ลมหายใจแห่งรัก .. ๓

กระทู้สนทนา
ลมหายใจแห่งรัก .. ๑ http://ppantip.com/topic/31137933
ลมหายใจแห่งรัก .. ๒ http://ppantip.com/topic/31168015

ตอนที่ ๓ นี้มาช้าไปหนึ่งอาทิตย์
เนื่องจากเกสรผกาเพิ่งกลับมาค่ะ ขอโทษเพื่อนๆนักอ่านทุกๆท่านด้วยนะคะ
คราวหน้าจะไม่ผิดนัดแบบนี้อีกแล้ว

ขอขอบคุณคะแนนโหวต,กิ๊ปแสดงความรู้สึก,และคอมเม้นท์จากทุกท่านกับตอนที่แล้วด้วยนะคะ
[Psycho man ทึ่ง, บ้านสายไหม หลงรัก, พลอยแข หลงรัก, kinkan00 หลงรัก, turtle_cheesecake หลงรัก, Mareeraya ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1034424 หลงรัก, lovereason หลงรัก, มาโซคิส หลงรัก, Susisiri ถูกใจ]

พร้อมทั้งขอบคุณนักอ่านผู้ไม่ประสงค์จะแสดงตัวทุกท่านด้วยค่ะ

ผู้เขียนยังพร้อมรอรับคำติชมจากทุกท่านอยู่เสมอ  คำติชมมีค่าอย่างยิ่งสำหรับกำลังใจนักเขียนค่ะ
ติดตามตอนที่ ๓ ได้เลยนะคะ

.............................................................................................................................................................................................





               " โธ่ถัง..  นึกว่าข่าวดีเรื่องอะไร "

                    เกศวางช้อนกับส้อมลงเมื่อฉันเล่าเรื่องประชุมให้ฟังจบเรียบร้อย โดยที่ฉันยังต้องจัดการกับข้าวผัดปูตรงหน้าต่อ เพียงลำพัง

               " แล้วแอมต้องย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านพัทยาเลยรึเปล่า? " เกศยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

               " เอ.. ยังไม่ได้พูดอะไรยังงั้นน๊าาา.. "

               " พูดไม่พูด  มันก็สื่อความหมายยังงั้นแหล่ะน่า "

                    ฉันยิ้มให้เพื่อนสาว มองข้าวครึ่งจานของเกศที่เหลือเป็นกิจวัตรนั้นด้วยความคุ้นเคย

               " คงไปๆมาๆน่ะ ถึงคราวต้องค้างก็ต้องค้าง จะได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ไปด้วยซะเลย " ฉันตอบคำถามเพื่อนไปด้วย จัดการอาหารมื้อเที่ยงไปด้วย

               " คุณภูวเดชเขาเซ็นสัญญาโปรเจ็คใหม่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอแอม? " เกศถามถึงเจ้านาย

               " เมื่อสองสามวันนี้เอง "

               " ไม่เห็นแอมเล่าให้ฟังเลยล่ะ "

               " ก็ไม่เห็นถามถึงนี่นา "

               " อ้าว? "

                    ฉันหัวเราะเบาๆในลำคอ หลังจากจิบน้ำดื่มจากแก้วใสบนโต๊ะ พอวางแก้วลง ต้องรีบชี้แจงโดยด่วน

               " ไม่ใช่อะไรหรอก เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าการเจรจาของเจ้านายจบรึยังแค่นั้นเอง  เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง เกศเองไม่ได้สังเกตเหรอว่า คุณภูวเดชไม่ได้เข้าบริษัทมาตั้งหลายวันแล้ว "

               " อือมม... ใช่ "

               " เพิ่งเข้ามาเมื่อวานตอนบ่าย ก็ให้แอมส่งหนังสือเรียกประชุมระดับเฮ็ดทุกฝ่ายเลย "

                    เพื่อนสาวพยักหน้ารับรู้ จ้องมองดูฉันกับจานข้าวสลับกัน  ชั่วอึดใจ เกศก็เริ่มชวนคุยเรื่องใหม่

               " เมืองพัทยาไม่เคยอิ่มตัวเรื่องโรงแรมเลยนะ ตอนนี้โรงแรมที่มีอยู่ก็ว่าเยอะแล้วนา แล้วยังต้องมีเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ "

               " เมืองท่องเที่ยวก็ยังงี้แหล่ะจ๊ะ ที่พักมักจะมีไม่พอสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีมากขึ้นทุกวันหรอก "

               " นั่นสินะ " เกศเป็นฝ่ายเออออห่อหมกบ้าง " แต่ก็ดีแล้วล่ะ บริษัทได้โปรเจ็คใหม่  แอมก็จะได้ไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพกับบ้านของตัวเองด้วย "

                    ฉันเก็บช้อนและส้อมเมื่ออิ่มท้องก่อนที่จะดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว เกศชวนคุยอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานทั้งเรื่องสัพเพเหระ บางเรื่องฉันได้แต่เออออไปตามการบอกกล่าวเล่าขานของเพื่อนสาว ทุกๆเรื่องราว จะมีการวิเคราะห์ สรุป ให้ฟังเป็นกรณีๆไป บางเรื่องบางประโยค แม้จะเป็นประโยคบอกเล่ากึ่งคำถาม แต่คนเล่าไม่ออกอาการอยากได้คำตอบแต่อย่างใด นั่นแหล่ะ.. ที่ทำให้ฉันทำได้เพียงแค่ส่งเสียง อือมมม..ในลำคอ

                    เกศเป็นคนคุยเก่ง มีพรสวรรค์ในการหยิบยกเอาเรื่องต่างๆนาๆมาเล่าให้ฟังเสมอ หลายครั้งที่เกศอยู่ท่ามกลางวงล้อมเพื่อนๆซึ่งใจจดใจจ่อรอฟังเรื่องราวของเธอ ถึงแม้จะช่างคุย แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเกศไม่เคยมีให้เห็นเลย นั่นคือการนินทาใครๆให้ฟัง และนี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เพื่อนสาวของฉันคนนี้ เป็นที่รักของเพื่อนคนอื่นอีกหลายๆคน

                    เราแยกจากกัน เมื่อต่างคนต่างเสร็จเรียบร้อยกับมื้อกลางวัน เกศไม่ได้เซ้าซี้ใดๆหลังจากฉันขอตัวไปจัดการกับธุระบางอย่างก่อนกลับเข้าบริษัท ปกติแล้วเพื่อนช่างคุยมักจะถามเจาะลงลึกเป็นปกติวิสัย คำถามเดิมๆที่มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ  แอมจะไปไหนเหรอ?..  มีใครไปเป็นเพื่อนรึเปล่า?..  ไปด้วยได้มั๊ย?..  นั่นแหล่ะ  แล้วฉันก็มีเธอไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้ง

                    แต่ครั้งนี้  รู้สึกปลอดโปร่งจังเลย.. เพราะฉันต้องการจะจัดการกับเรื่องบางอย่างเพียงลำพัง

                    จากศูนย์อาหารสำหรับคนทำงานอ็อฟฟิศแห่งนั้น ฉันเดินลัดเลาะเข้าตรอกเล็กๆตรอกหนึ่ง ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ทะลุออกมาสู่ถนนเส้นเมนหลัก ซึ่งเรียกขานกันว่าถนนสุขุมวิทอันแสนพลุกพล่าน เบื้องหน้าไม่ไกลนัก คือป้ายรถเมล์ริมบาทวิถี แต่นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางของฉันหรอก..  จุดหมายจริงของฉันคือร้านกาแฟเล็กๆติดกับป้ายรถเมล์นั่นต่างหาก



                    .......................................


                    .......................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่