[บทความผีแดง 2013-12-07] This is It : แผลที่ปกปิดของเฟอร์กี้ กับการปฏิวัติที่ผิดพลาดของเดวิด มอยส์

เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 14 ของฤดูกาลเพิ่งจบไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ถ้าถามว่าแฟนบอลทีมไหนเหนื่อยใจที่สุดคงหนีไม่พ้น ทีมปีศาจแดงที่ตกไปรั้งอันดับที่ 9 ของตาราง ด้วยการมี 22 คะแนน ตามหลังจ่าฝูงอย่างอาร์เซนอลถึง 12 แต้ม!!



คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของเหล่าเรด อาร์มี นี่พวกเราเป็นแชมป์เก่าจริงหรือ? เดวิด มอยส์เหมาะสมที่จะเป็นทายาทของเซอร์ อเล็๋กซ์ เฟอร์กูสันใช่หรือไม่? ฤดูกาลนี้เราจะจบอันดับที่เท่าไหร่? และอีกร้อยแปดคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้จนกว่าฤดูกาลนี้จะสิ้นสุด

ความพ่ายแพ้ต่อเวสต์บรอมฯ คาบ้านครั้งแรกในรอบ 34 ปี, การแพ้ต่อเอฟเวอร์ตันในโรงละครแห่งความฝันทั้งที่ว่ากุนซือคนปัจจุบันของปีศาจแดงไม่เคยคว้าชัยออกมาได้เลยสมัยทำงานอยู่ในกูดิสัน ปาร์ค ไปจนถึงความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบหมดสภาพ คือหลักฐานท่นโท่ทางประวัติศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมชัดเสียจนไม่มีคำปฎิเสธว่า ผลงานของกุนซือชาวสก็อตในเวลานี้ย่ำแย่เกินทน

มอยส์คือคนที่ใช่ หรือแค่คนคั่นเวลา


หากมองย้อนกลับไปในช่วงซัมเมอร์ กระทาชายนามว่าเดวิด มอยส์ ถูกแต่งตั้งเข้ามาแทนที่ของตำนานกุนซืออย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พร้อมถูกขนานนามว่า “เดอะ โชเซน วัน” แฟนผีจำนวนมากมายต่างวาดหวังไว้อย่างสวยหรูว่าเขาคือคนที่ใช่ และเหมาะสมสำหรับการเป็นทายาทเฟอร์กี้อย่างแท้จริง เมื่อนายใหญ่จากรังท็อฟฟีสีน้ำเงินเป็นโค้ชที่ป๋าลงทุนคัดเลือกด้วยตัวเอง

แต่เค้าลางไม่ดีก็เริ่มปรากฏมาตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ ปีศาจแดงยุคมอยส์คว้าน้ำเหลวมาตลอดในการไล่ล่าตัวนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพ ทั้งเชสก์ ฟาเบรกาสที่ดันทุรังทั้งที่เขาไม่ยอมขาย, ติอาโก้ อัลคันทาร่าที่ขอไปอยู่กับเป็ป กวาร์ดิโอลา เจ้านายเก่าในทีมเสือใต้ หรือการที่ทีมต้องเสียเวลารั้งเวย์น รูนีย์ไปกว่าสองเดือนเต็มๆ

จนสุดท้าย พวกเขาก็มาจบตลาดหน้าร้อนด้วยการคว้ามารูยาน เฟลไลนี (ที่โชว์ฟอร์มยังไม่คุ้มค่าตัว 27.5ล้านปอนด์เลย) มาร่วมทีมได้ในวันสุดท้ายก่อนปิดตลาดแบบเฉียดฉิว (ยังมีดาวรุ่งอีกสองตัวนะ อย่าลืม กิเยร์โม บาเลรากับไซดี้ ยานโก้ไงล่ะ)

เค้าลางที่ย่ำแย่บวกฟอร์มในช่วงปรีซีซันที่เข้าขั้นห่วยบรม ถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้นด้วยการออกสตาร์ทแบบร้อนแรง ถล่มสวอนซีไปถึง 4-1 ทำให้เหล่าเรด อาร์มีต่างพร้อมใจตะโกนว่า ปีนี้ข้ามาแน่ ก่อนจะค่อยๆ เสียงแผ่วลงไป จนเริ่มเงียบสนิทหลังจบเกมแดงเดือด กระทั่งพอมีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นอีกครั้งหลังชนะอาร์เซนอล แต่ตอนนี้พวกเขาคงต้องยอมรับความจริงเสียทีว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาเดิมๆ แบบที่ป๋าเฟอร์กี้อยู่อีกต่อไปแล้ว

การสร้างสถิติไม่แพ้ใครถึง 12 นัดในช่วงก่อนหน้านี้แทบไม่มีแฟนคนไหนจดจำ เนื่องจากเกมส่วนใหญ่จบลงด้วยผลเสมอ และอันดับบริเวณกลางตารางก็เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจให้คุ้นเคยสำหรับสโมสรที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกันมาตลอด 21 ปีที่ก่อตั้งมา

มองไปที่ม้านั่งข้างสนาม สต๊าฟโค้ชทั้ง สตีฟ ราวด์, ฟิล เนวิลล์ รวมถึงไรอัน กิ๊กส์ ต่างพากันทำหน้าบอกบุญไม่รับ ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการปฏิวัติที่ผิดพลาดของเดวิด มอยส์ ซึ่งปลดเรเน่ มิลเลนสตีน ที่ตอนนี้ไปได้งานกับฟูแลม รวมถึง ไมค์ ฟีแลนและเอริค สตีล สตาฟฟ์จากชุดของเฟอร์กี้ จนแทบไม่เหลือเลยหน้าเก่าเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นเจ้าของสโมสรยังเป็นคนเดิมคือตระกูลเกลเซอร์เท่านั้น

นี่คือการเดินหมากผิดพลาดครั้งสำคัญของเดวิด มอยส์ เนื่องจากเขามั่นใจเกินไปว่าหากนำส่วนผสมของเอฟเวอร์ตันมารวมกับปีศาจแดงจะยังทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเกรียงไกรต่อไป ซึ่งคำตอบตอนนี้เริ่มชัดเจนขึ้นทุกวินาทีว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เห็น

เมื่อประกอบกับแผลเน่าที่ปกปิดมาเนิ่นนานตั้งแต่ยุคของบรมกุนซืออย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้ทุกอย่างมันแย่อย่างที่เห็น ความจริงแมนฯ ยูไนเต็ด มีปัญหาชัดเจนมาตั้งแต่ปีก่อน แต่ด้วยกึ๋นและประสบการณ์ของเฟอร์กี้ที่พาให้ทีมเดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ก่อนที่เจ้าตัวจะประกาศวางมือ

แผลแรกการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ปีก่อนของเฟอร์กี้อย่างโรบิน ฟาน เพอร์ซี ซึ่งถือว่าเป็นการชี้ชะตาคว้าแชมป์เมื่อปีที่แล้วเลยก็ว่าได้ แต่กลับกลายเป็นว่าปีศาจแดงชุดล่าสุด คือ ทีมที่มองหาดาวยิงดัตช์ให้เป็นคนแก้สถานการณ์ตลอดเวลา และเมื่อเขาเจ็บหรือฟอร์มตกลงเหมือนอย่างปีนี้ ทุกอย่างก็ดูติดขัดไปหมด

แผลที่สอง คือ กองหลังที่โรยราและเริ่มแสดงความเชื่องช้าออกมาให้เห็น ในวันที่ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมานยา วิดิชไม่ใช่คู่ปราการหินผาเหมือนเคย ในขณะที่จอห์นนี อีแวนส์, คริส สมอลลิงและฟิล โจนส์ยังไม่พร้อมทดแทน ส่งผลให้แนวรับของทีมกลายเป็นบ่อน้ำมันที่พร้อมจะเสียประตูตลอดเวลา

แผลที่สาม การฝากความหวังอันใหญ่หลวงไว้ที่เวย์น รูนีย์ ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง ด้วยฝีเท้าระดับที่เขาเป็นอยู่ คงยังเทียบเวิลด์คลาสขนานแท้ อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซีหรือฟร๊องค์ ริเบรี ไม่ได้ (รูนีย์ไม่เคยมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปหรือติดทีมยอดเยี่ยมแชมเปี้ยนส์ลีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว)

แผลที่สี่ ปีกสองข้างที่เป็นจุดเด่นมาโดยตลอดสมัยที่เฟอร์กี้คุมทัพเริ่มไร้พิษสง เพราะดูจากรายชื่อในปัจจุบัน ทั้งแอชลีย์ ยัง, นานี, อันโตนิโอ วาเลนเซีย และอาจจะรวมถึงแดนนี เวลเบ็ค เมื่อพูดถึงชื่อเหล่านี้ทุกคนแทบจะเบือนหน้าหนีทั้งสิ้น

แผลเหล่านี้แหละที่ตอนนี้เริ่มเกิดอาการอักเสบและเป็นหนองในร่างกายปีศาจแดง จนส่งผลให้ทีมต้องอยู่ในกลางตารางเวลานี้ หากคนที่นั่งอยู่ข้างสนามยังเป็นเซอร์อเล็กซ์ พวกเขาจะไม่มีทางจมปลักในอันดับแบบนี้แน่นอนหลังผ่านไป 14 นัด

มอยส์จะถูกจดจำในฐานะกุนซือผู้ล้มเหลว หรือเขาจะสานต่อความยิ่งใหญ่ของเซอร์อเล็กซ์ได้


ถามว่าเดวิด มอยส์ผิดไหม คำตอบคือก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งคนที่รับไปเต็มๆ น่าจะเป็นเซอร์อเล็กซ์นี่แหละ เฟอร์กี้คือกุนซือที่ฉลาดรู้จักใช้นักเตะ มีกึ๋นในการแก้เกม การสั่งการ การกระตุ้นนักเตะจนพาทีมคว้าแชมป์มาตลอด 26 ปีในการทำงาน

แต่การทำงานมานานๆ มันก็ส่งผลต่อกุนซือคนใหม่ที่จะมาแทนที่เขาเช่นกัน แม้คนที่เข้ามาแทนจะมีกึ๋นระดับไอน์สไตน์อย่างมูรินโญก็ยังต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่งานง่าย รายละเอียดของการเป็นโค้ชไม่ใช่อยู่ที่การวางแท็คติกเพียงอย่างเดียวเหมือนในวิดีโอเกม แต่ทั้งคาแรคเตอร์, การสั่งการ, การกระตุ้นข้างสนาม, การกดดันกรรมการหรืออะไรต่างๆ นานา

ความผิดพลาดของเฟอร์กี้คือการใช้ความฉลาดปกปิดบาดแผลของตัวเองเอาไว้ จนคนใหม่อย่างเดวิด มอยส์เข้ามาก็เจอแผลข้างในเต็มไปหมดแบบไม่รู้ตัว รวมถึงการตัดสินใจอำลาทีมในวันที่กลไกทุกอย่างในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ยังคงทำงานไม่ลงตัว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือฤดูกาลที่เต็มไปด้วยคำถามของแฟนๆ เรด อาร์มี มอยส์จะต้องปฏิวัติทีมใหม่มากน้อยแค่ไหน เขาจะยังมีโอกาสต่อไปหรือไม่ และถ้าไม่...ใครคือผู้เหมาะสมที่จะมานั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้แทน

ท้องฟ้าเหนือสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดยังคงมืดครึ้มไร้ความหวัง และบางทีแฟนบอลหลายคนอาจเฝ้าหวังให้เฟอร์กูสันเข้ามาสะสางปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ในทีมก็เป็นได้


Not the best team, but the winning team

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ปีเตอร์ เคนยอน ซีอีโอของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในขณะนั้น แฟกซ์ไปหา ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เพื่อขอต่อรองค่าตัวของ โรนัลดินโญ ที่สองทีมตกลงกันได้แล้ว ลงอีกสักสองล้านปอนด์ ปารีสโกรธจัด และตัดสินใจขายนักเตะให้บาร์เซโลนาทันที รอนนี่กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานของอซุลกรานา

เรื่องนี้บอกอะไรได้บ้าง?

การตลาดและความสำเร็จของยูไนเต็ดในยุคสมัยของท่านเซอร์เฟอร์กี้ อาจทำให้ทุกคนมองไม่เห็นความเว้าแหว่งของทีมในตำแหน่งต่าง ๆ จนกลายเป็นบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษามาถึงปัจจุบัน - แต่บางครั้ง มันอาจเป็นเพียงวิธีการทำงานของกุนซือเลือดสกอตต์ และข้อจำกัดของยูไนเต็ดเท่านั้น

วันที่มิสเตอร์ อเล็กซ์ แชปแมน เฟอร์กัสสัน เข้ารับงานท้าทายที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ปีศาจแดงเป็นเพียงทีมที่กำลังกระยิ้มกระสนตัวเองให้พ้นจากความตกต่ำ โดยมีความสำเร็จของเซอร์แม็ตต์ บัสบี้ เป็นเงาทะมึนทาบทาอยู่ เฟอร์กี้ทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากแชมป์หนึ่งไปแชมป์หนึ่ง ควบคู่กับทีมการตลาดชั้นเซียน จนกลายเป็นอาณาจักรที่มีแฟนบอลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ในวันที่สโมสรไม่ได้มีเงินทองมากมาย เฟอร์กูสันจับจ่ายอย่างกระเบียดกระเสียน เมื่อสโมสรยกระดับสู่ความร่ำรวย ยูไนเต็ดก็ต้องเจอกับภาวะ "ภาษีคนรวย" ที่ทุกทีมจ้องจะขายนักเตะให้ปีศาจแดงด้วยราคาโก่งสูลิบลิ่ว ซึ่งแทบทุกครั้ง เฟอร์กี้และยูไนเต็ดไม่เอาด้วย(แถมยังจะแอบต่อราคานาทีสุดท้ายเอาเสียอีก)

ถ้ามองกันให้ดี ซูเปอร์ดีลในยุคท่านเซอร์ แทบทั้งหมดเป็นการซื้อตัวสไตล์ซูเปอร์คุ้ม ปีเตอร์ ชไมเคิล, โอเล กุนนาร์ โซลชา ฯลฯ แม้แต่คริสเตียโน โรนัลโด้ แม้จะมีค่าตัวถึง 15 ล้านปอนด์ในวัยไม่เต็ม 20 แต่ความคุ้มค่านั้นไม่ต้องพูดถึง

แม้จะมีโรนัลโด้, ชไมเคิล, เฟอร์ดินานด์, เบ็คแฮม, ฟาน นิสเตลรอย ฯลฯ เป็นข้อยกเว้น แต่ไม่เคยมีสักครั้ง ที่ยูไนเต็ดจะได้รับการยกย่องว่ามีขุมกำลังแต่ละตำแหน่งอยู่ในระดับท็อปของโลก

ขุมกำลังหลักที่เฟอร์กี้ใช้ฟาดฟันกับทุกทีมจากอังกฤษไปถึงยุโรปนั้น แท้จริงประกอบด้วย "เด็กสร้าง" ของสโมสรเป็นหลัก - จะมีนักฟุตบอลระดับ "ดีที่สุดในโลก" สักกี่คน ที่มีเหรียญแชมป์มากกว่า จอห์น โอเชีย, เวส บราวน์?

'Winning team' ของท่านเซอร์จึงไม่ใช่ทีมที่ประกอบด้วยสุดยอดนักเตะทุกพื้นที่ แต่เป็นทีมที่ทุกองคาพยพ ซึมซับฟุตบอลของเขาไว้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมปฎิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ฝีเท้าอาจจะได้แค่พอไปวัดไปวา

ซึ่งอาจไม่ใช่ Winning team ของเดวิด มอยส์ - อย่างน้อยก็ในตอนนี้

credit : www.goal.com/th  โดย อณิวัฏ แผ่นดินทอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่