทะเลาะกัน เพราะแต่ละคนก็สั่งกันให้ทำโน่นทำนี่ ญาติโกโหติกาที่ไม่รู้จัก
แต่ละคนก็พูดไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าทำเพื่ออะไร บางครั้งจนโกรธไม่มองหน้ากัน
เมื่อต้องเผา เพิ่งรู้ว่าเราต้องใช้น้ำมันถึง 60ลิตรทีเดียว พระท่านให้ไปซื้อมา
บ่นมาเยอะ ผมขอบอกว่า เวลาสงบจิตจริงๆ คิดถึงผู้ล่วงลับน้อยมาก จิตใจกลับขุ่นมัวมากขึ้น
ไม่รู้ผลบุญจะส่งถึงผู้ล่วงลับจริงหรือ
กระทู้นี้มิได้เจตนาลบหลู่ความเชื่อใครครับแต่ผมแค่อยากทราบว่า งานแบบที่เราๆท่านๆทำ
มันมีเหตุผลหรือเนื้อแท้อย่างไร
ผมขอถามชาวหว้ากอที่คิดว่าเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ทำควรมีระเบียบวิธีที่เป็นเหตุเป็นผล อธิบายได้หรือแม้แต่ศาสนาพุทธเองผมก็คิดว่าพิธีศพในปัจจุบัน มันดูไม่เข้ากับหลักคำสอนเลย
หากเป็นท่านอยากจัดงานกันแบบไหน
สำหรับผมอยากที่ฝังร่างหรือเผาในวันเดียว ก็น่าจะดี เพราะอยากกลับสู่ผืนดินเป็นธุลีดินตามธรรมชาติ เงียบๆไม่อยากให้คนข้างหลังวุ่นวายเดือดร้อน
ปล ข้อดีของงานก็มีบ้างคือ ความยุ่งมากจนลดความเศร้าหมองไปได้มาก หรือนี่คือกุศโลบาย
ของพิธี
ชาวหว้ากอ ถ้าต้องจัดงานศพจะจัดแบบไหนกัน
แต่สิ่งที่พบคือ ความขุ่นข้องหมองใจในหลายๆเรื่อง ไม่นับความเสียใจต่อการที่ท่านจากไป
พิธีศพที่ไม่รู้ว่าเขาเรียกแบบพุทธหรือเปล่า แต่ผมกลับคิดว่ามันไม่เข้ากับหลักไตรลักษณ์ที่ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลย สักนิด
นับตั้งแต่ติดต่อวัด สิ่งแรกที่ได้ยินจากพระท่านคือ โยมมีเงินก็พอที่เหลือเดี๋ยวจัดการ
เมื่อไปถึงวัด กลับไม่มีใครช่วยเลย ต้องวิ่งวุ่นถามหลวงพี่ จัดโต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ธูปเทียนต่างๆเองหมด อันนี้ไม่ว่า เพราะเราพอเข้าใจและเต็มใจช่วย แต่ขอคนแนะนำหน่อยว่าอะไรวางยังไง
เมื่อจัดศาลาเสร็จ และเริ่มมีญาติพี่น้องอื่นรู้ก็เริ่มทยอยมา ออกความเห็นคนนั้นจะเอาตรงนั้นตรงนี้ จะเอาอันนั้นอันนี้เพิ่ม เราก็ต้องวิ่งวุ่น ขับรถไปซื้อมา ตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผล
เช่น อาหาร สามมื้อ ห้ามมีเส้น เพราะจะเป็นห่วงผูกพัน ตะเกียงต้องจุดตลอดห้ามดับ
อันนี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนา ก็ทำตามได้
เริ่มมีแขกมา รู้จักบ้างไม่รู้บ้างต้องไปสั่งขนม น้ำ ข้าว มาเลี้ยง อ่ะอันนี้เข้าใจ แต่ญาติคนนี้จะเอา
อย่างนั้น อย่างนี้ ถูกสกิดให้วิ่งไปดูแขกวีไอพี พอกินเสร็จกัน ก็ขยะเรี่ยราด หายกันหมดไม่มีใครช่วย
งานพิธีก็เสียงเอะอะ เซ็งแซ่ คนนั้นคุยคนนี้ ทักทายหัวเราะกันสนุกสนาน อย่างกับงานรื่นเริง
ที่อื่นอาจจะมีวงพนันด้วย
พระท่านสวด สังเกตดูก็ไม่ค่อยมีใครตั้งใจฟัง เจ้าภาพก็วิ่งวุ่นเพราะญาติผู้ใหญ่จะคอยสกิดตลอดเวลาให้ไปยกพานบ้าง ถวายผ้าบ้าง กรวดน้ำต้องเอามือแตะตัวกันเป็นทอดเหมือนส่งผ่านพลังงาน สาระความหมายของบทสวดก็ไม่เข้าใจ
เกือบทุกกิจกรรมของพระท่านต้องมีซองปัจจัย(เงิน) แนบด้วยเสมอ สังคทาน ผ้าไตร
พวงหรีด อะไรต่างๆต้องใช้เงินหามาเท่านั้น
ที่แย่สุดคือพี่น้องก็เริ่มทะเลาะกัน เพราะแต่ละคนก็สั่งกันให้ทำโน่นทำนี่ ญาติโกโหติกาที่ไม่รู้จัก
แต่ละคนก็พูดไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าทำเพื่ออะไร บางครั้งจนโกรธไม่มองหน้ากัน
เมื่อต้องเผา เพิ่งรู้ว่าเราต้องใช้น้ำมันถึง 60ลิตรทีเดียว พระท่านให้ไปซื้อมา
บ่นมาเยอะ ผมขอบอกว่า เวลาสงบจิตจริงๆ คิดถึงผู้ล่วงลับน้อยมาก จิตใจกลับขุ่นมัวมากขึ้น
ไม่รู้ผลบุญจะส่งถึงผู้ล่วงลับจริงหรือ
กระทู้นี้มิได้เจตนาลบหลู่ความเชื่อใครครับแต่ผมแค่อยากทราบว่า งานแบบที่เราๆท่านๆทำ
มันมีเหตุผลหรือเนื้อแท้อย่างไร
ผมขอถามชาวหว้ากอที่คิดว่าเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ทำควรมีระเบียบวิธีที่เป็นเหตุเป็นผล อธิบายได้หรือแม้แต่ศาสนาพุทธเองผมก็คิดว่าพิธีศพในปัจจุบัน มันดูไม่เข้ากับหลักคำสอนเลย
หากเป็นท่านอยากจัดงานกันแบบไหน
สำหรับผมอยากที่ฝังร่างหรือเผาในวันเดียว ก็น่าจะดี เพราะอยากกลับสู่ผืนดินเป็นธุลีดินตามธรรมชาติ เงียบๆไม่อยากให้คนข้างหลังวุ่นวายเดือดร้อน
ปล ข้อดีของงานก็มีบ้างคือ ความยุ่งมากจนลดความเศร้าหมองไปได้มาก หรือนี่คือกุศโลบาย
ของพิธี