Once upon my time in Myanmar หลายสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย
3rd Day มุ่งหน้าสู่พุกาม แดนทะเลเจดีย์
วันถัดมาเราเปิบอาหารเช้ากันอิ่มหนำเพื่อเตรียมเดินทางไปยังพุกาม แดนเจดีย์สี่พันองค์ ค่าตั๋วรถทัวร์ 10,000 kyats ที่จ่ายโรงแรมไปนั้นรวมค่ารถสองแถวที่แวะมารับพวกเราที่โรงแรมด้วย รอบนี้เราออกตัวพร้อมกับน้องแหม่มชาวดัทช์สองคน และน้องหมวยชาวจีนอีกสามคนบนรถสองแถวเดียวกัน (แล้วก็จะไปวนเจอพวกเธอเหล่านี้แถวสนามบิน หรือเมืองอื่นๆ เรื่อยๆ เพราะที่เที่ยวในพม่าก็มีแค่เมืองหลักไม่กี่เมือง)
เรามาถึงท่ารถซึ่งบริษัทนี้น่าจะเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะแทบจะทั้งคันเป็นต่างชาติทั้งสิ้น มาตรฐานรถถือว่าใช้ได้เพราะสะอาดสะอ้าน
(ในขณะที่รถบัสของคนท้องถิ่นจะสภาพเก่ากว่าเห็นได้ชัด อย่างด้านล่างนี้ถือว่าสภาพดี แต่เก่ากว่านี้มีให้เห็นทั่วไป)
ออกจากมันดะเลย์ 8:30 มาถึงเมือง Nyaung-U (อ่านว่า ยองอู) ประมาณบ่ายหนึ่ง ถือว่าไม่นาน โดยก่อนเข้าเมืองนั้นมีด่านเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว หัวละ 15 USD (หรือ 15 ยูโร ยังงงว่าเรทยูโรมันแพงกว่า USD นะ ทำไมเขารับอัตราเท่ากันเลย)
อ้อ เมืองยองอู นี้เป็นเหมือนเมืองหน้าด่านของพุกามนะคะเพราะรถบัสและเครื่องบินจะมาลงที่นี่ ถ้าที่พักของคุณอยู่ย่านยองอู ก็จะต่อรถไม่ไกล แต่ถ้าอยู่ย่าน Old Bagan, New Bagan ก็จะต้องต่อรถไปอีก
เท่าที่ผ่านสายตา ข้อดีของ Old Bagan คือคุณอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เพราะเป็นย่านที่เค้ากันประชากรออกไปเพื่อทำให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ แต่ที่พักในย่านนี้มักเป็นบูทิคโฮเทลราคาแพง และถ้าคุณพักที่นี่ก็อาจมีตัวเลือกร้านอาหารน้อยหน่อย ส่วนย่าน New Bagan ก็มีบ้านเรือนและที่พักกระจายกันไปทั่ว ราคามีตั้งแต่เกสต์เฮาส์ไม่แพงไปถึงโรงแรมหรู ซึ่งจากสายตาแล้วเราคิดว่า Nyaung-U เป็นจุดที่มีร้านอาหารกระจุกตัวอยู่มากที่สุด และดูจะคึกคักสุดด้วย
เมื่อมาถึงที่พักที่เราจองไว้คือ Aung Mingalar ซึ่งอยู่ใกล้ท่ารถแบบเดินเอาได้เลย ตอนลงจากรถแล้วยืนงงๆ ก็มีลุงพม่าจากรถทัวร์มาชี้บอกเราว่าที่พักเราน่ะไปทางโน้นนะ (สงสัยแกได้ยินพวกเราคุยกันว่าโรงแรมเราอยู่ตรงไหนหว่า) พวกเราก็เลยเดินๆ ไปสักสองร้อยเมตรได้
ที่พักนี้สนนราคาคืนละ 38 USD รวมอาหารเช้า สภาพห้องนั้นทางโรงแรมเองก็ยอมรับว่าโรงแรมตัวเองเก่า แต่ตั้งในจุดที่ดีเพราะใกล้เจดีย์ Shwezigon และร้านอาหารแถวนั้นมีเยอะ ซึ่งโดยรวมห้องก็เก่าจริงแต่ก็รักษาสภาพใช้ได้ (แบบตอนกลางคืนได้ยินเสียงหนูวิ่งบนหลังคา) อินเทอร์เนทไม่ฟรีและถ้าจะใช้ควรยกแลปท้อปมาเล่นที่ลอบบี้เพราะสัญญาณอ่อน เอาเหอะมาเที่ยวทริปนี้เราเน้นถูก เรื่องแค่นี้ศรีทนได้ (ไม่ได้ถ่ายรูปสภาพที่พักค่ะ ขออภัยล่วงหน้า)
เนื่องจากเรามาถึงก็บ่าย ด้วยความหิวจึงเดินไปหาของกินแถวนั้นซึ่งมีให้เลือกมากมาย ราคาไม่แพงเท่าไหร่
พอเสร็จแล้วก็เช่าจักรยานปั่นไปใกล้ๆ ซึ่งด้วยความที่อิป้าอย่างเราไม่ค่อยปั่นจักรยาน ปั่นไปแป้บเดียวก็เหงื่อแตกและบ่นเหนื่อยกับเพื่อนแร้ว (โดนเพื่อนจิกทางสายตาว่าช่างสนิมสร้อยนะยะหล่อน) วันแรกก็ได้ไปเจดีย์ใกล้ๆ แถวนั้นคือ Shwezigon
ติมินโล แล้วเราก็ขอปั่นกลับเพราะอิช้อยเหนื่อยแย้ว
4th day เมาเจดีย์ที่พุกาม
พวกเราตัดสินใจเช่ารถม้าต่อวันเพราะอยากได้อารมณ์เที่ยวแบบเมืองโบราณ รถม้าที่พุกามมีทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยว เราไปคุยกับรถม้าหน้าโรงแรม สนนราคาอยู่ที่ 18,000 Kyats ต่อวันนึงเต็มๆ โดยลุงขี่รถม้านี่ล่ะเป็นเสมือนไกด์เพราะแกรู้ทางดี (ก็คนในท้องที่นี่เนอะ) แล้วแกก็ภาษาอังกฤษได้แบบพอรู้เรื่อง พาไปเจดีย์ไหนถ้าไม่มีป้ายอังกฤษ แกจะบอกชื่อได้หมด (ดังนั้นเรากับเพื่อนจึงให้ค่านำเที่ยวแกไปอีกสองพันเจี๊ยต)
เหมือนเดิมค่ะ เล่าด้วยภาพ เจดีย์เยอะมว้ากกก ชนิดที่เรายังนึกเลยว่าสมัยพุกามเรืองรองนี่บรรยากาศมันจะเป็นยังไงหนอ เจดีย์ที่พุกามนั้นว่ากันว่าเคยมีถึงหมื่นองค์แค่ก็เสื่อมสลายไปตามกาล เคยเห็นอุทยานที่บ้านเรา...เจอที่นี่ไป...
แต่ถ้าถามว่าชอบเจดีย์ไหนสุด เรากับเพื่อนเห็นตรงกันว่าที่นี่เลย Dhammayangyi Temple สร้างโดยพระเจ้านะระตู่ ว่ากันว่าพระองค์ตั้งใจสร้างเจดีย์เพื่อล้างบาปที่กระทำปิตุฆาต (แถมดูเหมือนจะฆ่าพี่น้อง และมเหสีตนเองด้วย) และว่าอีกว่าทรงเข้มงวดกับการก่อสร้างมากชนิดที่ว่าช่างก่ออิฐคนไหนทำเบี้ยวนิดหน่อยนี่ถึงขั้นประหารชีวิต
อิฐที่นี่จึงเรียงกันชนิดเข็มก็แทรกไม่ได้ ความเป็นมาของที่นี่ดราม่าสุดๆ แต่ตอนไปเห็นของจริงนี่ยอมรับเลยว่างานก่ออิฐของที่นี่เนี้ยบสุดจริงๆ (ไม่งั้นคงไม่ทนอยู่มาได้หลายร้อยปี)
จากนั้นไปกันที่ ที่วิหาร สัพพัญญู (วิหารที่อาคารสูงที่สุด)
เราพบกับเพื่อนร่วมทางคนนึงซึ่งเป็นคนท้องถิ่นแต่ภาษาอังกฤษดีมว้าก น้องเค้าอายุ 26 ชื่อ Zaw Khaing (ซอว์ ไคน์) เรากับเพื่อนกำลังเหนื่อยเลยหยุดพักที่เก้าอี้นั่ง แล้วน้องเค้าก็มานั่งแถวนั้นพอดี มองหน้ากันเหมือนถูกชะตาน้องเลยชวนคุยว่ามาจากไหน ตอนแรกเรานึกว่าน้องเป็นนักท่องเที่ยวเอเชียแต่ปรากฏว่าเค้าเป็นคนสัญชาติพม่านี่ล่ะ บ้านเดิมอยู่ Mawlamyine ( ใน Mon State) แต่ว่าตอนนี้เค้าก็ไปอยู่ย่างกุ้ง แล้วก็คุยกันเรื่องเที่ยว เรื่องงาน ปรากฏว่าเรากับเพื่อนทำงานองค์กรระหว่างประเทศ น้องเค้าก็เคยทำงานแนวเดียวกัน คลิกเลยทีนี้ขอแลกชื่อแลก facebook กันใหญ่ (และเมื่อถึงวันที่เราไปถึงย่างกุ้ง ก็ได้น้องชายคนนี้ล่ะช่วยเหลือในหลายอย่าง รอเล่าถัดไปนะคะ)
พักกินข้าวเที่ยง ร้านอาหารที่ลุงขับรถม้าพาไป (แกคงได้ค่าคอมฯ ตามประสา แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะอยู่นะ) กินเสร็จเดินไปซื้อน้ำผลไม้อีกร้าน บอกเอาน้ำมะนาวใส่ถุง และแล้วก็ได้ใส่ถุงตามคำขอ...เป็นการใส่น้ำมะนาวลงไปในถุงก้อบแก้บแบบลูกทุ่งแท้ มัดปากถุงพร้อมหย่อนหลอดให้ด้วยนะ
แม่ครัวที่เอามาให้ทำสีหน้าภูมิใจมากว่าทึ่งกับ packaging ล่ะสิ เรากับเพื่อนก็เลยต้องอวยไปตามน้ำว่าโห...ดูดีจังเรย....
วิ่งรถม้ากันตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ได้นับเลยว่าแวะที่แห่งแล้ว จนลุงรถม้าบอกว่าพาเราแวะมา 26 แห่งแล้ว จริงอ่ะ
ที่สุดท้ายเป็นเหมือนไฟลต์บังคับเพราะเป็นจุดชมวิวอาทิตย์ตกดินที่ฮิตสุดของพุกาม คือเจดีย์ชเวนันดอ
มานั่งนึกๆ ปกติไหว้พระเก้าวัดก็เต็มที่...วันนี้พวกเราล่อไป 27 เจดีย์... คิดว่าปีนี้คงไม่ต้องไหว้พระเก้าวัดอีกแร้ว
กลับมาถึงโรงแรม หิว...หาอะไรยัดท้องด่วน เดชะบุญข้างโรงแรมมีร้านอาหารให้เลือกเยอะเชียว
เที่ยวพม่า ฉบับตามใจฉัน (มันดะเลย์ พุกาม อินเล ย่างกุ้ง ใน 8 วัน): ตอน 2 พุกาม Bagan
วันถัดมาเราเปิบอาหารเช้ากันอิ่มหนำเพื่อเตรียมเดินทางไปยังพุกาม แดนเจดีย์สี่พันองค์ ค่าตั๋วรถทัวร์ 10,000 kyats ที่จ่ายโรงแรมไปนั้นรวมค่ารถสองแถวที่แวะมารับพวกเราที่โรงแรมด้วย รอบนี้เราออกตัวพร้อมกับน้องแหม่มชาวดัทช์สองคน และน้องหมวยชาวจีนอีกสามคนบนรถสองแถวเดียวกัน (แล้วก็จะไปวนเจอพวกเธอเหล่านี้แถวสนามบิน หรือเมืองอื่นๆ เรื่อยๆ เพราะที่เที่ยวในพม่าก็มีแค่เมืองหลักไม่กี่เมือง)
เรามาถึงท่ารถซึ่งบริษัทนี้น่าจะเน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะแทบจะทั้งคันเป็นต่างชาติทั้งสิ้น มาตรฐานรถถือว่าใช้ได้เพราะสะอาดสะอ้าน
(ในขณะที่รถบัสของคนท้องถิ่นจะสภาพเก่ากว่าเห็นได้ชัด อย่างด้านล่างนี้ถือว่าสภาพดี แต่เก่ากว่านี้มีให้เห็นทั่วไป)
ออกจากมันดะเลย์ 8:30 มาถึงเมือง Nyaung-U (อ่านว่า ยองอู) ประมาณบ่ายหนึ่ง ถือว่าไม่นาน โดยก่อนเข้าเมืองนั้นมีด่านเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว หัวละ 15 USD (หรือ 15 ยูโร ยังงงว่าเรทยูโรมันแพงกว่า USD นะ ทำไมเขารับอัตราเท่ากันเลย)
อ้อ เมืองยองอู นี้เป็นเหมือนเมืองหน้าด่านของพุกามนะคะเพราะรถบัสและเครื่องบินจะมาลงที่นี่ ถ้าที่พักของคุณอยู่ย่านยองอู ก็จะต่อรถไม่ไกล แต่ถ้าอยู่ย่าน Old Bagan, New Bagan ก็จะต้องต่อรถไปอีก
เท่าที่ผ่านสายตา ข้อดีของ Old Bagan คือคุณอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว เพราะเป็นย่านที่เค้ากันประชากรออกไปเพื่อทำให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ แต่ที่พักในย่านนี้มักเป็นบูทิคโฮเทลราคาแพง และถ้าคุณพักที่นี่ก็อาจมีตัวเลือกร้านอาหารน้อยหน่อย ส่วนย่าน New Bagan ก็มีบ้านเรือนและที่พักกระจายกันไปทั่ว ราคามีตั้งแต่เกสต์เฮาส์ไม่แพงไปถึงโรงแรมหรู ซึ่งจากสายตาแล้วเราคิดว่า Nyaung-U เป็นจุดที่มีร้านอาหารกระจุกตัวอยู่มากที่สุด และดูจะคึกคักสุดด้วย
เมื่อมาถึงที่พักที่เราจองไว้คือ Aung Mingalar ซึ่งอยู่ใกล้ท่ารถแบบเดินเอาได้เลย ตอนลงจากรถแล้วยืนงงๆ ก็มีลุงพม่าจากรถทัวร์มาชี้บอกเราว่าที่พักเราน่ะไปทางโน้นนะ (สงสัยแกได้ยินพวกเราคุยกันว่าโรงแรมเราอยู่ตรงไหนหว่า) พวกเราก็เลยเดินๆ ไปสักสองร้อยเมตรได้
ที่พักนี้สนนราคาคืนละ 38 USD รวมอาหารเช้า สภาพห้องนั้นทางโรงแรมเองก็ยอมรับว่าโรงแรมตัวเองเก่า แต่ตั้งในจุดที่ดีเพราะใกล้เจดีย์ Shwezigon และร้านอาหารแถวนั้นมีเยอะ ซึ่งโดยรวมห้องก็เก่าจริงแต่ก็รักษาสภาพใช้ได้ (แบบตอนกลางคืนได้ยินเสียงหนูวิ่งบนหลังคา) อินเทอร์เนทไม่ฟรีและถ้าจะใช้ควรยกแลปท้อปมาเล่นที่ลอบบี้เพราะสัญญาณอ่อน เอาเหอะมาเที่ยวทริปนี้เราเน้นถูก เรื่องแค่นี้ศรีทนได้ (ไม่ได้ถ่ายรูปสภาพที่พักค่ะ ขออภัยล่วงหน้า)
เนื่องจากเรามาถึงก็บ่าย ด้วยความหิวจึงเดินไปหาของกินแถวนั้นซึ่งมีให้เลือกมากมาย ราคาไม่แพงเท่าไหร่
พอเสร็จแล้วก็เช่าจักรยานปั่นไปใกล้ๆ ซึ่งด้วยความที่อิป้าอย่างเราไม่ค่อยปั่นจักรยาน ปั่นไปแป้บเดียวก็เหงื่อแตกและบ่นเหนื่อยกับเพื่อนแร้ว (โดนเพื่อนจิกทางสายตาว่าช่างสนิมสร้อยนะยะหล่อน) วันแรกก็ได้ไปเจดีย์ใกล้ๆ แถวนั้นคือ Shwezigon
ติมินโล แล้วเราก็ขอปั่นกลับเพราะอิช้อยเหนื่อยแย้ว
พวกเราตัดสินใจเช่ารถม้าต่อวันเพราะอยากได้อารมณ์เที่ยวแบบเมืองโบราณ รถม้าที่พุกามมีทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยว เราไปคุยกับรถม้าหน้าโรงแรม สนนราคาอยู่ที่ 18,000 Kyats ต่อวันนึงเต็มๆ โดยลุงขี่รถม้านี่ล่ะเป็นเสมือนไกด์เพราะแกรู้ทางดี (ก็คนในท้องที่นี่เนอะ) แล้วแกก็ภาษาอังกฤษได้แบบพอรู้เรื่อง พาไปเจดีย์ไหนถ้าไม่มีป้ายอังกฤษ แกจะบอกชื่อได้หมด (ดังนั้นเรากับเพื่อนจึงให้ค่านำเที่ยวแกไปอีกสองพันเจี๊ยต)
เหมือนเดิมค่ะ เล่าด้วยภาพ เจดีย์เยอะมว้ากกก ชนิดที่เรายังนึกเลยว่าสมัยพุกามเรืองรองนี่บรรยากาศมันจะเป็นยังไงหนอ เจดีย์ที่พุกามนั้นว่ากันว่าเคยมีถึงหมื่นองค์แค่ก็เสื่อมสลายไปตามกาล เคยเห็นอุทยานที่บ้านเรา...เจอที่นี่ไป...
แต่ถ้าถามว่าชอบเจดีย์ไหนสุด เรากับเพื่อนเห็นตรงกันว่าที่นี่เลย Dhammayangyi Temple สร้างโดยพระเจ้านะระตู่ ว่ากันว่าพระองค์ตั้งใจสร้างเจดีย์เพื่อล้างบาปที่กระทำปิตุฆาต (แถมดูเหมือนจะฆ่าพี่น้อง และมเหสีตนเองด้วย) และว่าอีกว่าทรงเข้มงวดกับการก่อสร้างมากชนิดที่ว่าช่างก่ออิฐคนไหนทำเบี้ยวนิดหน่อยนี่ถึงขั้นประหารชีวิต
อิฐที่นี่จึงเรียงกันชนิดเข็มก็แทรกไม่ได้ ความเป็นมาของที่นี่ดราม่าสุดๆ แต่ตอนไปเห็นของจริงนี่ยอมรับเลยว่างานก่ออิฐของที่นี่เนี้ยบสุดจริงๆ (ไม่งั้นคงไม่ทนอยู่มาได้หลายร้อยปี)
จากนั้นไปกันที่ ที่วิหาร สัพพัญญู (วิหารที่อาคารสูงที่สุด)
เราพบกับเพื่อนร่วมทางคนนึงซึ่งเป็นคนท้องถิ่นแต่ภาษาอังกฤษดีมว้าก น้องเค้าอายุ 26 ชื่อ Zaw Khaing (ซอว์ ไคน์) เรากับเพื่อนกำลังเหนื่อยเลยหยุดพักที่เก้าอี้นั่ง แล้วน้องเค้าก็มานั่งแถวนั้นพอดี มองหน้ากันเหมือนถูกชะตาน้องเลยชวนคุยว่ามาจากไหน ตอนแรกเรานึกว่าน้องเป็นนักท่องเที่ยวเอเชียแต่ปรากฏว่าเค้าเป็นคนสัญชาติพม่านี่ล่ะ บ้านเดิมอยู่ Mawlamyine ( ใน Mon State) แต่ว่าตอนนี้เค้าก็ไปอยู่ย่างกุ้ง แล้วก็คุยกันเรื่องเที่ยว เรื่องงาน ปรากฏว่าเรากับเพื่อนทำงานองค์กรระหว่างประเทศ น้องเค้าก็เคยทำงานแนวเดียวกัน คลิกเลยทีนี้ขอแลกชื่อแลก facebook กันใหญ่ (และเมื่อถึงวันที่เราไปถึงย่างกุ้ง ก็ได้น้องชายคนนี้ล่ะช่วยเหลือในหลายอย่าง รอเล่าถัดไปนะคะ)
พักกินข้าวเที่ยง ร้านอาหารที่ลุงขับรถม้าพาไป (แกคงได้ค่าคอมฯ ตามประสา แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะอยู่นะ) กินเสร็จเดินไปซื้อน้ำผลไม้อีกร้าน บอกเอาน้ำมะนาวใส่ถุง และแล้วก็ได้ใส่ถุงตามคำขอ...เป็นการใส่น้ำมะนาวลงไปในถุงก้อบแก้บแบบลูกทุ่งแท้ มัดปากถุงพร้อมหย่อนหลอดให้ด้วยนะ
แม่ครัวที่เอามาให้ทำสีหน้าภูมิใจมากว่าทึ่งกับ packaging ล่ะสิ เรากับเพื่อนก็เลยต้องอวยไปตามน้ำว่าโห...ดูดีจังเรย....
วิ่งรถม้ากันตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ได้นับเลยว่าแวะที่แห่งแล้ว จนลุงรถม้าบอกว่าพาเราแวะมา 26 แห่งแล้ว จริงอ่ะ
ที่สุดท้ายเป็นเหมือนไฟลต์บังคับเพราะเป็นจุดชมวิวอาทิตย์ตกดินที่ฮิตสุดของพุกาม คือเจดีย์ชเวนันดอ
มานั่งนึกๆ ปกติไหว้พระเก้าวัดก็เต็มที่...วันนี้พวกเราล่อไป 27 เจดีย์... คิดว่าปีนี้คงไม่ต้องไหว้พระเก้าวัดอีกแร้ว
กลับมาถึงโรงแรม หิว...หาอะไรยัดท้องด่วน เดชะบุญข้างโรงแรมมีร้านอาหารให้เลือกเยอะเชียว