[CR] The Voice Thailand Review: Knock Out Round 17/11/2013

สนุกใช้ได้เลยใช่มั๊ยครับรอบนี้ แล้วก็ยังมีศัพท์ในการร้องเพลงเพิ่มเข้ามาให้คนทั่ว ๆ ไปได้เรียนรู้อีก 2 คำ นั่นคือ Slurred Staccato กับ Groove เป็นศัพท์ที่อธิบายยากทั้งคู่ คำนึงยาก สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นดนตรีหรือนักดนตรีส่วนมากในเมืองไทยก็ไม่รู้ถ้าไม่ได้เรียนดนตรีและทฤษฎีดนตรีแบบจริงจัง อีกคำนึง ก็เป็นคำที่มีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง แต่จะพยายามอธิบายให้ฟังกันง่าย ๆ ก็แล้วกันนะครับ

Slurred Staccato อื้ม!!!!! จริง ๆ ต้องบอกว่าเราทั้งหลายได้ยินบ่อยมาก ๆ นะครับ เพียงแต่ไม่มีใครพูดออกมาเป็นศัพท์เทคนิคขนาดนี้ คนที่ไม่ได้เรียนทฤษฎีดนตรีมาจะไม่คุ้นกับคำ ๆ นี้ ขนาดโค้ชก้องกับโค้ชโจอี้ยังไม่คุ้นหูเลยครับ คนที่คุ้นเคยกับการทำ Slurred Staccato คือพวกที่เล่นเครื่องสายทั้งหลาย เช่น ไวโอลิน วิโอล่า เชลโล่ เพราะใช้อยู่ตลอดเวลาครับ Slurred Staccato ใช้บ่อยมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ในวงการเพลงลูกทุ่ง หมอลำ รวมถึงนักร้อง R&B เมืองนอกร้องแบบนี้บ่อยครั้งมาก ๆ เกือบจะทุกเพลง แล้วมันคืออะไรล่ะ ชื่อที่คนไทยเรียกจนคุ้นติดปากก็คือการ “เอื้อน” นั่นเอง แต่ไม่ใช่เอื้อนธรรมดา แต่เป็นการเอื้อนตัวโน๊ตหลาย ๆ ตัวรวมกันด้วยความรวดเร็ว และ คม เดี๋ยวจะชี้ให้ชัดอีกทีตอนเขียนถึงน้องฟางข้าวนะครับ ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน

Groove คำนี้อธิบายง่ายหน่อย แต่มันเป็นเรื่องนามธรรมมาก ๆ ทุกคนจับต้องกับ Groove ได้ทั้งหมด แต่จับได้มากน้อยไม่เท่ากันนะครับ Groove ก็คือ ความลงตัวของหลาย ๆ อย่างผสมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Dynamic เทคนิคการร้อง การดีไซน์โน้ตแต่ละตัวบวกกับ Timing และความ Smooth ไหลลื่นของโน้ตที่ร้องออกไป นั่นคือ Groove ครับ บางครั้งเราฟังนักร้องบางคนร้องแล้วรู้สึกว่าเค้าร้องไม่ตรงจังหวะ บางโน้ตช้าไป บางโน้ตเร็วไป บางโน้ตยาวเกินจังหวะ  แต่ดันฟังออกมาแล้วได้อารมณ์ดูดี นั่นคือการร้องแบบมี Groove ครับ เพราะฉะนั้นคนที่ร้องแบบไม่มี Groove คือคนที่ร้องเพลงออกมาแบบตรง ๆ แข็งทื่อตามจังหวะเป๊ะ ๆ  นั่นเองครับ ไม่รู้จะงงหนักกว่าเดิมหรือเปล่า 555


เหมือนเดิมนะครับ ใครอยากออกความเห็นอะไรก็ทำได้ตามสบายสำหรับกระทู้นี้ แต่ขอให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้วกันนะครับ

          ฝน - ภาวนา VS ปุยฝ้าย – แสนรัก

กินกันไม่ลงเลยใช่มั๊ยครับคู่นี้ เลือกเพลงได้ดีทั้งคู่ แล้วโค้ชก็เลือกถูกด้วยที่เอาทั้งคู่มาชนกัน เพราะเป็นนักร้องที่ร้องสไตล์เดียวกันทั้งคู่ เทคนิคใกล้เคียงกัน เสียงก็ใกล้เคียงกัน คู่คี่สูสีกันจริง

ปุ้ยฝ้าย – เสียงสด และใสปิ๊งเหมือนน้ำค้างยามเช้าดีจริง ๆ สาวน้อยคนนี้ คำแต่ละคำที่ร้องออกมาชัดถ้อยชัดคำ ออกเสียง ร.เรือ ได้พรึบมาก แต่ดีไซน์ตัวโน้ตในการร้องยังไม่เนียนดีเท่าไหร่ครับ จะมีโน้ตบางตัวที่ไม่ควรร้องออกไปแบบนั้น เช่น ช่วงที่ร้องว่า ถึงต้องช้ำใจตาย ฉันก็ “พร้อม...”. ยอมตาย (ช่วงที่ 2) จะเห็นได้ว่าคำว่า “พร้อม” ไม่ควรใช้โน้ตตัวนั้นครับ มันไม่ลงตัว และก็มีอีกบางคำที่ไม่พิถีพิถันในการร้องเท่าไหร่ แต่ฟังโดยรวมเพราะมากนะครับ

ฝน – 3 เพลงแล้วนะครับที่ได้ฟังจากน้องฝน แล้วคุณภาพก็ไม่ได้ลดลงเลยจริง ๆ น้องฝนเป็นคนที่มี Dynamic และ  Timing จังหวะไหนควรเบา จังหวะไหนควรดัง จังหวะไหนควรดึงไว้ ทำได้เนียนมาก ๆ และใส่ใจในรายละเอียดของทุกคำที่ร้องออกไป Improvise แต่พองามไม่มากมาย แต่มีความลงตัวและถึงอารมณ์ดีมาก ๆ

สรุป: ถ้าเป็นผมก็ลำบากเหมือนกันครับที่จะเลือกใครเพราะคู่คี่กันมาก แต่มันก็มีจุดให้ตัดสินใจได้ครับ ลองดูนะครับ ลองกลับฟังดูอีกที แต่คราวนี้ฟังน้องปุยฝ้ายร้องก่อน แล้วค่อยฟังน้องฝนร้องที่หลัง แล้วสังเกตปฏิกิริยาของร่างกายคุณให้ดี ๆ แล้วคุณจะตัดสินใจได้ครับ ขนแขนผมลุกหลายรอบมากเวลาที่ฟังน้องฝนร้องเพลงนี้ครับ

          โอปอล์ - สักวันหนึ่ง VS ฟางข้าว – ตะวันลับฟ้า

East Meet West เลยครับสำหรับคู่นี้ และสิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ โค้ชดี ๆ ที่มีประสบการณ์จะทำสิ่งที่แม้แต่ตัวนักร้องเองก็ไม่รู้นะครับ ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง แต่โค้ชดี ๆ บอกได้ครับว่าคุณควรร้องเพลง ๆ นั้นยังไงให้ได้ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

โอปอล์ – ตอนแรกผมก็สงสัยครับว่าถ้าน้องโอปอล์จะต้องลงมาร้องเพลงธรรมดา ๆ ที่ไม่ใช่แนวโอเปราห์น้องจะร้องออกมายังไง จะติดกับความเป็นโอเปร่าห์ในตัวแค่ไหน แต่พอฟังเพลงนี้แล้วน้องทำได้ดีมากครับ ทำให้เพลง ๆ นี้มีความยิ่งใหญ่อลังการ แต่รู้สึกสงบสุข เหมือนท่องไปในดินแดนที่กว้างใหญ่ ที่มีพื้นหญ้าเขียวขจี แสงแดดสดใส ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร ท้องทะเล มาหมดเลย แม้เสียงที่ร้องออกมาจะมีบางครั้งที่ติด ๆ ขัด ๆ ไม่ไหลลื่นไปซะทั้งหมด แต่แค่นี้ก็สุดยอดแล้วละครับ

ฟางข้าว – จุดอ่อนของน้องฟางข้าวที่เวลาขึ้นเสียงสูง ๆ แล้วเสียงหาย วันนี้ไม่มีเลยนะครับ ก็เพราะน้องไม่ได้ร้องเสียงสูงเกินไปกับตัวเองอีกต่อไปแล้ว อันนี้ต้องชมโค้ชคิ้มครับ เพลงลูกทุ่งเพลงนี้เป็นอะไรที่พิเศษจริง ๆ ครับ มันคือความลงตัวมาก ๆ ระหว่างความเป็นไทยกับสากล เพลงลูกทุ่งแบบไทย ๆ กับเทคนิคและวิธีการร้องแบบสากล ที่นาน ๆ ครั้งจะได้ฟังใครสักคนที่ร้องออกมาลงตัวขนาดนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า โค้ชคิ้มรู้จักน้องฟางข้าวดีมากเลยล่ะครับ รู้ถึงที่มาและเส้นทางว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เรา ๆ คงคาดกันไม่ถึงเลยว่า น้องจะร้องเพลงลูกทุ่งในสไตล์ตัวเองได้ดีขนาดนี้

เอาละครับมาขยายความเรื่อง Slurred Staccato กันให้ชัดออกไป คำที่ผมขีดเส้นใต้และทำตัวเอียง นั่นคือคำที่ร้องและใส่ Slurred Staccato แบบชัด ๆ นะครับ

แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยม โลก (โน๊ต 5 ตัว)
ลมโชยโบกพัดปลิว ลิ่ว (โน้ต 5 ตัว) มา
ประหนึ่ง ว่า (โน้ต 5 ตัว) ดนตรีสวรรค์
โอ้ พี่จ๋าพี่เอ่ย ลืมง่ายจังเลย เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจ หนอ (โน้ต 6 ตัว) ใจ
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหล ริน....(โน้ต 6 ตัว)
เห็นหมู่นกกาถลาลง ร่อน (โน้ต 5 ตัว)
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่ กิน (โน้ต 6 ตัว)
ตราบขั่วฟ้าดินน้องลืม ไม่ (โน้ต 6 ตัว) ลง


Slurred Staccato มีคนทำได้เยอะแยะครับ แต่ Slurred Staccato ที่ดี ภายในเสี้ยววินาทีนอกจากจะร้องได้โน้ตหลายตัวภายในการลากเสียงครั้งเดียวแล้ว สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ตัวโน๊ตทุกตัวต้องคมชัด และ ลงจังหวะแบบเป๊ะ ๆ ครับ งงมั๊ยครับ 555 ตัวอย่างของ Slurred Staccato ในเพลงสากลที่ผมนึกออกทันทีทันใดก็เพลงนี้ครับ นาทีที่ 4.02 ก็คือตอนจบนั่นแหล่ะครับ ลองฟังดูครับ คมชัด จังหวะเป๊ะ จำนวนตัวโน๊ตบอกตรง ๆ ว่าขี้เกียจนับเพราะมันเยอะมากน่าจะเกิน 20 ตัวโน๊ตด้วยซ้ำครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

สรุป: บอกตรง ๆ ว่าฟินครับคู่นี้ โดยเฉพาะน้องฟางข้าว ทำให้ผมอึ้งมาก ๆ ปรับอาวุธและเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์แล้วครับสำหรับน้องฟางข้าว ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเพลงลูกทุ่งนะครับ แต่หมายถึงการรู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าควรร้องแบบไหน อย่างไร และแค่ไหน ถึงจะพอดีกลมกล่อม ไม่ผิดแล้วละครับที่มาอยู่กับเจ๊คิ๊ม เจ๊จัดให้ครับ (แต่ยกเว้นขนตานะครับเจ๊ ตอนปิดไฟ นึกว่า แม่นาคครับ 555)

          กิต - ไอ้หนุ่มผมยาว VS อ้น – ฉันดีใจที่มีเธอ

สำหรับคู่นี้ เหมือนคนนึงขึ้นไปบนเวทีปราศรัยแล้วสร้างความฮึกเหิมสุดปรอท แล้วมีอีกคนนึงเอาน้ำเย็นมาราดเพื่อคลายเหนื่อย คลายร้อนเลยนะครับ

อ้น – รู้สึกว่าเย็นชุ่มฉ่ำใจดีครับ แต่! อ้นเล่นซะไฟเกือบดับเลยครับ เสียงหลบวันนี้ทำได้ไม่ดีเลยครับ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่เพี้ยนหลายครั้งด้วยเหอะ น่าจะเป็นเพราะความเกร็ง ประหม่า บวกกับเพลงนี้ไม่มีอนุภาพพอที่จะชนกับเพลงของคุณกิตได้นะครับ  

กิต – ผมบอกตรง ๆ เลยว่า จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ชอบสไตล์คุณกิตร้องสักเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าแกก็มีดีของแกในเรื่องความยิ่งใหญ่อลังการ และบวกกับมีความเก๋าบนเวทีประมาณนึงเลยล่ะครับ

สรุป: จะบอกว่าพลาดก็ได้ครับสำหรับอ้น เพราะมาตรฐานของคุณกิตแกคงยืนระยะแบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ อ่ะครับ ถ้าจะเอาชนะคุณกิตได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ต้องไม่พลาดนะครับ เพราะถ้าพลาดโดนแกข่มมิดแน่ครับ

          ปาล์ม - Without You VS นัท - You've Got A Friend

สำหรับคู่นี้นั้นร้องกันคนละ Level นะครับ เปรียบเทียบได้กับข้อสอบคณิตศาสตร์สำหรับ ม.4 กับ ข้อสอบคณิตศาสตร์ ม.6 แหล่ะครับ ร้องสไตล์ใกล้เคียงกันแต่เพลงของปาล์มจะฟังง่ายกว่า ร้องง่ายกว่า แต่เพลงของคุณนัท แม้ Original จะเป็นเพลงง่าย ๆ สบาย ๆ แต่เวอร์ชั่นนี้ของคุณนัทนั้นได้ถูกเรียบเรียงใหม่ โดยเฉพาะไลน์เสียงร้องที่คุณนัทใส่โน๊ตพิเศษเข้าไปเยอะมากกก ไม่ใช่แค่ร้องยากอย่างเดียวแต่ยังฟังยากอีกต่างหาก

ปาล์ม – ก็ยังรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ตามเคย แต่คราวนี้ผมกลับได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้เสียงที่ร้องออกมาไม่ Smooth เท่าที่ควรครับนั่นคือ เสียงหลบของปาล์มในท่อนฮุ๊ค ร้องเสียงเต็มกำลังจะพีคอยู่แล้วเชียว แต่พอร้องเสียงหลบเพื่อจะขึ้นสูง มันไม่มีพลังพอจึงไปฉุด Feeling ของเพลงลง เหมือนเหยียบคันเร่งมากำลังจะแตะ 150 แล้วโดนกระชากลงมาเหลือ 100 เลยครับ มันเลยทำให้เพลงนี้ปาล์มไม่สามารถทำให้มีจุดพีคอย่างที่ควรจะเป็นได้

นัท – การเรียบเรียงเพลงนี้ใหม่เป็นสไตล์แบบนี้นี่ อย่างที่กล่าวไว้ว่าไม่ใช่แค่ร้องยากอย่างเดียวนะครับ แต่ยังฟังยากอีกด้วย เพราะคุณนัทใส่โน๊ตพิเศษลงไปเยอะ โดยเฉพาะในช่วงเสียงที่ร้องขึ้นไปสูง ๆ ยังใส่โน๊ตตัวที่ไม่ปกติเข้าไปอีก ทำให้เพลงนี้ฟังยาก จริง ๆ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอกครับ แค่ใส่ไปตามปกติอย่างที่เคยร้องแค่นั้นก็จี๊ดแล้วครับ

สรุป: เพลงที่ปาล์มร้องนั้นฟังง่ายกว่านะครับ แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นเพลงคนละ Level กันครับ เพลงของคุณนัทอาจจะฟังยากกว่าเพลงทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่เค้าใส่เข้าไปในเพลงมันคือการแสดงแสนยานุภาพซึ่งบางครั้งอาจฟังไม่เพราะ แต่คนที่ฟังออกจะรู้ว่ามันยากมากที่จะทำออกมาได้ Groove จึงถูกยกขึ้นมาเพื่ออธิบายเหตุผลว่าทำไมโค้ชคิ้มถึงได้เลือกคุณนัทครับ จริง ๆ แล้วในรอบนี้วันนี้สำหรับผมแล้วเพลงที่อธิบายเรื่อง Groove ได้ดีที่สุดไม่ใช่เพลงนี้นะครับ แต่เป็นเพลงของริมมี่ครับ

          ริมมี่ - Emotion VS ฟ้า - Hopelessly Devoted To You

คนที่ร้องเพลงเก่ง กับคนที่ร้องเพลงเพราะ บางทีก็ไม่ใช่คน ๆ เดียวกันนะครับ อันนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะบางครั้งคนที่รู้ตัวเองว่าร้องเก่ง มีเทคนิคดี เรียนมาเยอะ ทำเทคนิคในการร้องเพลงได้ทุกอย่าง บางทีจะหลงไปในทิศทางที่ไม่ควรไป การใส่เทคนิคเยอะ ๆ โน๊ตแปลก ๆ ลงไปในเพลงนั้นไม่ใช่เอ่ะอะก็จะใส่ได้นะครับ เพราะถ้าประสบการณ์ไม่มากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการฟังที่สำคัญอย่างมากกก ทำให้นักร้องคนนั้นใส่ตัวโน๊ตลงไปผิด ๆ เราฟังรู้ครับว่าเค้าเก่ง แต่ถ้ามันไม่เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ

ริมมี่ – สำหรับเพลงนี้ Groove คือสิ่งที่อธิบายทุกอย่างได้ดีที่สุดเลยสำหรับผม เพลงทุกเพลงที่ฟังมาวันนี้มีเพลงนี้เพลงเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าฟังแล้วหายใจไม่สะดวกครับ ฟังจบแล้วต้องหายใจลึก ๆ แล้วเป่าลมออกจากปากยาว ๆ เพราะสิ่งที่ใส่มาในเพลงมันไม่ลงตัว ไม่รื่นหู โดยบางทีก็อธิบายไม่ได้ครับว่าตรงไหน ผมรู้ว่าเธอร้องเพลงเก่งครับ แต่พอฟังแล้วทำไมมันเกินผลข้างเคียงได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

ฟ้า – ร้องเพลงดี ๆ กับเค้าก็เป็นนี่ครับน้อง ร้องดีซะด้วยซิ ผมขอถอนคำพูดนะครับจากรอบที่แล้วที่บ่นน้องฟ้าไปพอสมควร มารอบนี้น้องเค้าร้องเพลงให้ฟังแล้วครับ น้องเค้าทำผมอึ้งเลยนะครับ ไม่นึกมาก่อนว่าจะร้องเพลงได้มี Feeling ดีขนาดนี้ เนื้อเสียงไม่ได้ดีมากมายอะไร แต่ Dynamic และความรู้สึกที่ใส่ลงไปในเพลงต้องบอกว่าดีมากเลยล่ะครับ ขอปรบมือให้ แป่ะ ๆ ๆ ๆ

สรุป: บทสรุปของคู่นี้ง่าย ๆ สั้น ๆ ครับ ริมมี่ร้องเพลงเก่งนะครับ แต่คนที่เข้ารอบคือคนที่ร้องเพลงแล้วเพราะครับ
ชื่อสินค้า:   The Voice Thailand 2013
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่