เหลียวหลังกลับไปดูคดียึดทรัพย์ทักษิณ
ปี 2543 นายกทักษิณโอน-ขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
ให้ลูกและญาติทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามกม.รัฐธรรมนูญปี 2540 ว่าด้วยเรื่องการถือหุ้น
และได้มีการแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบ ก็คือ
ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากนายกทักษิณเป็นชื่อของลูกและญาติเรียบร้อยแล้ว
ปี 2544 นายกทักษิณเข้าสู่วงการเมือง (พรรคไทยรักไทย)
ปี 2549 (เดือนมกราคม) ลูกและญาติได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯไปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
เหตุที่ท่านนายกทักษิณได้แนะนำให้ลูกและญาติ
ขายหุ้นชินคอร์ปฯทั้งหมด
ก็เพื่อ
จะได้หมดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (ราคาขายหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่าทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท)
ปี 2549 (19 ก.ย.) คมช.ทำรัฐประหารและได้ตั้งคตส.เพื่อกล่าวหานายกทักษิณว่า
ใช้ตำแหน่งนายกเอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเอง มีผลทำให้ราคาหุ้นของชินคอร์ปฯสูงขึ้นซึ่งนำไปสู่การฟ้องต่อศาล
ปี 2553 (ปลายเดือน กพ.) ศาลตัดสินว่า นายกทักษิณไม่ได้ขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง (ซุกหุ้น)
และใช้ตำแหน่งนายกเอื้อประโยชน์ธุรกิจของตัวเองจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
จึงได้พิพากษาให้ยึดเงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทให้ตกเป็นเงินของรัฐ
ศาลจะตัดสินยึดทรัพย์ได้ ต้องพิพากษาว่าหุ้นชินคอร์ปฯยังเป็นของนายกทักษิณ (ไม่ได้มีการขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง)
ตอนที่นายกทักษิณขายหุ้นให้ลูกและญาติเมื่อปี 2543 ลูกและญาติไม่ได้ชำระค่าหุ้นทั้งหมดในทันที
แต่ใช้วิธี
ผ่อนชำระค่าหุ้นโดยนำเอาเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละครั้งมาชำระให้นายกทักษิณ
ประเด็นนี้แหละที่ศาลยกขึ้นมาอ้างว่านายกทักษิณไม่ได้มีการขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง
ถ้าท่านทักษิณสามารถใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ แสดงว่า
ราคาหุ้นของชินคอร์ปต้องขึ้นสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทอื่นๆ
ราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเมื่อต้นปี 2549 เพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี 2545 เป็นดังนี้
[ราคาหุ้นที่นำมาคำนวณนำมาจาก factbook ของ กลต.]
อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า
นายกทักษิณใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้จริงหรือไม่
ข้อเท็จจริงก็คือ ปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น มีหลายอย่าง เช่น
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ เป็นต้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ถือว่ามีส่วนสำคัญมาก จะออกมาดีมีกำไรมากขนาดไหน
ขึ้นอยู่ความสามารถของผู้บริหารของบริษัทในการกำหนด ทิศทางของบริษัท กลยุทธ์ของบริษัท
ธุรกิจของนายกทักษิณกำไรมากกว่าบริษัทอื่นหรือไม่?
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ภาษาชาวบ้านก็คือ “กำไรเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน” )
ของบางบริษัทตั้งแต่ปี 2544 – 2549 (คิดโดยเฉลี่ย) :
ปูนซิเมนต์ไทย 48%, ปตท 36%, อมตะคอร์ปฯ 30%, ซีเอ็ด 28%,
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 24%, น้ำมันพืชไทย 21%,ชินคอร์ปฯ 20%
[อัตรากำไรเหล่านี้นำมาจากรายงานประจำปีของแต่ละบริษัท]
ข้อมูลนำมาจาก “โต้ข้อกล่าวหาทักษิณอย่างย่อ”
http://amnajratt.files.wordpress.com/2013/11/thaksin-nirvana.pdf
อ่านรายละเอียดทั้งหมด >>
http://nirvana666.wordpress.com/2013/10/22/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/
ทักษิณ "โกง ทุจริต คอรัปชั่น ...."
ปี 2543 นายกทักษิณโอน-ขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
ให้ลูกและญาติทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามกม.รัฐธรรมนูญปี 2540 ว่าด้วยเรื่องการถือหุ้น
และได้มีการแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบ ก็คือ
ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากนายกทักษิณเป็นชื่อของลูกและญาติเรียบร้อยแล้ว
ปี 2544 นายกทักษิณเข้าสู่วงการเมือง (พรรคไทยรักไทย)
ปี 2549 (เดือนมกราคม) ลูกและญาติได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯไปทั้งหมด (1,400 ล้านหุ้น)
เหตุที่ท่านนายกทักษิณได้แนะนำให้ลูกและญาติขายหุ้นชินคอร์ปฯทั้งหมด
ก็เพื่อจะได้หมดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (ราคาขายหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่าทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท)
ปี 2549 (19 ก.ย.) คมช.ทำรัฐประหารและได้ตั้งคตส.เพื่อกล่าวหานายกทักษิณว่า
ใช้ตำแหน่งนายกเอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจของตัวเอง มีผลทำให้ราคาหุ้นของชินคอร์ปฯสูงขึ้นซึ่งนำไปสู่การฟ้องต่อศาล
ปี 2553 (ปลายเดือน กพ.) ศาลตัดสินว่า นายกทักษิณไม่ได้ขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง (ซุกหุ้น)
และใช้ตำแหน่งนายกเอื้อประโยชน์ธุรกิจของตัวเองจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
จึงได้พิพากษาให้ยึดเงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทให้ตกเป็นเงินของรัฐ
ศาลจะตัดสินยึดทรัพย์ได้ ต้องพิพากษาว่าหุ้นชินคอร์ปฯยังเป็นของนายกทักษิณ (ไม่ได้มีการขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง)
ตอนที่นายกทักษิณขายหุ้นให้ลูกและญาติเมื่อปี 2543 ลูกและญาติไม่ได้ชำระค่าหุ้นทั้งหมดในทันที
แต่ใช้วิธีผ่อนชำระค่าหุ้นโดยนำเอาเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละครั้งมาชำระให้นายกทักษิณ
ประเด็นนี้แหละที่ศาลยกขึ้นมาอ้างว่านายกทักษิณไม่ได้มีการขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง
ถ้าท่านทักษิณสามารถใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้ แสดงว่า
ราคาหุ้นของชินคอร์ปต้องขึ้นสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทอื่นๆ
ราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเมื่อต้นปี 2549 เพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี 2545 เป็นดังนี้
[ราคาหุ้นที่นำมาคำนวณนำมาจาก factbook ของ กลต.]
อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นของบริษัทต่างๆเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า
นายกทักษิณใช้ตำแหน่งนายกทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้จริงหรือไม่
ข้อเท็จจริงก็คือ ปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้น มีหลายอย่าง เช่น
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นๆ เป็นต้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ถือว่ามีส่วนสำคัญมาก จะออกมาดีมีกำไรมากขนาดไหน
ขึ้นอยู่ความสามารถของผู้บริหารของบริษัทในการกำหนด ทิศทางของบริษัท กลยุทธ์ของบริษัท
ธุรกิจของนายกทักษิณกำไรมากกว่าบริษัทอื่นหรือไม่?
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ภาษาชาวบ้านก็คือ “กำไรเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุน” )
ของบางบริษัทตั้งแต่ปี 2544 – 2549 (คิดโดยเฉลี่ย) :
ปูนซิเมนต์ไทย 48%, ปตท 36%, อมตะคอร์ปฯ 30%, ซีเอ็ด 28%,
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 24%, น้ำมันพืชไทย 21%,ชินคอร์ปฯ 20%
[อัตรากำไรเหล่านี้นำมาจากรายงานประจำปีของแต่ละบริษัท]
ข้อมูลนำมาจาก “โต้ข้อกล่าวหาทักษิณอย่างย่อ” http://amnajratt.files.wordpress.com/2013/11/thaksin-nirvana.pdf
อ่านรายละเอียดทั้งหมด >> http://nirvana666.wordpress.com/2013/10/22/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD/