คงไม่ต้องถึงขั้น วันๆ คอยกวาดสายตาเพื่อมองหา "ระบอบทักษิณ" อย่างเคร่งเครียด
ดังตัวอย่างกรณี อาจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่ว เมื่อระบุว่า
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รับคนจากกระทรวงการคลังไปส่งที่ราชดำเนิน โดยคิดค่าโดยสาร
พันบาท...นี่แหละคือระบอบทักษิณ
ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้กระมัง
เอาเป็นว่าที่กำลังชุมนุมต่อต้านและขับไล่ระบอบทักษิณให้สิ้นจากแผ่นดินไทยอยู่ในเวลานี้
น่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่ ไม่ให้สภาตกอยู่ในมือของพรรคการเมืองที่มีทักษิณอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป
จึงพยายามเสนอ ให้งดเว้นการเลือกตั้ง โดยให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางตามมาตรา 7 จัดตั้ง
รัฐบาลกลาง แล้วจัดตั้งสภาประชาชนขึ้นมาเพื่อร่างกฎกติกาการเลือกตั้งและการเมืองกันใหม่
แต่อันที่จริงแนวคิดแบบนี้เสนอมาตั้งแต่ม็อบเมื่อปี 2548-2549 โน่นแล้ว แต่สังคมไทยไม่เอาด้วย
เปรียบกันง่ายๆ ว่า เป็นการจับการเมืองไทยไปแช่แข็งเอาไว้สัก 3-4 ปี
ระหว่างการแช่แข็ง การเมืองไทยจะอยู่ในมือใคร ก็อยู่ในมือคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาด้วยระบบ "แต่งตั้ง"
เมื่อคนยุค 14 ตุลาคม 2516 ยอมตายเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย เพื่อให้การเมืองพ้นจากมือเผด็จการ
นำอำนาจกระจายไปสู่มือประชาชน แล้วจะมารวบกลับไปสู่กลุ่มคนกลุ่มเดียวอีกทำไม
คนรักประชาธิปไตย หวงแหนในสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ยอมรับแนวทางนี้
แต่เราก็คงปฏิเสธความคิดที่แตกต่างไม่ได้ สิ่งที่แกนนำผู้ชุมนุมนำเสนอ ควรมอง
ในเจตนาที่ดีเอาไว้ด้วย
อีกทั้งสังเกตว่า มีการยืนยันความสำเร็จในการเข้าร่วมของประชาชนเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ
โดยระบุว่า คนมาร่วมชุมนุมเป็นล้าน
พยายามใช้ถ้อยคำเพื่อให้ติดปากว่า มวลมหาประชาชนนับล้าน
การชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 24 พ.ย.นั้น แกนนำบอกว่ามาเป็นล้านอาจจะถึงสองล้าน
เมื่อรวมกับต่างจังหวัดทั่วประเทศ อาจจะมีคนร่วมต่อต้านระบอบทักษิณถึง 30-40 ล้าน
คนก็เป็นได้
แม้จะต่างจากตัวเลขสื่อมวลชนที่รายงานว่าน่าจะอยู่ที่ราว 2 แสน
แต่ไม่เป็นไร เมื่อมั่นใจว่าคนเข้าร่วมเกิน 1 ล้านไปจนถึง 40 ล้าน
น่าจะมีหนทางในการผลักดันเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
อุดมการณ์ที่นำเสนอ โดยง่ายดายกว่าวิธีที่เสนอกันอยู่ขณะนี้
แทนที่จะเสนอนายกฯมาตรา 7 จนถูกต่อต้านจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย
ก็นำเอามวลมหาประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ร่วมกันเลือกพรรคการเมืองใหม่
ที่ชูอุดมการณ์เปลี่ยนการเลือกตั้งและเปลี่ยนการเมือง ให้เข้ามาเป็นเสียงส่วนใหญ่
ในสภาไม่ดีกว่าหรือ
เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนั้น มีประชาชน 15 ล้านเสียงเศษเลือกเพื่อไทย
ถ้าฝ่ายต้านระบอบทักษิณมีมากมายหลายล้าน เกินกว่า 15 ล้านที่เลือกเพื่อไทย
ก็ไม่น่าจะยากเกินไปในการเอาชนะเลือกตั้ง
วิธีนี้ง่าย ไม่ต้องถูกต้านว่า นำเสนอในสิ่งที่นอกกติกาเสรีประชาธิปไตย และขัดกับ
หลักดึงอำนาจที่กระจายไปสู่มือประชาชนกลับมาสู่มือคนกลุ่มเดียว
แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่เดี๋ยวนี้ แล้วจัดตั้งพรรคการเมือง
ที่มีอุดมการณ์จะเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ปราศจาก
การซื้อเสียงของนายทุน ไม่ทำให้สภาต้องอยู่ในมือระบอบทักษิณ
เป็นทางออกที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยที่มีอยู่ มีรัฐธรรมนูญรองรับชัดเจน
แล้วนำมวลมหาประชาชนหลายล้าน 30-40 ล้าน เดินเข้าคูหาเลือกพรรค
การเมืองของคนดีมาเปลี่ยนการเมือง เป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาเพื่อร่างกติกาใหม่
ง่ายกว่าตั้งเยอะมิใช่หรือ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1386323376&grpid=&catid=02&subcatid=0207
คนเสนอ ไม่ใช่นักการเมือง ก็เลยคิดว่าง่ายๆ
แต่นักการเมือง รู้แก่ใจ ว่า เลือกตั้งไปก็แพ้ ถึงได้ใช้วิธีนี้
แต่ ก็ยังไม่เห็นบอกเป็นรูปธรรม เลยว่า แบบไหนถึงจะเรียกว่า
โค่นระบอบทักษิณ สำเร็จแล้ว
โค่นระบอบทักษิณ แบบง่ายๆ โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 (มติชนรายวัน 6 ธันวาคม 2556)
คงไม่ต้องถึงขั้น วันๆ คอยกวาดสายตาเพื่อมองหา "ระบอบทักษิณ" อย่างเคร่งเครียด
ดังตัวอย่างกรณี อาจารย์กิตติศักดิ์ ปรกติ ที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่ว เมื่อระบุว่า
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รับคนจากกระทรวงการคลังไปส่งที่ราชดำเนิน โดยคิดค่าโดยสาร
พันบาท...นี่แหละคือระบอบทักษิณ
ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้กระมัง
เอาเป็นว่าที่กำลังชุมนุมต่อต้านและขับไล่ระบอบทักษิณให้สิ้นจากแผ่นดินไทยอยู่ในเวลานี้
น่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่ ไม่ให้สภาตกอยู่ในมือของพรรคการเมืองที่มีทักษิณอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป
จึงพยายามเสนอ ให้งดเว้นการเลือกตั้ง โดยให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลางตามมาตรา 7 จัดตั้ง
รัฐบาลกลาง แล้วจัดตั้งสภาประชาชนขึ้นมาเพื่อร่างกฎกติกาการเลือกตั้งและการเมืองกันใหม่
แต่อันที่จริงแนวคิดแบบนี้เสนอมาตั้งแต่ม็อบเมื่อปี 2548-2549 โน่นแล้ว แต่สังคมไทยไม่เอาด้วย
เปรียบกันง่ายๆ ว่า เป็นการจับการเมืองไทยไปแช่แข็งเอาไว้สัก 3-4 ปี
ระหว่างการแช่แข็ง การเมืองไทยจะอยู่ในมือใคร ก็อยู่ในมือคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาด้วยระบบ "แต่งตั้ง"
เมื่อคนยุค 14 ตุลาคม 2516 ยอมตายเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย เพื่อให้การเมืองพ้นจากมือเผด็จการ
นำอำนาจกระจายไปสู่มือประชาชน แล้วจะมารวบกลับไปสู่กลุ่มคนกลุ่มเดียวอีกทำไม
คนรักประชาธิปไตย หวงแหนในสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ยอมรับแนวทางนี้
แต่เราก็คงปฏิเสธความคิดที่แตกต่างไม่ได้ สิ่งที่แกนนำผู้ชุมนุมนำเสนอ ควรมอง
ในเจตนาที่ดีเอาไว้ด้วย
อีกทั้งสังเกตว่า มีการยืนยันความสำเร็จในการเข้าร่วมของประชาชนเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ
โดยระบุว่า คนมาร่วมชุมนุมเป็นล้าน
พยายามใช้ถ้อยคำเพื่อให้ติดปากว่า มวลมหาประชาชนนับล้าน
การชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 24 พ.ย.นั้น แกนนำบอกว่ามาเป็นล้านอาจจะถึงสองล้าน
เมื่อรวมกับต่างจังหวัดทั่วประเทศ อาจจะมีคนร่วมต่อต้านระบอบทักษิณถึง 30-40 ล้าน
คนก็เป็นได้
แม้จะต่างจากตัวเลขสื่อมวลชนที่รายงานว่าน่าจะอยู่ที่ราว 2 แสน
แต่ไม่เป็นไร เมื่อมั่นใจว่าคนเข้าร่วมเกิน 1 ล้านไปจนถึง 40 ล้าน
น่าจะมีหนทางในการผลักดันเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
อุดมการณ์ที่นำเสนอ โดยง่ายดายกว่าวิธีที่เสนอกันอยู่ขณะนี้
แทนที่จะเสนอนายกฯมาตรา 7 จนถูกต่อต้านจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย
ก็นำเอามวลมหาประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ร่วมกันเลือกพรรคการเมืองใหม่
ที่ชูอุดมการณ์เปลี่ยนการเลือกตั้งและเปลี่ยนการเมือง ให้เข้ามาเป็นเสียงส่วนใหญ่
ในสภาไม่ดีกว่าหรือ
เพราะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนั้น มีประชาชน 15 ล้านเสียงเศษเลือกเพื่อไทย
ถ้าฝ่ายต้านระบอบทักษิณมีมากมายหลายล้าน เกินกว่า 15 ล้านที่เลือกเพื่อไทย
ก็ไม่น่าจะยากเกินไปในการเอาชนะเลือกตั้ง
วิธีนี้ง่าย ไม่ต้องถูกต้านว่า นำเสนอในสิ่งที่นอกกติกาเสรีประชาธิปไตย และขัดกับ
หลักดึงอำนาจที่กระจายไปสู่มือประชาชนกลับมาสู่มือคนกลุ่มเดียว
แค่เรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา-เลือกตั้งใหม่เดี๋ยวนี้ แล้วจัดตั้งพรรคการเมือง
ที่มีอุดมการณ์จะเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ปราศจาก
การซื้อเสียงของนายทุน ไม่ทำให้สภาต้องอยู่ในมือระบอบทักษิณ
เป็นทางออกที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยที่มีอยู่ มีรัฐธรรมนูญรองรับชัดเจน
แล้วนำมวลมหาประชาชนหลายล้าน 30-40 ล้าน เดินเข้าคูหาเลือกพรรค
การเมืองของคนดีมาเปลี่ยนการเมือง เป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาเพื่อร่างกติกาใหม่
ง่ายกว่าตั้งเยอะมิใช่หรือ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1386323376&grpid=&catid=02&subcatid=0207
คนเสนอ ไม่ใช่นักการเมือง ก็เลยคิดว่าง่ายๆ
แต่นักการเมือง รู้แก่ใจ ว่า เลือกตั้งไปก็แพ้ ถึงได้ใช้วิธีนี้
แต่ ก็ยังไม่เห็นบอกเป็นรูปธรรม เลยว่า แบบไหนถึงจะเรียกว่า
โค่นระบอบทักษิณ สำเร็จแล้ว