.....มือถือสาก ปากถือศีล: จำลอง ศรีเมือง

กระทู้สนทนา
ลูกหัวแก้วหัวแหวนรุ่นแรกจริงๆ ของพลเอกเปรมก็คือ จำลอง  ศรีเมือง  จปร.7 แห่งกลุ่มยังเติร์ก   สมัยเปรมเป็นนายกเขาแต่งตั้งจำลองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีซึ่งสื่อสมัยนั้นให้ฉายาว่า "นายกเล็ก"    จำลองขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ "ยอมหักไม่ยอมงอ" เคยน้อยใจป๋าเปรมเรื่อง "กฏหมายทำแท้ง" แล้วลาออกจากตำแหน่งนายกเล็ก   แต่ป๋าเปรมก็ให้ความเอ็นดูและสนับสนุนอยู่ห่างๆ     ในบรรดาๆ "ลูกๆ ป๋า"   จำลองถือว่าเป็นลูกชายคนโต    ป๋าเปรมมองข้ามไม่ให้ความสำคัญ จปร5. (ที่มีพลเอกสุจินดา  คราประยูรเป็นประธานรุ่น)   สร้างรอยร้าวระหว่าง จปร5 และจปร7    ที่ต้องขบเหลี่ยมกันมานานนับสิบปีแล้วมาสุกงอมเอาตอนปฏิวัติปี2535


จำลองพยายามสร้างโลโก้ให้สังคมได้จดจำว่าเขาคือคนมีศีล   อ้างพุทธวจนะ อ้างการถือศีล กินผัก ประกาศต่อสังคมว่าไม่ได้นอนกับเมีย(ศิริรักษ์)แม้การสลัดสูทและเนคไทแล้วหันมาแต่งตัวเสื้อม่อฮ่อมแทน   ถือว่าเป็นการลงทุนเพียงน้อยนิดแต่คุ้มค่า  สังคมเรียกเขาว่า "มหาจำลอง"  และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจสถานะตรงนี้    ทั้งๆ ที่มีโอกาส...แต่เขาไม่เคยอธิบายให้สังคมเข้าใจว่า "มหา" ใช้นำหน้าเฉพาะพระภิกษุหรือสามเณรที่ผ่านการเรียนภาษาบาลีตั้งแต่ประโยคสามขึ้นไปถึงประโยคเก้า  (ขนาดสอบได้เปรียญ1-2ยังไม่สามารถเรียกมหาได้)    ช่วงนั้น "จำลองฟีเวอร์" กระฉูดโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ    เบื้องหลัง "อดีตทหารรับจ้าง" ที่รับภารกิจไปสังหารคนอื่น(ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ศรัตรู)เพื่อแลกเงินดอลล่าห์ของจำลองยังไม่เป็นที่เปิดเผยในวงกว้างนัก

การชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทะลายในสนามการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ และเลือกตั้งทั่วไปเป้นดรรชนีชี้ "จำลองฟีเวอร์" เป็นอย่างดี     กว่าคนกรุงเทพฯ จะตาสว่างก็หลายปีโขไปเหมือนกัน     เมื่อเครดิตในสังคมของจำลองเริ่มหร่อยหรอ   เขาหันไปคว้าทักษิณ  ชินวัตรหมายมั่นปั้นมือที่จะเข้าต่ออายุพรรคพลังธรรมของเขา   แม้จะหักเหลี่ยมโหดกับเพื่อนรักอย่าง ไชยวัฒน์  สินสุวงศ์ก็ตาม    แต่จำลองเชื่อว่าอำนาจเงินของtycoon อย่างทักษิณจำช่วยกอบกู้พรรคพลังธรรมขึ้นมาได้    พรรคพลังธรรมก็เหมือนตัวจำลอง   ศรีเมืองคือไม่ต่างอะไรจากผล "มะเดื่อ" ข้างนอกดูสุกใสแต่ข้างในเน่าโพลน   มีความแตกแยกวงในเพราะตัวจำลองเป็นเหตุ  สุดท้ายทักษิณก็ลาออก


จำลอง    พยายามนำตัวเองขึ้นมาโดดเด่นบนเส้นทางการเมืองอีกครั้งในเหตุการพฤษภาทมิฬ   เขาประกาศอดข้าวประท้วงพลเอกสุจินดา  พร้อมๆ กับกลบรัศมีร้อยตรีฉลาด  วรฉัตรที่อดข้าวประท้วงก่อนหน้านั้นอยู่เหมือนกัน   โดยเขียนจดหมายลาตายอย่างแข็งขัน....ว่าถ้าพลเอกสุจินดาไม่ฟังเขาเขาก็จะอดข้าวตาย    เมื่อพลเอกสุจินดาเอาหูทวนลมเสีย....แกก็กลับมากินข้าวเหมือนเดิมอย่างไม่ยางอาย(แม้จะพยายามพูดแก้เกี้ยวภายหลังว่าเขาต้องการกำลังเพื่อเดินนำฝูงชน)


การนำฝูงชนเคลื่อนตัวจากสนามหลวงมายังแถวสะพานผ่านฟ้า    ทำให้จำลอง "หลงตัวเอง" ว่าเขาคือผู้นำที่กล้าหาญในตอนนั้น   ทั้งๆ ที่ความจริงยังมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังและตัวช่วยเขาเยอะแยะ  ไม่ว่าจะพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ  พลเอกพัลลภ  ปิ่นมณี  พลตรีมนุญกฤต  รูปขจร  พลเอกอู๊ด(เบื่องบน) พลโทพิรัช  สมาวิภักดิ์  หรือแม้แต่ป๋า   แต่จำลองก็คือจำลอง   เขาต้องเด่นกว่าใครทั้งหมด...เขาคือผู้นำ...และหลังจากที่เขาและพลเอกสุจินดาได้เข้าไปเฝ้าในหลวงแล้ว   ก็เกิดการเลือกตั้งใหม่   ช่วงนั้น...จำลอง "สำคัญตัวเองผิด" ไปถนัด    คิดว่ายังไงๆ เสียเขาก็คือตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแน่ๆ เพราะวีรกรรมที่นำประชาชนต่อต้านพลเอกสุจินดาครานั้นจะยังคงตรึงตราใจมวลชนอยู่     ไม่แน่???   ถ้าไม่มีประชาธิปัตย์ฝันของจำลองอาจจะเป็นจริงก็ได้ใครจะรู้??    เผอิญว่าจำลองเจอการหาเสียงแบบเขี้ยวลากดินของประชาธิปัตย์แค่ประโยคเดียวสั้นๆ  "จำลองพาคนไปตาย"  ก็สามารถถีบหัวส่งจำลอง  ศรีเมืองกลับบ้านเก่าแทบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในเวทีการเมืองจนตราบเท่าทุกวันนี้      ทำได้อย่างดีที่สุดก็หากินโดยการประท้วงตามริมฟุตบาทไปวันๆ


โดยความประพฤติและสันดานของจำลองแล้ว   อยู่ที่ไหนก็แตกแยกแตกคอกับคนอื่นที่นั่น....ระดับพลเอกเปรม   ติณสูลานนท์ยังเอาไม่อยู่   ประสาอะไรกับ สนธิ  ลิ้มทองกุล  ทักษิณ  ชินวัตร  ประชาธิปัตย์  และอื่นๆ อีกมากมาย  ฯลฯ


ล้มเหลวทางการเมืองทีไร.....แกก็จะมีโครงการ "สร้างภาพ" ของแกมาเสนอสังคมไปเรื่อยเปื่อย   ไหนจะตั้งโรงเรียนทางการเมืองบ้าง   ไหนจะตั้งร้านขายของราคาต้นทุนบ้าง   ไหนจะไปเลี้ยงหมาบ้าง   อะไรต่อมิอะไรของแกจิปาถะ.....แกจนป่านนี้น่าจะรู้ว่ามัน "เกินแกง" แล้ว   แต่สำคัญตัวเองผิดว่ายังสำคัญระดับประเทศชาติอยู่.....

คนทางอีสานเขาเรียกจำลองว่า    "จำลอง  4เมีย"    แปลว่าอะไรก็ลองถาม "หล่อ" อย่างตระกองขวัญดูนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่