ใครมีวิธี หรือให้คำแนะนำที่ดีได้บ้างมั๊ยคะ อยากขอปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์ในการดูแลคุณพ่อ คุณแม่ที่สูงอายุหน่อยนะคะ
คุณแม่ของดิฉันปัจจุบันอายุ 70 ปี ที่ผ่านมา ท่านมีอาการนอนไม่หลับ เพราะความเครียด เอาแต่พะวักพะวง กลุ้มใจ ทำสีหน้าหมองๆ จนพาไปปรึกษาแพทย์ทางอายุรกรรม คุณหมอก็ให้ทานยาคลายเครียด คืนละสองเม็ด และอาหารเสริม คุณแม่ซึ่งอิดออดๆ ในตอนแรก ไม่ค่อยอยากทานยาคลายเครียดนัก ต่อรองทีละครึ่งเม็ด จนเป็นหนึ่งเม็ด แล้วก็กลายเป็นสองเม็ดในที่สุด เพราะคุณแม่จะรู้สึกว่า หลับไม่เท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นมาอีกตอนดึกๆ อีก เมื่อยาหมด ก็ต้องคอยไปพบคุณหมอ เพื่อให้สั่งยาให้ทานต่อเนื่องไปเรื่อย แต่ท่านก็ไม่เคยหายเครียดหรอกนะคะ เราก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความคิดของท่านเอง กังวลนั่นนี่ กลุ้มใจในลักษณะงูกินหาง แล้วก็ชอบมาคอยเซ้าซ้กับลูกๆ ทั้งเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่านเอง และเรื่องส่วนตัวของลูกๆ ซึ่งเวลาที่เป็นเรื่องของดิฉันๆ มักจะทนไม่ค่อยได้ เพราะจะรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องมาให้ท่านคอยกำกับพฤติกรรมโน่นนี่ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็จะคาดคั้น บังคับให้ตามใจท่านให้ได้ จนดิฉันอารมณ์เสียบ่อยครั้ง บวกกับที่เวลาที่ท่าน กังวลใจเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะปลอบใจ ให้คำแนะนำอย่างไร ท่านก็ยังจะวนเวียนๆ หาสารพัด จะเหตุผล (ซึ่งเรามองว่า ไม่สมเหตุสมผล ไร้สาระที่สุด) วนเวียนมาตัวเอง กลุ้มไม่เลิก
ซึ่งดิฉันยอมรับว่า ตัวเองรู้สึกอึดอัดใจกับคุณแม่มาก
เวลาที่ดิฉันเห็นท่าน ถูกพี่สาวคนโต พูดจาดุด่าท่านรุนแรง ก็รู้สึกสงสารท่านมาก ท่านมักจะถูกลูกๆ รู้สึกรำคาญ เพราะความคิดความอ่านของท่านกับพวกเรา ต้องยอมรับว่า มองกันคนละมุม คิดกันคนละอย่าง หลายๆ อย่าง สำหรับตัวดิฉันเอง ยอมรับว่า ก็จะอึดอัดใจกับคุณแม่มาก จนถึงขั้นโมโหได้ ถ้าท่านจะมายัดเยียดความคิดและวิธีปฏิบัติของท่านใส่ดิฉัน
ที่ผ่านมา ดิฉันรักคุณแม่มาก เพราะก็ทราบว่า ท่านรักลูก คอยดูแล และเสียสละให้ลูกได้เสมอ จนถ้าดูจากมุมคนภายนอก ท่านสามารถจะเป็นคนที่ดูจะเอาแต่ใจ และเห็นแก่ตัวกับคนอื่นๆ เพื่อลูก แต่เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ท่านต้องการความรัก การเอาใจใส่จากพวกเรา ดิฉันรู้สึกว่า เหมือนท่านไม่มีเหตุผล บทจะเอาอะไร ก็จะเอาให้ได้ จนคนในบ้าน ไม่มีใครอยากจะตัดสินใจเรื่องอะไร เกี่ยวกับครอบครัว เพราะถ้าท่านไม่ถูกใจ ก็จะสามารถมาพูดจาตำหนิ พูดให้คนอื่นรู้สึกได้ว่า ท่านไม่ถูกใจอย่างจริงๆ จังๆ ซึ่งต่อมาๆ อาการของท่านมันก็มากขึ้น ท่านไม่พอใจได้กับทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ท่านเป็นคนเลือก หรือตัดสินใจเอง ท่านก็จะคอยบ่น ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ และจะขอให้แก้ไขให้ท่านไปไม่รู้จักจบสิ้น
ซึ่งในฐานะของลูกที่คอยดูแลท่าน มันอดรู้สึกไม่ได้ว่า เมื่อไหร่ท่านจะรู้สึกพอใจ รู้สึกดี รู้สึกชื่นชมกับสิ่งที่ลูกๆ ทำให้ซะที ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องเล็ก เรื่องใหญ๋ ก็ยังไม่เคยดีพอ อธิบายกับท่าน จนรู้สึกท้อ ไม่เอาแล้ว ไม่อยากคุยด้วยแล้ว เวลาที่ท่านนอนไม่หลับ ก็จะลุกขึ้นมาเดินขึ้นมา ถ้าเห็นดิฉันยังไม่นอนล่ะก็ เป็นต้องขอให้มาฟังท่านระบายเกี่ยวกับสุขภาพของท่าน หรือไม่ก็เรื่องโน้นเรื่องนี้ ที่ท่านจะสรรหามากลุ้มใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วก็บอกว่าเป็นสาเหตุที่ท่านนอนไม่หลับ
ดิฉันไม่อยากเป็นลูกที่เลวนะคะ ดิฉันรู้สึกสงสารท่านมาก เวลาที่เห็นท่านโดนพี่สาวคนอารมณ์ร้อนของดิฉัน ดุด่าอย่างรุนแรง แต่ด้วยความที่นิสัยของท่านเป็นคนสาเหตุที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดและรำคาญใจ มันก็เป็นสิ่งที่ดิฉันเองก็รู้สึกอยากจะอยู่ไกลๆ คุณแม่มาก เพราะไม่ว่าจะทำยังงัย ท่านก็ไม่เคยจะยอม ปล่อยวาง ยิ้มและมีความสุขเป็นกำลังใจให้กับลูกเลย มันมีความรู้สึกคล้ายกับท่านอยากป่วย อยากให้ตัวเองดูทุกข์ น่าสงสาร เพื่อให้ใครๆ มาคอยเอาใจ เพราะเวลาที่ดิฉันโกรธ ท่านก็จะชอบมาตื้ออ้อน ว่าอย่าโกรธท่าน เรียกเราจ้ะจ๋า ทั้งๆ ที่ปกติท่านไม่ใช่คนพูดจาแบบนี้
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันขอให้ที่บ้านพาท่านไปพบจิตแพทย์ ที่สามารถรับฟัง หรือให้คำแนะนำแก่คุณแม่ได้ ปรากฎว่าคุณหมอวินิจฉัยว่า คุณแม่เป็นโรคอะไรสักอย่างที่ดิฉันจำชื่อไม่ได้ แต่ค้นใน wiki แล้วเหมือนจะเป็นบุคลิกภาพของคนที่เอาแต่ใจตัวเองแบบสุดขอบ จะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ และจะรู้สึกไม่มั่นคง ถ้าคนอื่นไม่ยอมคล้อยตาม ดิฉันก็จะสังเกตว่า คุณแม่จะมีการเอาแต่ใจในลักษณะที่ ถ้าท่านกำลังจะต้องทำอะไร หรือพูดอะไร ต่อให้คนมาห้าม มาเตือนยังงัย ท่านก็จะไม่ฟัง ถ้าสะกิดเตือนให้หยุด ท่านก็จะสะบัดมือทิ้ง กับพี่สาว ถึงขนาดเคยแย่งโทรศัพท์หรือทำอะไรเหมือนคนไม่รู้ตัว เมื่อดิฉันเจอกับตัว ก็เคยพูดกับท่าน ไปว่า ดิฉันโกรธที่ท่านทำอะไรไม่ยั้งคิด เตือนยังงัยก็ไม่หยุดที่จะฟัง ซึ่งตอนที่ยังไม่ทราบว่าคุณหมอวินิจฉัยแบบนี้ ดิฉันมองและบอกกับท่านไปว่า ท่านเป็นคนเอาใจแต่ตัวเองมาก และโกรธท่านมาก ท่านก็ได้แต่นิ่งและเสียใจ แต่ท่านไม่เคยเปลี่ยนเลย จนความอดทนของดิฉันน้อยลงเรื่อยๆ
ดิฉันก็ปฎิญานกับพระ ว่าจะไม่ทำอะไร หรือพูดจาอะไรให้ท่านเสียใจ มาถึงวันนี้ ดิฉันยังทำไม่ได้เลย และอยากจะหนีคุณแม่ไปไกลๆ เผื่อว่า เราห่างกัน ความรู้สึกของดิฉันจะไม่แย่อย่างนี้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใช่มั๊ยคะ ดิฉันรู้ตัวดีว่า เวลานี้ ดิฉันไม่ได้ต้องการคนมาคอยเตือนสติ ว่าดิฉันควรทำหรือคิดอย่างไรกับผู้มีพระคุณที่เป็นบุพการีของตัวเอง ดิฉันอยากขอคำแนะนำค่ะ สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์หรือมีวิธีการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย ดิฉันยังแน่ใจเลยว่า การไปวัด ฟังธรรม จะช่วยคุณแม่ได้หรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วท่านเป็นคนไหว้พระ สวดมนต์มาแต่ไหน แต่ไร แต่จะเป็นแนวไหว้สักการะ บูชาเพื่อแสดงความเคารพและขอให้ท่านคุ้มครอง มีโอกาสที่น้อยมากที่ท่านจะเปิดใจฟังธรรมฟังเทศน์ ยิ่งไปแนวสมาธิ วิปัสนา ท่านยิ่งไม่เอาด้วย สำหรับคนที่ใครพูดใครเตือนอะไรก็ไม่ฟังอย่างท่าน ท่านจะรับฟังก็เฉพาะคนนอกครอบครัว หรือจากรายการวิทยุที่ท่านเลือกฟังเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ ด้วยความที่เอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ ท่านไม่เปิดรับฟัง หรือดูสื่ออะไรเลย เอาแต่ทำหน้าเศร้า ตาตก แล้วก็บ่นระบายความทุกข์ของตัวเอง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ของคนอื่นๆ ที่ดิฉันเคยได้ยินมา เช่น จากเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ความทุกข์ของท่าน มาจากความยึดติดของท่านเองทั้งนั้น ปัญหาของท่านเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนอื่น และถ้าดิฉันจะเล่าเรื่องของคนอื่น เพื่อให้ท่านเปรียบเทียบ และมีกำลังใจ ท่านก็จะห้ามให้ดิฉันหยุด และไม่ยอมฟัง
ถ้าใครพอที่จะมีประสบการณ์ หรือทราบวิธีในการดูแล หรือการปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับคนเป็นลูกอย่างดิฉัน ดิฉันขอความกรุณานะคะ จักขอบพระคุณมากค่ะ
รู้สึกทนคุณแม่ไม่ค่อยได้เลยค่ะ
คุณแม่ของดิฉันปัจจุบันอายุ 70 ปี ที่ผ่านมา ท่านมีอาการนอนไม่หลับ เพราะความเครียด เอาแต่พะวักพะวง กลุ้มใจ ทำสีหน้าหมองๆ จนพาไปปรึกษาแพทย์ทางอายุรกรรม คุณหมอก็ให้ทานยาคลายเครียด คืนละสองเม็ด และอาหารเสริม คุณแม่ซึ่งอิดออดๆ ในตอนแรก ไม่ค่อยอยากทานยาคลายเครียดนัก ต่อรองทีละครึ่งเม็ด จนเป็นหนึ่งเม็ด แล้วก็กลายเป็นสองเม็ดในที่สุด เพราะคุณแม่จะรู้สึกว่า หลับไม่เท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นมาอีกตอนดึกๆ อีก เมื่อยาหมด ก็ต้องคอยไปพบคุณหมอ เพื่อให้สั่งยาให้ทานต่อเนื่องไปเรื่อย แต่ท่านก็ไม่เคยหายเครียดหรอกนะคะ เราก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความคิดของท่านเอง กังวลนั่นนี่ กลุ้มใจในลักษณะงูกินหาง แล้วก็ชอบมาคอยเซ้าซ้กับลูกๆ ทั้งเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่านเอง และเรื่องส่วนตัวของลูกๆ ซึ่งเวลาที่เป็นเรื่องของดิฉันๆ มักจะทนไม่ค่อยได้ เพราะจะรู้สึกอึดอัด ที่จะต้องมาให้ท่านคอยกำกับพฤติกรรมโน่นนี่ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็จะคาดคั้น บังคับให้ตามใจท่านให้ได้ จนดิฉันอารมณ์เสียบ่อยครั้ง บวกกับที่เวลาที่ท่าน กังวลใจเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะปลอบใจ ให้คำแนะนำอย่างไร ท่านก็ยังจะวนเวียนๆ หาสารพัด จะเหตุผล (ซึ่งเรามองว่า ไม่สมเหตุสมผล ไร้สาระที่สุด) วนเวียนมาตัวเอง กลุ้มไม่เลิก
ซึ่งดิฉันยอมรับว่า ตัวเองรู้สึกอึดอัดใจกับคุณแม่มาก
เวลาที่ดิฉันเห็นท่าน ถูกพี่สาวคนโต พูดจาดุด่าท่านรุนแรง ก็รู้สึกสงสารท่านมาก ท่านมักจะถูกลูกๆ รู้สึกรำคาญ เพราะความคิดความอ่านของท่านกับพวกเรา ต้องยอมรับว่า มองกันคนละมุม คิดกันคนละอย่าง หลายๆ อย่าง สำหรับตัวดิฉันเอง ยอมรับว่า ก็จะอึดอัดใจกับคุณแม่มาก จนถึงขั้นโมโหได้ ถ้าท่านจะมายัดเยียดความคิดและวิธีปฏิบัติของท่านใส่ดิฉัน
ที่ผ่านมา ดิฉันรักคุณแม่มาก เพราะก็ทราบว่า ท่านรักลูก คอยดูแล และเสียสละให้ลูกได้เสมอ จนถ้าดูจากมุมคนภายนอก ท่านสามารถจะเป็นคนที่ดูจะเอาแต่ใจ และเห็นแก่ตัวกับคนอื่นๆ เพื่อลูก แต่เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่ท่านต้องการความรัก การเอาใจใส่จากพวกเรา ดิฉันรู้สึกว่า เหมือนท่านไม่มีเหตุผล บทจะเอาอะไร ก็จะเอาให้ได้ จนคนในบ้าน ไม่มีใครอยากจะตัดสินใจเรื่องอะไร เกี่ยวกับครอบครัว เพราะถ้าท่านไม่ถูกใจ ก็จะสามารถมาพูดจาตำหนิ พูดให้คนอื่นรู้สึกได้ว่า ท่านไม่ถูกใจอย่างจริงๆ จังๆ ซึ่งต่อมาๆ อาการของท่านมันก็มากขึ้น ท่านไม่พอใจได้กับทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ท่านเป็นคนเลือก หรือตัดสินใจเอง ท่านก็จะคอยบ่น ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ และจะขอให้แก้ไขให้ท่านไปไม่รู้จักจบสิ้น
ซึ่งในฐานะของลูกที่คอยดูแลท่าน มันอดรู้สึกไม่ได้ว่า เมื่อไหร่ท่านจะรู้สึกพอใจ รู้สึกดี รู้สึกชื่นชมกับสิ่งที่ลูกๆ ทำให้ซะที ไม่ว่าจะทำอะไร เรื่องเล็ก เรื่องใหญ๋ ก็ยังไม่เคยดีพอ อธิบายกับท่าน จนรู้สึกท้อ ไม่เอาแล้ว ไม่อยากคุยด้วยแล้ว เวลาที่ท่านนอนไม่หลับ ก็จะลุกขึ้นมาเดินขึ้นมา ถ้าเห็นดิฉันยังไม่นอนล่ะก็ เป็นต้องขอให้มาฟังท่านระบายเกี่ยวกับสุขภาพของท่าน หรือไม่ก็เรื่องโน้นเรื่องนี้ ที่ท่านจะสรรหามากลุ้มใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วก็บอกว่าเป็นสาเหตุที่ท่านนอนไม่หลับ
ดิฉันไม่อยากเป็นลูกที่เลวนะคะ ดิฉันรู้สึกสงสารท่านมาก เวลาที่เห็นท่านโดนพี่สาวคนอารมณ์ร้อนของดิฉัน ดุด่าอย่างรุนแรง แต่ด้วยความที่นิสัยของท่านเป็นคนสาเหตุที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดและรำคาญใจ มันก็เป็นสิ่งที่ดิฉันเองก็รู้สึกอยากจะอยู่ไกลๆ คุณแม่มาก เพราะไม่ว่าจะทำยังงัย ท่านก็ไม่เคยจะยอม ปล่อยวาง ยิ้มและมีความสุขเป็นกำลังใจให้กับลูกเลย มันมีความรู้สึกคล้ายกับท่านอยากป่วย อยากให้ตัวเองดูทุกข์ น่าสงสาร เพื่อให้ใครๆ มาคอยเอาใจ เพราะเวลาที่ดิฉันโกรธ ท่านก็จะชอบมาตื้ออ้อน ว่าอย่าโกรธท่าน เรียกเราจ้ะจ๋า ทั้งๆ ที่ปกติท่านไม่ใช่คนพูดจาแบบนี้
ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันขอให้ที่บ้านพาท่านไปพบจิตแพทย์ ที่สามารถรับฟัง หรือให้คำแนะนำแก่คุณแม่ได้ ปรากฎว่าคุณหมอวินิจฉัยว่า คุณแม่เป็นโรคอะไรสักอย่างที่ดิฉันจำชื่อไม่ได้ แต่ค้นใน wiki แล้วเหมือนจะเป็นบุคลิกภาพของคนที่เอาแต่ใจตัวเองแบบสุดขอบ จะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ และจะรู้สึกไม่มั่นคง ถ้าคนอื่นไม่ยอมคล้อยตาม ดิฉันก็จะสังเกตว่า คุณแม่จะมีการเอาแต่ใจในลักษณะที่ ถ้าท่านกำลังจะต้องทำอะไร หรือพูดอะไร ต่อให้คนมาห้าม มาเตือนยังงัย ท่านก็จะไม่ฟัง ถ้าสะกิดเตือนให้หยุด ท่านก็จะสะบัดมือทิ้ง กับพี่สาว ถึงขนาดเคยแย่งโทรศัพท์หรือทำอะไรเหมือนคนไม่รู้ตัว เมื่อดิฉันเจอกับตัว ก็เคยพูดกับท่าน ไปว่า ดิฉันโกรธที่ท่านทำอะไรไม่ยั้งคิด เตือนยังงัยก็ไม่หยุดที่จะฟัง ซึ่งตอนที่ยังไม่ทราบว่าคุณหมอวินิจฉัยแบบนี้ ดิฉันมองและบอกกับท่านไปว่า ท่านเป็นคนเอาใจแต่ตัวเองมาก และโกรธท่านมาก ท่านก็ได้แต่นิ่งและเสียใจ แต่ท่านไม่เคยเปลี่ยนเลย จนความอดทนของดิฉันน้อยลงเรื่อยๆ
ดิฉันก็ปฎิญานกับพระ ว่าจะไม่ทำอะไร หรือพูดจาอะไรให้ท่านเสียใจ มาถึงวันนี้ ดิฉันยังทำไม่ได้เลย และอยากจะหนีคุณแม่ไปไกลๆ เผื่อว่า เราห่างกัน ความรู้สึกของดิฉันจะไม่แย่อย่างนี้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใช่มั๊ยคะ ดิฉันรู้ตัวดีว่า เวลานี้ ดิฉันไม่ได้ต้องการคนมาคอยเตือนสติ ว่าดิฉันควรทำหรือคิดอย่างไรกับผู้มีพระคุณที่เป็นบุพการีของตัวเอง ดิฉันอยากขอคำแนะนำค่ะ สำหรับผู้ที่เคยมีประสบการณ์หรือมีวิธีการดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วย ดิฉันยังแน่ใจเลยว่า การไปวัด ฟังธรรม จะช่วยคุณแม่ได้หรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วท่านเป็นคนไหว้พระ สวดมนต์มาแต่ไหน แต่ไร แต่จะเป็นแนวไหว้สักการะ บูชาเพื่อแสดงความเคารพและขอให้ท่านคุ้มครอง มีโอกาสที่น้อยมากที่ท่านจะเปิดใจฟังธรรมฟังเทศน์ ยิ่งไปแนวสมาธิ วิปัสนา ท่านยิ่งไม่เอาด้วย สำหรับคนที่ใครพูดใครเตือนอะไรก็ไม่ฟังอย่างท่าน ท่านจะรับฟังก็เฉพาะคนนอกครอบครัว หรือจากรายการวิทยุที่ท่านเลือกฟังเท่านั้น แต่ทุกวันนี้ ด้วยความที่เอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ ท่านไม่เปิดรับฟัง หรือดูสื่ออะไรเลย เอาแต่ทำหน้าเศร้า ตาตก แล้วก็บ่นระบายความทุกข์ของตัวเอง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ของคนอื่นๆ ที่ดิฉันเคยได้ยินมา เช่น จากเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ความทุกข์ของท่าน มาจากความยึดติดของท่านเองทั้งนั้น ปัญหาของท่านเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนอื่น และถ้าดิฉันจะเล่าเรื่องของคนอื่น เพื่อให้ท่านเปรียบเทียบ และมีกำลังใจ ท่านก็จะห้ามให้ดิฉันหยุด และไม่ยอมฟัง
ถ้าใครพอที่จะมีประสบการณ์ หรือทราบวิธีในการดูแล หรือการปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับคนเป็นลูกอย่างดิฉัน ดิฉันขอความกรุณานะคะ จักขอบพระคุณมากค่ะ