เสียใจค่ะ พ่อแม่ไม่เคยเข้าใจเราเลย

คือบ้านหนูพ่อแม่มีลูก3คนเป็นลูกสาวหมดเลยและหนูเป็นน้องคนสุดท้อง พ่อแม่ก็เหมือนจะห่วงเราเป็นพิเศษอยู่แล้ว นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับหนูนะคะ แต่พอหนูเริ่มโตขึ้นจนเริ่มเข้าสู่อายุ17ปีแล้ว พ่อแม่ก็ดูจะห่วงหนูเหมือนเดิมนะคะแต่ความรู้สึกที่เรามีให้พวกเขามันเริ่มไม่เหมือนเดิม เราเริ่มเป็นคนที่มองโลกในหลายด้านมากขึ้นจึงทำให้ได้รู้ว่าพ่อแม่ห่วงเรามากเกินไป ซึ่งที่จริงมันก็เป็นแบบนี้มานานตั้งแต่เราอยู่อนุบาล2แล้ว พวกท่านก็จะชอบเลี้ยงเราเหมือนไข่ในหินเลย ทำอะไรก็ทำให้เราทุกอย่าง และแบบถ้าวันไหนไม่ไปโรงเรียนก็ให้อยู่แต่ในบ้านเนี่ยแหละเพราะข้างนอกมันมีอันตรายจึงไม่อยากให้ไปไหนทั้งคนเดียวและกับเพื่อนสนิทก็ตาม ในชีวิตนี้หนูจึงได้อยู่แต่ที่โรงเรียนและบ้าน เวลาไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ไปกับเพื่อนหรือคนอื่นเลยนอกจากครอบครัวตัวเองแม้จะเป็นที่ใกล้บ้านก็ตาม ไม่แชท คือท่านเลี้ยงเราเหมือนเด็กสมัยก่อนหมดเลยค่า คือคลาดสายตาไปไหนไม่ได้ ขนาดตอนเข้าค่ายม.3ที่ต่างจังหวัดพ่อยังตามไปด้วยเลย เวลาเลิกเรียนจะไปไหนท่านก็จะจำกัดบริเวณเราแค่ข้างหน้าฝั่งเดียวกับโรงเรียนเท่านั้น ห้ามข้ามถนนไปอีกฝั่งเด็ดขาดเลย แล้วพวกท่านก็สอนให้เราเป็นคนดี พูดจากับเพื่อนและทุกคนให้ไพเราะ ห้ามพูดคำหยาบเด็ดขาด อืมตอนเด็กหนูก็รู้สึกดีนะที่มีพ่อแม่ห่วงเราแบบนี้เวลาทำอะไรจะได้สบายใจแต่ตอนนี้อยู่ม.5 หนูโตแล้วนะ พวกท่านยังเหมือนเดิมอยู่จนเราไม่ได้มีโอกาสทำตามใจตัวเองบ้างเลย เพื่อนชวนไปดูหนังก็ไม่ให้ไป จะไปกินหมูกะทะกับเพื่อนก็ไม่พอใจ สรุปไม่ได้ไรสักอย่าง จนตอนนี้หนูโดนเพื่อนล้อทั้งหญิง-ชายหมดแล้วว่ายัยลูกคุณหนู หนูติ๋ม เรียบร้อย เด็กเรียน มุตา ตัวเองเริ่มอายจนร้องไห้ทุกวันเงียบๆเลย ตั้งแต่เด็กแล้วหนูไม่ค่อยมีเพื่อนเลยค่ะเพราะจะเปนคนเงียบมาก โลกส่วนตัวสูง ไม่พูดหยาบ ที่สำคัญคืออ่อนต่อโลก เราเลยคิดว่าที่เปนแบบนี้เพราะพวกท่านไม่เคยให้เราออกไปไหนหรือทำอะไรเองรึป่าว ไปไหนก็ต้องมีพวกท่าน ล่าสุดหนูขอไปดูหนังกับรุ่นน้องดีๆก็ถูกดุเกินแล้วบอกว่า'มันมากเกินไปแล้วที่ขอน่ะ ถ้าคิดจะทำแบบนี้อีกม.6จะให้อยู่มันแต่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปเรียนที่ต่างจังหวัดเลย  พ่อแม่ไม่เคยพาลูกไปเที่ยวเลยรึไงฮะ' ขนาดทัศนศึกษายังไม่อยากให้ไปมากและเวลาไปได้ก็โทรมาถามสารทุกสุขดิบแทบทุกชั่วโมงจนเพื่อนหลายคนหมั่นไส้เลยหนูก็คิดนะว่าท่านเห็นเราเป็นเด็กอยู่เหรอ ม.5แล้วนะ เรียนอีกปีก็จะเข้ามหาลัยแล้ว ถ้าแค่ไปดูหนังยังไม่ให้แล้วเราจะมีโอกาสได้ออกไปฝึกประสบการณ์ใหม่ข้างนอกมั้ย บอกว่าเราอ่อนต่อโลก ตามเล่ห์คนไม่ทัน ทำไรไม่เป็น นั่นก็เพราะพวกท่านไม่เคยฝึกเราให้ออกสู่โลกภายนอก ต่อสู้ชีวิตลำพังแบบลูกคนอื่นเลยไม่ใช่หรอแล้วมันก็ทำให้พวกท่านไม่เชื่อมั่นในตัวเราอีกแหละ แบบนี้เวลาหนูเข้ามหาลัยไปต่างจังหวัดไกลๆจะอยู่คนเดียวได้ไง ไม่ร้องไห้เลยหรอ ใช้ชีวิตประจำวันที่หอจะทำไง พวกท่านทำให้เราผูกพันธ์มากเกินไปแล้ว พวกท่านคิดว่าเราเป็นเด็กไร้เดียงสาคนนึงเวลาพวกท่านเข้าใจไรเราผิดเราก็จะบอกเหตุผลไปแต่ก็จะโดนหาว่าเถียงตลอด ไม่ใช่แค่พวกท่านอย่างเดียวแต่ทุกคนในครอบครัวเลยแหละ พวกลูกพี่ลูกน้องที่อายุห่างกัน1ปีเองยังใช้ให้ไปยกน้ำมาให้แขกทุกคนดื่มกันเลย มีแต่เราได้แต่นั่งที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยไรเค้ามั่งเพราะเนื่องจากไม่ถูกฝึกมากจึงบริการใครไม่ค่อยเก่งและซุ่มซ่าม ทุกคนก็ไม่ไว้ใจและเชื่อในตัวเรา จนหนูกลายเป็นมีโลกส่วนตัวสูงด้วยเพราะเหตุนี้แหละ  สุดท้ายตอนนี้หนูก็ยังกลัวตัวเองอยู่เลยว่าท่านจะให้เราไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัดจริงรึเปล่านะ ถึงยอมท่านก็จะตามไปอยู่กับเราด้วยรึเปล่า และจบมาถ้าหนูเป็นพวกช่างภาพนิตยสารท่องเที่ยวไรงี้ก็ต้องไปตามที่เที่ยวต่างๆ พ่อจะตามไปดูแลหนูด้วยรึเปล่า แบบเค้าให้ช่างภาพขึ้นรถของบริษัทไปด้วยกันแต่พ่อบังคับให้เราขึ้นรถไปกับตัวเค้าเองประมาณนี้อ่ะ แล้วเรื่องชีวิตคู่ตัวเองอีกล่ะจะยอมให้มีมั้ย หนูกลัวจังว่าชีวิตตัวเองจะมีโอกาสได้ออกจากกรงทองแบบคนอื่นบ้างมั้ยนะ นี่จนถึงตอนนี้พ่อแม่เองก็ยังไม่รู้ว่าหนูเป็นคนยังไงเวลาอยู่โรงเรียนและแทบไม่มีเพื่อน ตอนจะขอดูหนังก็ยังบ่นว่าเดี๋ยวนี้ทำไมลูกคบกับรุ่นน้องมากเกินไปล่ะ แล้วเพื่อนตัวเองเล่าา หนูก็ไม่ได้พูดเพราะกลัวท่านเทศยาว มันแปลกมั้ยที่อยู่โรงเรียนหนูจะเป็นคนที่เงียบ เหมือนโกรธใครไม่เป็น บางครั้งเศร้าที่ไม่มีเพื่อนคุยด้วยบางครั้งรู้สึกดีในใจที่มีเพื่อนมาทำให้เราหัวเราะ แต่พออยู่ที่บ้านหนูจะร่าเริงสดใส ในใจเศร้าทุกครั้งที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ช่วงนี้แทบทุกวันที่กลับมาหนูจะหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุตลอดไม่รู้เป็นไร อยู่ที่โรงเรียนถึงจะเงียบแต่ก็รู้สึกดีนะแต่กลับมาถึงบ้านแค่นั้นทำไมหงุดหงิดทุกทีนะ นี่หนูจะทำไงเรื่องชีวิตตัวเองดีคะ หนูกลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีคำว่าอิสระเสรีในชาตินี้เลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
พอดี เข้ามาดูกระทู้ที่น้องเคยถามเรื่องที่ท่องเที่ยว ที่เคยตอบไป ว่าจะมีข้อซักถามอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า เลยพึ่งทราบวันนี้ว่าน้องยังเรียนมัธยม และเห็นกระทู้นี้

ขออนุญาตให้คำแนะนำ

อ่านแล้วก็รู้สึกเห็นใจ ที่พ่อแม่ เข้มงวดมากๆครับ แต่จากที่น้องเล่ามา สำหรับในความคิดของผม เหตุผลหลักเป็นเพราะท่านรักและเป็นห่วงน้องมาก และที่สำคัญเพราะน้องเป็นผู้หญิง และมองว่ายังอายุน้อย อีกเรื่องนึงคือท่านเองก็กังวลกับสภาพแวดล้อมภายนอกจะมีอันตรายต่อตัวน้อง คือท่านคิดว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง ท่านคงจะเสียใจมากไปตลอดชีวิตแบบที่ว่าไม่สามารถให้อภัยตนเองและทำใจได้ ดังนั้นจึงใช้วิธีตัดไฟแต่ต้นลม คือป้องกันไม่ให้เกิดและไม่ยอมรับความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น

เช่น ที่น้องบอกว่า พ่อไม่ให้ข้ามถนน ให้รอที่หน้าโรงเรียนเท่านั้น เพราะท่านป้องกันความเสี่ยง เนื่องจากกลัวว่า ถ้าน้องข้ามถนนอาจมีรถมาชนน้องได้  จึงป้องกันไม่ให้เกิดคือ ไม่ต้องข้ามถนนมา  ทั้งที่ในความคิดน้องหรือคนส่วนใหญ่ ก็มองว่าด้วยวัยขนาดนี้ ข้ามถนนได้เองแล้ว จะกังวลอะไร (คือคนส่วนใหญ่มองว่าวัยขนาดน้อง ความเสี่ยงที่จะถูกรถชนจากการข้ามถนนหน้าโรงเรียนมันน้อยมากๆ แต่พ่อน้องรับความเสี่ยงไม่ได้เลย)

ส่วนเรื่องการห้าม ไปข้างนอก กับเพื่อน เช่น ดูหนัง ทานอาหาร ก็เพราะ ท่านมองไม่เห็น และคิดว่ามันสร้างความเป็นห่วงให้ท่าน น้องอยู่ต่างจังหวัด อาจจะเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ท่านก็เป็นห่วงตั้งแต่การเดินทางออกจากบ้าน กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ส่วนการไปข้างนอก ท่านก็กลัวเรื่องอันตรายที่จะเกิดกับผู้หญิง เช่น ถูกข่มขืน ,ถูกผู้ชายมาหลอก,กังวัลเรื่องความรักในชีวิตวัยรุ่น แล้วน้องอาจถูกหลอกหรือไปทำอะไรในทางเพศ ในวัยที่ยังไม่สมควร

แต่ที่ท่านสอนให้น้องเป็นผู้หญิงเรียบร้อย พูดจาไพเราะ นั่นเป็นเรื่องที่ดีแล้วล่ะครับ

ก่อนที่จะแนะนำ การแก้ปัญหา ผมขอบอกว่า ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการดื้อแพ่ง หรือแอบดื้อเงียบลับหลัง เพราะถ้าท่านทราบ ท่านคงเสียใจมากๆ และอาจก่อให้เกิด โมเมนตัมกลับมาที่น้อง เช่น โดนเข้มงวดหนักขึ้นไปอีก  

เอาละ มาหาทางออกเรื่องนี้กันครับ

1.เข้าใจหัวอกคุณพ่อคุณแม่
ก่อนอื่น ในฐานะผู้ชายและอยู่ในวัยทำงานที่ถือว่ามีประสบการณ์ชีวิตพอสมควร ผมเองก็มองว่า สังคมวัยรุ่นและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันมันเปลี่ยนไป เช่น การติดต่อสื่อสารของวัยรุ่นง่ายขึ้นมาก ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่แค่โทร แต่ติดต่อกันผ่านระบบอินเทอร์เน็ท เข้าถึงเรื่องต่างๆได้ง่ายขึ้น (ทั้งดีและไม่ดี) จีบกันง่ายขึ้น น้องลองนึกถึงยุคที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือสิครับ มีแค่โทรศัพท์บ้าน จะจีบสาวสักคนในโรงเรียน ต้องรวบรวมความกล้า ไปคุยกับเค้า ต้องใช้เวลาและความพยายาม ได้โทรศัพท์บ้านมา จะกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้นก็ต้องโทรไปที่บ้าน แล้วก็ต้องรอว่าใครจะรับสาย ถ้าพ่อเค้ารับ หมดโอกาสคุย นอกจากจะโดนซัก ว่าเป็นใคร โทรมามีธุระอะไร ยังโดนว่าอีกต่างหาก เพราะเค้าก็รู้ทันว่าโทรมาจีบลูกสาวเค้า  แต่ตอนนี้ ชีวิตมันง่ายขึ้นมากเหมือนอย่างที่ค่ายผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายนึงโฆษณาไว้ จึงทำให้ชีวิตวัยรุ่นส่วนใหญ่เปลี่ยนไป จีบกันก็ง่ายขึ้น เข้าถึงข้อมูลเรื่องไม่ดีก็ง่ายขึ้น สถิติการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยก็มีอัตราเพิ่มขึ้น ดังนั้นท่านจึงห่วงน้องซึ่งเป็นผู้หญิงมาก

นี่ล่ะครับ พ่อแม่น้องท่านจึงเกิดความเป็นห่วงและเป็นกังวล ลูกสาวที่ท่านรักมาก กลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับน้อง กลัวจะถูกผู้ชายหลอก กลัวจะมีเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ,กลัวคบเพื่อนไม่ดีแล้วพาไปในทางไม่ดี เช่น เรื่องยาเสพติด นี่ยังไม่นับอันตรายที่เป็นข่าวที่สร้างความเป็นห่วง เช่น คดีข่มขืน ,คดียาเสพติด,คดีเมาแล้วขับ เป็นต้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ น้องคงจะเข้าใจ ว่าเหตุและปัจจัยเหล่านี้ ก็ให้เกิดความกังวลและเป็นห่วงต่อตัวน้อง เพียงแต่ท่านรับความเสี่ยงได้น้อยกว่าคนอื่น จึงเข้มงวดต่อน้องมาก ๆ (ไม่รู้พี่สาวอีกสองคน ถูกเข้มงวดเหมือนกันหนือเปล่า?)


2.เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย
พอน้องเข้าใจ แล้วว่าทำไมท่านจึงเข้มงวดมากๆ ซึ่งบางเรื่องผมเองก็มองว่า มากไปหน่อย ก็ต้องหาทางค่อยๆ แก้กันไป ทางแก้ปัญหา เริ่มแรก คงต้องเริ่มด้วยการชวนพ่อแม่ ไปออกกำลังกายกันข้างนอกครับ จะไปเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิค ตีแบดมินตัน ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ ตีเทนนิส อะไรก็แล้วแต่ ที่ถนัดและชอบ แต่ต้องเริ่มครับ เพื่อเป็นจุดเริ่มในการออกไปข้างนอกบ้านกันบ้างและท่านจะได้เห็นว่า น้องโตเป็นวัยรุ่น(ไม่ใช่เด็กที่จะเล่นตุ๊กตา หรือของเล่น) และแข็งแรงพอที่จะทำอะไรได้ด้วยตนเอง  เรื่องการออกกำลังกายท่านคงไม่ห้ามน้องแน่นอน เพราะเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ร่างกายให้แข็งแรง รูปร่างดี พยายามไปเป็นประจำ นานๆ ไป ถ้าท่านขี้เกียจหรือไม่ว่าง ท่านอาจจะแค่ ไปรับ ไปส่ง น้องออกกำลังกาย

3.ญาติพี่น้องผู้หญิงนำพา
พี่สาวสองคนของน้องผมเดา ว่าคงไปเรียนหรือทำงานที่อื่น แล้วน้องมีญาติ หรือลูกพี่ลูกน้อง เป็นผู้หญิงที่สนิท และอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราหรือเปล่าครับ? ถ้ามี ก็ต้องชวนเค้ามาออกกำลังกายด้วยกัน คือเริ่มแรกต้องเริ่มด้วยการออกกำลังกาย จากนั้นอาจจะเป็นการออกไปทานอาหารกับญาติพี่น้องที่เป็นผู้หญิง คือไปแบบไม่ไกล เป็นที่ปลอดภัยและอย่าไปนานจนสร้างความเป็นห่วงและเป็นกังวล เช่น ไปทานไอศครีมแล้วก็กลับบ้าน  แล้วเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น จึงค่อยขอไปดูหนังกับญาติ โดยให้ญาติเป์นคนขอ (อย่าไปรอบกลางคืนเเด็ดขาด) คือต้องใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ แบบน้ำที่ค่อยๆซึมครับ โดยช่วงแรกพ่อแม่ อาจไปด้วย แต่การไปกับญาติพี่น้องผู้หญิง อย่างไรความไว้วางใจก็มีมาก โอกาสที่จะอนุญาตให้น้องไปกับญาติมีความเป็นไปได้สูง

4. กัลยาณมิตรสาวเข้าบ้าน
"คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" สุภาษิตคำสอนนี้ ใช้ได้เสมอ น้องมีเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่ที่สนิทมากๆ ที่ถือว่าเป็นกัลยาณมิตร ไหมครับ? คิดว่าต้องมี ต้องชวนเพื่อนที่สนิทและเป็นคนดี มาที่บ้านครับ ก่อนมา บอกให้พ่อแม่ทราบก่อนล่วงหน้าว่าจะชวนเพื่อนมาที่บ้าน บอกเรื่องดีของเพื่อนให้พ่อแม่รู้ แล้วมาที่บ้านต้องมาทำเรื่องดีๆ หรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ให้พ่อแม่เห็น เช่น ติวหนังสือ ทำการบ้าน ทำรายงาน หรือมาทำกิจกรรมที่เป็นเรื่องดี เช่น ทำงานฝีมือ ทำอาหาร ทำขนม เล่นดนตรี  อย่าไปทำกิจกรรมในห้องนอนน้องโดยเด็ดขาด เริ่มแรกต้องให้พ่อแม่เห็น ถ้ามาจนชิน จนท่านไว้วางใจ ท่านจะเอ่ยปากหรืออนุญาตเองให้เข้าไปใช้ชีวิตตาประสาวัยรุ่นในห้องนอน น้องต้องเริ่มด้วยกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และอยู่ในสายตาท่าน พวกนี้ก่อน ไม่ใช่เริ่มด้วยการขอไปดูหนัง และยังไปกับเพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งท่านมองว่าเด็กกว่าเรา (จะช่วยดูแลตัวน้องได้อย่างไร ท่านก็คงไม่รู้จักน้องคนนั้นมากนัก) พอท่านถามเรื่องเพื่อนรุ่นเดียวกัน น้องก็เงียบอีก

5.เยี่ยมบ้านกัลยาณมิตรสาว
ในช่วงวัยรุ่นมัธยม เป็นธรรมดาครับ อยากเที่ยวห้าง ดูหนัง แต่สำหรับน้อง ต้องใจเย็นๆ เรื่องพวกนั้น คงต้องไปกับพ่อแม่ หรือญาติผู้หญิงไปก่อน ต่อเนื่องจากข้อแนะนำด้านบน น้องต้องเริ่มจากการไปบ้านเพื่อนผู้หญิงบ้าง ไปบ้านเพื่อนผู้หญิงที่สนิท เป็นเพื่อนที่ดี ไปในวันหยุด ช่วงสายหรือกลางวันและเป็นเวลาที่พ่อแม่ของเพื่อนอยู่บ้านด้วย การเดินทางให้พ่อแม่ น้องไปรับส่ง ท่านจะได้พยปะ พูดคุยกับพ่อแม่เพื่อน จะได้เกิดความไว้วางใจ และก็ต้องไปทำเรื่อง หรือกิจกรรม เช่นที่แนะนำไว้ด้านบน ที่สำคัญอย่าไปนาน ไม่ควรเกินสามชั่วโมง และต้องตรงเวลา

6.ตั้งใจเรียน
น้องต้องเข้าใจ บทบาทและหน้าที่ ว่าน้องเป็นนักเรียน มีหน้าที่เรียนหนังสือเป็นหลัก และยังต้องใช้เงินของพ่อแม่ ดังนั้น ควรตั้งใจเรียนให้สุดความสามารถ ให้ผลการเรียนอยู่ในระดับดี แต่ก็ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว ต้องแบ่งเวลาไปออกกำลังกาย และทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่น้องสนใจและเป็นประโยชน์  เช่น ถ่ายภาพ ทำงานฝีมือ ทำกับข้าว เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ฯลฯ

การออกกำลังกาย และกิจกรรมพวกนี้ล่ะครับ จะเป็นหนทางที่น้องจะได้ใช้ชีวิตโลกภายนอก ได้ประสบการณ์ชีวิต และเกิดความสามารถและทักษะที่เป็นประโยชน์ ส่วนการเรียนจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้าต่อตัวน้องเอง ผลในระยสั้นคือ ถ้าน้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคณะที่อยากเรียนในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดที่น้องอยากเรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ ท่านรักน้องมากขนาดนี้ ท่านก็หวังที่จะเห็นน้องมีอนาคตที่ดี คงไม่ห้ามน้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดแน่นอน มีแต่ท่านจะดีใจและภูมิใจ

7.ฝึกทำอะไรด้วยตนเอง เริ่มจากที่บ้าน
น้องต้องฝึกและหัดทำอะไรด้วยตนเอง ให้พ่อแม่ ได้รู้และเห็นครับ โดยเริ่มจากที่บ้าน เช่น ทำงานบ้าน (เริ่มจากทำความสะอาดห้องนอนตัวเอง) ซักผ้า รีดผ้าเอง ทำกับข้าว ปลูกดอกไม้ หรือต้นไม้ในกระถางเอง แล้วดูแลให้ดีอย่าให้ตาย เสริฟน้ำ หรือเครื่องดื่มอื่นให้พ่อแม่ เมื่อมีโอกาส จากนั้น ก็ค่อยๆ ไปเรื่องอื่น เช่น หัดขับรถยนต์ ก็คุยกับคุณพ่อ ให้ช่วยสอนให้ บอกท่านว่า เพราะที่บ้านอยู่กันสามคน ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน พ่อแม่ไม่สบาย แล้วน้องขับรถไม่เป็น จะช่วยเหลือท่านอย่างไร

หาโอกาสไปเดินตลาด หรือตลาดนัดกับพ่อแม่ หาโอกาสเดินข้ามถนนกับท่าน จูงมือท่าน ข้ามถนนเสร็จแล้วก็คุยกับท่าน บอกท่านว่า พ่อแม่ จูงมือน้องข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวแล้ว วันหน้าพ่อแม่ แก่ชรา น้องต้องดูแลท่าน ท่านจะข้ามถนนก็ต้องจูงมือท่านข้ามถนน แต่วันนี้ถ้าน้องยังข้ามถนนเองคนเดียวไม่ได้ แล้ววันหน้าจะจูงมือพ่อกับแม่พาข้ามถนนได้อย่างไร

ลองทำตามคำแนะนำของผม แบบค่อยเป็นค่อยไปครับ อยู่โรงเรียนก็พูดคุย หรือทำกิจกรรมกับเพื่อนๆบ้าง เพื่อนดีจะนำพาเราไปทางที่ดี คนโลกส่วนตัวสูง ไม่ใช่คนที่ไม่มีเพื่อนนะครับ อย่างผม Backpack ไปเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่ไม่มีเพื่อนแต่เพื่อนเวลาไม่ตรงกับที่เราว่าง หรือเราต้องการไปตามสถานที่หรือแผนที่เราต้องการ แต่ไม่มีเพื่อนคนอื่นสนใจ ก็ไปคนเดียว แต่ผมก็ได้พบเพื่อนใหม่ หรือรู้จักคนในระหว่างเดินทางเสมอ

ตอนนี้น้องก็ใช้งานอินเทอร์เน็ทพาน้องไปสู่โลกกว้างไปก่อน เช่นเมืองที่น้องสนใจ ผมรู้จักก็แนะนำให้น้องได้รู้ และสามารถต่อยอดไปหาข้อมูลต่อได้ ถ้าพ่อแม่ พาไปเที่ยวได้ ก็ไปกับท่าน แต่หากยังไม่มีโอกาส ก็รอวันหน้า หาเงินได้เอง ก็ค่อยเก็บออม หรือจัดสรรปันส่วนไปเที่ยวเอง

เรื่องชีวิตคู่ ก็ไม่ต้องไปคิดกังวล ชีวิตยังอีกยาวไกล วันหน้าทำงานแล้ว ถ้าน้องมีแฟนเป็นคนดี จริงใจ มีการงานมั่นคง ท่านก็คงไม่หวงห้าม เพราะอยู่ในวัยเหมาะสม

หวังว่าคงจะช่วยให้น้องสบายใจและมีทางออกในการแก้ปัญหานี้ได้บ้างครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่