หากคุณคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะนำเสนอเกี่ยวกับการแบ่งแยกชนชั้นไม่ต่างกับ Elysium ที่สุดท้ายคนจนก็ทำลายทั้งระบบจนพินาศย่อยยับเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้ง เพราะทุกคนต้องการความเสมอภาค ก็ถือเป็นการด่วนสรุปที่เร็วเกินไป เพราะ SNOWPIERCER ไปไกลยิ่งกว่านั้นและแยบคายยิ่งกว่านั้น
SNOWPIERCER คือรถไฟที่ใช้หัวรถจักรพลังงานอนันต์ หากเปรียบเปรยก็คือพาหนะที่บรรทุกมนุษยชาติกลุ่มสุดท้ายก็ไม่ปาน
ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การอุปมาอุปมัยเป็นหลัก จับสังคมโลกอันใหญ่โตมโหฬารทั้งหมดมาย่นย่อเหลือเพียงรถไฟขบวนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอีกเช่นกัน หากคุณดูเอาความสมจริงเป็นหลัก คุณก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับความไม่สมเหตุสมผลต่างๆ นานา แต่หากคุณมองด้วยสายตาที่ว่าทุกอย่างเป็นการเปรียบเทียบแฝงนัยยะทางสังคม ความสนุกก็จะพุ่งไปอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือความสนุกไปกับการตีความ
ในรถไฟขบวน (สังคม) นี้มีอะไรบ้าง
- ชนชั้นชายขอบ (หรือหลุดจากขอบ) มีลูกหลานก็ถูกส่งไปทำงานในโบกี้ที่ตัวเองไม่รู้จัก
- ชนชั้นแรงงาน ทำหน้าที่ผลิตอาหารเลี้ยงคนในรถไฟ
- ฝ่ายปลูกฝังการศึกษา ผู้สะท้อนผลิตผลความรู้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ว่าอนาคตมีอะไรรอพวกเขาอยู่
- ฝ่ายบันเทิง สนุกสนาน เฮฮาปาตี้
- ฝ่ายผู้ใช้อำนาจ หรือกลุ่มผู้ถือไม้ตะพด ปราบปรามให้ทุกคน (ที่อยู่ชนชั้นล่าง) ประพฤติตามกฎระเบียบด้วยดี
- ฝ่ายปกครอง ผู้มีอำนาจในการสั่งการ
- และฝ่ายสุดท้าย คือฝ่ายผู้บัญญัติการปกครอง คนกุมหัวรถจักร หรือคนที่กุมชะตามนุษย์ชาติไว้ในมือ
ตัวละครเอก Curtis คือชายคนแรกที่สามารถเดินจากหางขบวนไปถึงหัวขบวนอย่างสมบูรณ์แบบ
นั่นหมายถึง เขาคือคนที่เห็นภาพรวมทั้งหมดของโครงสร้างสังคมภายในรถไฟขบวนนี้
ตามเส้นทางที่ Wilford ผู้สร้างรถไฟ หรือชายจากหัวรถจักรอันชั่วร้าย กับ Gilliam ชายผู้ดำรงตนอยู่ในความเมตตา ได้วางหมากอย่างแยบคาย ค่อยๆ ปั้นนักกบฏหน่มผู้มีความมุ่งมั่นในการคืนความเสมอภาคให้สังคมขบวนนี้ ได้เห็นกลไกทุกๆ ส่วน ผ่านการเดินในแต่ละย่างก้าวจนมาถึง ณ หัวขบวน
ความดีในตัว Gilliam เป็นแรงผลักให้เขาต่อสู้ทีละโบกี้ๆ เพื่อทะลายความชั่วร้ายจากการกดขี่
แต่เมื่อถึงเส้นชัย ราคาซึ่งต้องแลกกับชีวิตของพันมิตรร่วมอุดมการณ์ที่ตายลงจนเกือบหมด
เขาก็ได้พบกับผู้สร้างของรถไฟขบวนนี้ สิ่งที่ได้มิใช่การทำลายความไม่เสมอภาค แต่สิ่งที่ได้คือ "คำตอบ"
"คำตอบ" ที่ว่า เหตุใดจึงต้องมีองค์ประกอบอันแตกต่างในสังคมในแต่ละโบกี้ ทำไมต้องมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทำไมต้องมีสงคราม เพราะนั่นเป็นการลดจำนวนประชาการ เพราะนั่นทำให้สังคมอยู่ได้...
"พวกเราทั้งหมดต่างก็ติดคุก ณ รถไฟขบวนนี้ไม่ต่างกัน คุกที่เป็นแหล่งของมนุษยชาติแหล่งสุดท้าย การใช้ธรรมชาติในการดำรงอยู่ช้าเกินไป"
คนกันเองนี่แหละ จึงต้องเข้าควบคุม ให้สังคมมวลรวมไม่พังพินาศไปเสียก่อน
การเปรียบเทียบ เสียดสี สังคมภาพรวมอันเย้อหยันเชิง Dystopia และอธิบายว่าเหตุใด สังคมแห่ง Utopia จะมิอาจเกิดขึ้นได้ เหตุโลกทุกวันนี้จึงมีแต่ความวุ่นวาย (หรือไม่)
สิ่งที่เสียดสีเย้อหยันอีกทบหนึ่ง คือสุดท้าย Curtis ก็เลือกที่จะทำลายหัวรถจักรเพราะเขารับไม่ได้กับการที่เห็นเด็กอันไร้เดียงสาถูกตีค่าให้เป็นฟันเฟีองตัวหนึ่งของหัวรถจักร (เพราะอันที่จริงแล้วหัวรถจักรที่วิ่งไปชั่วนิจนิรันดร์เป็นเรื่องไร้สาระ ชิ้นส่วนทุกอย่างตามก็เสื่อมโทรมตามกฎของความไม่เที่ยงเป็นอาจิณ) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเองแหละที่เป็นคนเอาเด็กมาเป็นเครื่องประทังความหิว และเขาเลือกที่จะทิ้งชีวิต Edgar เพื่อบรรลุต่อการกบฏ
ศีลธรรมที่ Gilliam บ่มเพาะเขาขึ้นมานี่แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจทำลายรถไฟขบวนนี้ และเผชิญหน้ากับโลกภายนอกที่ไม่รู้ชะตากรรมของมนุษยชาติในอนาคต
เหลือเพียง เด็ก 2 คน (หรือมากกว่านั้นหากมีคนรอดชีวิต) ให้ต่อสู้กับความหนาวเย็นและหมีขั้วโลก สำหรับการดำรงชีวิตในวันพรุ่งนี้
เสริม
พอเห็น Ed Harris ในฉากสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือน Truman พบผู้สร้าง ใน The Truman Show
หากมีแนวคิดเสริม เห็นด้วย หรือ เห็นต่างๆ ใดๆ ก็มาร่วมถก ร่วมคุยได้ครับ
กระทู้ชวนสนทนา SNOWPIERCER : มนุษยชาติขบวนสุดท้าย [SPOILER]
SNOWPIERCER คือรถไฟที่ใช้หัวรถจักรพลังงานอนันต์ หากเปรียบเปรยก็คือพาหนะที่บรรทุกมนุษยชาติกลุ่มสุดท้ายก็ไม่ปาน
ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การอุปมาอุปมัยเป็นหลัก จับสังคมโลกอันใหญ่โตมโหฬารทั้งหมดมาย่นย่อเหลือเพียงรถไฟขบวนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอีกเช่นกัน หากคุณดูเอาความสมจริงเป็นหลัก คุณก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับความไม่สมเหตุสมผลต่างๆ นานา แต่หากคุณมองด้วยสายตาที่ว่าทุกอย่างเป็นการเปรียบเทียบแฝงนัยยะทางสังคม ความสนุกก็จะพุ่งไปอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือความสนุกไปกับการตีความ
ในรถไฟขบวน (สังคม) นี้มีอะไรบ้าง
- ชนชั้นชายขอบ (หรือหลุดจากขอบ) มีลูกหลานก็ถูกส่งไปทำงานในโบกี้ที่ตัวเองไม่รู้จัก
- ชนชั้นแรงงาน ทำหน้าที่ผลิตอาหารเลี้ยงคนในรถไฟ
- ฝ่ายปลูกฝังการศึกษา ผู้สะท้อนผลิตผลความรู้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ ว่าอนาคตมีอะไรรอพวกเขาอยู่
- ฝ่ายบันเทิง สนุกสนาน เฮฮาปาตี้
- ฝ่ายผู้ใช้อำนาจ หรือกลุ่มผู้ถือไม้ตะพด ปราบปรามให้ทุกคน (ที่อยู่ชนชั้นล่าง) ประพฤติตามกฎระเบียบด้วยดี
- ฝ่ายปกครอง ผู้มีอำนาจในการสั่งการ
- และฝ่ายสุดท้าย คือฝ่ายผู้บัญญัติการปกครอง คนกุมหัวรถจักร หรือคนที่กุมชะตามนุษย์ชาติไว้ในมือ
ตัวละครเอก Curtis คือชายคนแรกที่สามารถเดินจากหางขบวนไปถึงหัวขบวนอย่างสมบูรณ์แบบ
นั่นหมายถึง เขาคือคนที่เห็นภาพรวมทั้งหมดของโครงสร้างสังคมภายในรถไฟขบวนนี้
ตามเส้นทางที่ Wilford ผู้สร้างรถไฟ หรือชายจากหัวรถจักรอันชั่วร้าย กับ Gilliam ชายผู้ดำรงตนอยู่ในความเมตตา ได้วางหมากอย่างแยบคาย ค่อยๆ ปั้นนักกบฏหน่มผู้มีความมุ่งมั่นในการคืนความเสมอภาคให้สังคมขบวนนี้ ได้เห็นกลไกทุกๆ ส่วน ผ่านการเดินในแต่ละย่างก้าวจนมาถึง ณ หัวขบวน
ความดีในตัว Gilliam เป็นแรงผลักให้เขาต่อสู้ทีละโบกี้ๆ เพื่อทะลายความชั่วร้ายจากการกดขี่
แต่เมื่อถึงเส้นชัย ราคาซึ่งต้องแลกกับชีวิตของพันมิตรร่วมอุดมการณ์ที่ตายลงจนเกือบหมด
เขาก็ได้พบกับผู้สร้างของรถไฟขบวนนี้ สิ่งที่ได้มิใช่การทำลายความไม่เสมอภาค แต่สิ่งที่ได้คือ "คำตอบ"
"คำตอบ" ที่ว่า เหตุใดจึงต้องมีองค์ประกอบอันแตกต่างในสังคมในแต่ละโบกี้ ทำไมต้องมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทำไมต้องมีสงคราม เพราะนั่นเป็นการลดจำนวนประชาการ เพราะนั่นทำให้สังคมอยู่ได้...
"พวกเราทั้งหมดต่างก็ติดคุก ณ รถไฟขบวนนี้ไม่ต่างกัน คุกที่เป็นแหล่งของมนุษยชาติแหล่งสุดท้าย การใช้ธรรมชาติในการดำรงอยู่ช้าเกินไป"
คนกันเองนี่แหละ จึงต้องเข้าควบคุม ให้สังคมมวลรวมไม่พังพินาศไปเสียก่อน
การเปรียบเทียบ เสียดสี สังคมภาพรวมอันเย้อหยันเชิง Dystopia และอธิบายว่าเหตุใด สังคมแห่ง Utopia จะมิอาจเกิดขึ้นได้ เหตุโลกทุกวันนี้จึงมีแต่ความวุ่นวาย (หรือไม่)
สิ่งที่เสียดสีเย้อหยันอีกทบหนึ่ง คือสุดท้าย Curtis ก็เลือกที่จะทำลายหัวรถจักรเพราะเขารับไม่ได้กับการที่เห็นเด็กอันไร้เดียงสาถูกตีค่าให้เป็นฟันเฟีองตัวหนึ่งของหัวรถจักร (เพราะอันที่จริงแล้วหัวรถจักรที่วิ่งไปชั่วนิจนิรันดร์เป็นเรื่องไร้สาระ ชิ้นส่วนทุกอย่างตามก็เสื่อมโทรมตามกฎของความไม่เที่ยงเป็นอาจิณ) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเองแหละที่เป็นคนเอาเด็กมาเป็นเครื่องประทังความหิว และเขาเลือกที่จะทิ้งชีวิต Edgar เพื่อบรรลุต่อการกบฏ
ศีลธรรมที่ Gilliam บ่มเพาะเขาขึ้นมานี่แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจทำลายรถไฟขบวนนี้ และเผชิญหน้ากับโลกภายนอกที่ไม่รู้ชะตากรรมของมนุษยชาติในอนาคต
เหลือเพียง เด็ก 2 คน (หรือมากกว่านั้นหากมีคนรอดชีวิต) ให้ต่อสู้กับความหนาวเย็นและหมีขั้วโลก สำหรับการดำรงชีวิตในวันพรุ่งนี้
เสริม
พอเห็น Ed Harris ในฉากสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือน Truman พบผู้สร้าง ใน The Truman Show
หากมีแนวคิดเสริม เห็นด้วย หรือ เห็นต่างๆ ใดๆ ก็มาร่วมถก ร่วมคุยได้ครับ