'เอสซีจี' ดันงบ 2 แสนล้านบาท 5 ปี มุ่งผู้นำในอาเซียน

credit : thanonline.com
------

      ปัจจุบันผู้คร่ำหวอดในวงการซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง  ปิโตรเคมี แaltละธุรกิจกระดาษ อย่างบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี   ก้าวขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ในอาเซียนไปแล้ว กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี  ที่ยังคงเดินหน้าขยายแผนลงทุนทั้งในประเทศและภูมิภาคเพื่อก้าวไปสู่ผู้นำอย่างยั่งยืนในอาเซียนต่อไป

+++มั่นใจศก.ไทย-อาเซียนแข็งแกร่ง

      "เอสซีจี" ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าปีนี้ จะเดินหน้าขยายแผนลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่วางไว้ แม้ว่าหลายฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงก็ตาม แต่บิ๊กธุรกิจซีเมนต์ ที่มีอายุครบ 100 ปี ในวันที่ 8 เดือนธันวาคมนี้ กลับเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปในระยะยาว จึงไม่ล้มแผนลงทุน อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน

      สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้เอสซีจี ยังมุ่งเน้นรายได้ในกลุ่มธุรกิจเคมิคอล และซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างเป็นหลัก และยังคงคาดการณ์ว่าจะสามารถกอบโกยรายได้จากธุรกิจดังกล่าวมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  โดยเฉพาะเคมิคอลที่น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนต่างราคาพลาสติกกับวัตถุดิบ (สเปรด) จะสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยสเปรดเม็ดพลาสติกชนิด PE อยู่ที่ 615 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เทียบกับไตรมาสก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 568 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และสเปรดเม็ดพลาสติกชนิด PP อยู่ที่ 621 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ดีกว่าก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 597 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน

+++มั่นใจปูนซีเมนต์โต 4-5%

      ขณะที่เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ก็ยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน  โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นต้นไป ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มีโอกาสเติบโตขึ้น แม้ว่าในช่วง 3 สัปดาห์แรกของเดือนนี้จะชะลอตัวลง 3% เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมซึ่งกระจายในหลายพื้นที่ ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ชะลอตัวลงบ้าง แต่เอสซีจียังคงมั่นใจว่าโอกาสที่ธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตอยู่ที่ 4-5% จึงมีความเป็นไปได้สูงในปี 2557 เพราะมีการใช้ปูนซีเมนต์ในการซ่อมแซมธุรกิจอาคารพาณิชย์(คอมเมอร์เชียล บิลดิ้ง) ซึ่งปกติความต้องการใช้จะเติบโต 1-1.5 เท่าของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ยังไม่มีการใช้ปูนซีเมนต์มากนักในช่วงปีแรก

      "สำหรับธุรกิจกระดาษนั้นการดำเนินงานในปีนี้ค่อนข้างเหนื่อย โดยเฉพาะธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านราคานำเข้าจากประเทศจีนและอินโดนีเซียได้ ดังนั้นเอสซีจี เปเปอร์ จึงมุ่งเน้นไปเพิ่มมูลค่าสินค้าเยื่อกระดาษเพื่อไปผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มแทนการนำไปผลิตกระดาษพิมพ์เขียน  ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบคือต้นยูคาลิปตัสสูงขึ้น เพราะเกษตรกรเลิกปลูก หันไปปลูกพืชที่รัฐให้การอุดหนุนราคาแทน  เช่น ข้าว อ้อย ทำให้เอสซีจีจำเป็นต้องลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนแทน"

      ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจกระดาษคราฟต์(กระดาษน้ำตาล) ยังคงเติบโตต่อเนื่อง หลังคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติให้บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (TCG) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) และ Rengo Company Limited (Japan) ในสัดส่วนการถือหุ้น 70 และ 30% ตามลำดับ เข้าซื้อหุ้น 75% ในบริษัทไดน่า แพคส์ จำกัด และบริษัท โอเรียนท์คอนเทนเนอร์ จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย โดยใช้เงินลงทุนรวม 888 ล้านบาท

      ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้น และยังคงมองหาโอกาสซื้อกิจการโรงงานผลิตกล่องกระดาษเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันเจรจากับพันธมิตรอีกหลายรายเพื่อนำไปสู่การขยายธุรกิจต่อไป

+++แนวโน้มศก.โลกต้นปี 57 ดี

      ดังนั้นภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2557 ประเมินว่าธุรกิจทุกตัวดีขึ้นทั้งหมด โดยดูจากปัญหาวิกฤติยุโรปที่เริ่มคลี่คลาย ขณะที่สหรัฐฯก็มองว่าในช่วงหลังจะดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งไตรมาส 1/2557 เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเอเชียและญี่ปุ่น ก็จะส่งผลดีต่อเอสซีจีด้วย

      อย่างไรก็ตามหากมองถึงงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 2557-2561) เอสซีจีวางไว้ที่ 2-2.1 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเดินหน้าโครงการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งการสร้างโรงปูนซิเมนต์ 3 แห่งในเมียนมาร์ กัมพูชา และอินโดนีเซีย โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ และการซื้อกิจการ (M&A) ในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 4-5 รายในเวียดนามและอินโดนีเซีย ในธุรกิจเซรามิก กระดาษบรรจุภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง

      สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2556  คาดว่ายอดขายเอสซีจีจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อยจากเดิมที่ตั้งไว้ 4.37 แสนล้านบาท แต่มั่นใจว่าจะไม่ต่ำกว่า 4.30 แสนล้านบาทแน่นอน  เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมบางพื้นที่จะส่งผลกระทบต่อผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ แต่เชื่อว่าไตรมาส 1/2557 จะดีขึ้น

      "ขณะเดียวกันยอดขายในภูมิภาคอาเซียนก็ดีขึ้น แต่จากค่าเงินในภูมิภาค อาทิ ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย และเงินด่องของเวียดนามอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อแปลงค่าเงินอาเซียนมาเป็นเงินบาททำให้ยอดขายลดลงไปบ้าง แต่ก็นับว่ายังดีอยู่ในระดับที่ดี  ยังส่งผลกระทบต่อกำไรไม่มากนัก"

      ทั้งนี้ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 3/2556 มีรายได้จากการขาย 1.13 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% และมีกำไรสุทธิ 9.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายธุรกิจเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้ปูนที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ 1.7 พันล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ รวมทั้งการขายเงินลงทุนในบริษัท โตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย)ฯ ให้กับโตโต กรุ๊ป

      ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 3.29 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% และมีกำไร 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

+++พัฒนายั่งยืนที่ 1 ของโลกวัสดุก่อสร้าง

      ปัจจุบัน"เอสซีจี"ยังคงตำแหน่งผู้นำด้านธุรกิจซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างในอาเซียน มีการขยายการลงทุนต่อเนื่อง  นอกจากจะทำให้สามารถยืนในตำแหน่งนี้ได้อย่างยั่งยืนแล้ว เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังทุ่มเทเพื่อสร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน

      ล่าสุดเอสซีจีได้รับประเมินและจัดอันดับในดัชนีวัดประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนดาวน์โจนส์(Dow Jone Sustainability Indices-DJSI) ให้เป็นที่ 1 ของโลก ในสาขาอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,893  วันที่  3 - 6 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2556
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่