โหมโรงก่อนคู่เอฟเวอร์ตัน vs สเปอร์ส เชื่อว่าแฟนบอลอายุ 30 อัพคงไม่มีใครไม่รู้จัก แกรี่ ลินิเกอร์ สุดยอดตัวเข้าฮอสของทีมชาติอังกฤษ ตัวผมเองยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่องบอลในช่วงนั้น แต่ผมเป็นคนชอบเก็บข้อมูลฟุตบอลยุคเก่าๆ และเห็นว่าน่าสนใจ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับเกมคืนนี้ด้วยเลยเอามาฝากกัน
แกรี่ ลินิเกอร์
หนึ่งฤดูกาลที่ยิงกระจายให้กับท็อฟฟี่
ลินิเกอร์คือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในตอนนั้น เมื่อเอฟเวอร์ตันจ่ายเงินให้เลสเตอร์เป็นจำนวน 800,000 ปอนด์เพื่อนำมาล่าตาข่ายในช่วงฤดูร้อนของปี 1985 แม้เดอะ บลูส์ จะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ดิวิชั่น 1 และยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ แต่โฮเวิร์ด เคนดัลล์ ผู้จัดการทีมตั้งใจจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมของเขาอย่างต่อเนื่องจึงได้คว้ากองหน้าผู้ยิง 24 ประตูให้กับทีม “สุนัขจิ้งจอก” เมื่อซีซั่นก่อนหน้ามายังถิ่นกูดิสัน พาร์ค
ซึ่งเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองเป็นอย่างดีถึงเงินที่ท็อฟฟี่เสียไป ถึงแม้ว่าเอฟเวอร์ตันจะจบฤดูกาลด้วยความผิดหวังก็ตามที โดยเพชฌฆาตในกรอบเขตโทษอย่างลินิเกอร์ยิงได้ถึง 40 ประตูใน 57 เกมแต่เดอะ บลูส์ ทำได้แค่เพียงดับเบิ้ลรองแชมป์โดยพลาดทั้งแชมป์ดิวิชั่น 1 และเอฟเอ คัพ ให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอย่างลิเวอร์พูล
ขณะเดียวกันลินิเกอร์ยังโชว์ฟอร์มได้ดีต่อเนื่องกับทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 โดยลูกทีมของบ็อบบี้ ร็อบสัน ได้พ่ายต่ออาร์เจนติน่าในรอบควอร์เตอร์-ไฟนัล แต่ 6 ประตูที่ลินิเกอร์ทำได้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รางวัลรองเท้าทองคำไปครอง
จากฟอร์มอันร้อนแรงทั้งกับสโมสรและทีมชาติทำให้บาร์เซโลน่าคว้าตัวลินิเกอร์ไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 2.8 ล้านปอนด์
ลินิเกอร์รำลึกความหลังเมื่อตอนที่ออกจากถิ่นกูดิสัน พาร์คทางเอฟเวอร์ตันทีวีเมื่อปี 2008 ว่า “มันน่าขันตรงที่โฮเวิร์ด เคนดัลล์ เรียกผมมาคุยก่อนจบฤดูกาลและพูดว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอจากบาร์เซโลน่า และพวกเขาก็เตรียมจะตอบรับข้อเสนอซึ่งมันทำให้ผมอึ้งไปนิดนึง เพราะผมคิดว่าผมก็ทำผลงานให้ทีมได้ดีเลยทีเดียว
“ตอนนี้เอฟเวอร์โตเนี่ยนจำนวนมากก็ยังเข้ามาเจอผมและพูดว่า “โอ้ คุณไม่น่าไปจากสโมสรเลย แต่เรื่องมันก็คือว่าสโมสรมาหาคุณและพูดว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอที่ตอบรับไปด้วยความยินดี มันทำให้คุณต้องตัดสินใจไป
ในอีกด้านหนึ่ง
ลินิเกอร์ค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู 3 ฤดูกาล ซึ่งเขาเคยยิงแฮตทริกใส่เรอัล มาดริด และช่วยให้บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ รวมถึงยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่เคยคว้าแชมป์ลา ลีกา เมื่ออายุได้ 28 ปี, เขากลับไปยังอังกฤษเพื่อค้าแข้งกับทอตแน่ม ที่จริง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยอยากได้เขาไปจับคู่กับ มาร์ค ฮิวจ์ส อดีตเพื่อนร่วมทีมเจ้าบุญทุ่มที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เขาเลือกย้ายไปไวท์ ฮาร์ท เลน แทนในฤดูร้อนปี 1989
ด้วยผลงาน 24 ประตูในฤดูกาลแรกของเขากับทีม “ไก่เดือยทอง” ทำให้เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของดิวิชั่น 1 อีกครั้ง ในปีถัดมาเขาก็คว้าแชมป์แรกในลีกบ้านเกิดได้เสียทีเมื่อทอตแน่มเอาชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-1 ในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ในเกมแห่งความทรงจำที่พอล แกสคอยน์ ไปเสียบใส่แกรี่ ชาร์ลส์ แบบน่าเกลียด ลินิเกอร์ยิงได้สองประตูในรอบรองชนะเลิศที่ชนะอาร์เซน่อล 3-1 แต่ไม่สามารถมีชื่อบนสกอร์บอร์ดได้ในนัดชิงชนะเลิศ ลูกยิงของเขาถูกตีธงล้ำหน้าอีกทั้งยังโดนมาร์ค ครอสส์ลี่ย์ เซฟลูกจุดโทษอีกต่างหาก
ลินิเกอร์ไม่เคยมีโอกาสค้าแข้งในช่วงที่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกเลย โดยอีกหนึ่งฤดูกาลที่เขายิงประตูเป็นกอบเป็นกำคือซีซั่น 1991/92 เมื่อเขายิงได้ถึง 35 ประตูรวมทุกรายการ นั่นคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในอังกฤษก่อนที่จะยุติอาชีพค้าแข้งในญี่ปุ่น
เขาย้ายไปเล่นในเจ-ลีกหลังจากจบเส้นทางการรับใช้ทีมชาติอย่างน่าผิดหวังในศึกยูโร 92 และใช้เวลาสองปีค้าแข้งกับสโมสรนาโกย่า แกรมปัส เอท ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 1994 ด้วยสถิติการค้าแข้งอันยอดเยี่ยมยิงได้ถึง 281 ประตูจากการลงเล่นในระดับสโมสรกว่า 500 นัด
ผลงานกับทีมชาติ
ลินิเกอร์รั้งที่สองของอันดับดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในทีมชาติอังกฤษตามหลังบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ด้วยผลงาน 48 ลูกใน 80 นัด น้อยกว่าจอมทัพชุดแชมป์โลกปี 1966 เพียงแค่ลูกเดียว เมื่อพูดถึงความสำเร็จในเรื่องนี้ อดีตแข้งวัย 52 ปีกล่าวว่า “ถ้ามีบางคนบอกผมในช่วงเริ่มอาชีพค้าแข้งว่าผมจะยิงได้น้อยกว่าเจ้าของสถิติเพียงลูกเดียว ผมคงคิดว่าพวกเขาเป็นคนบ้าที่พูดเพ้อเจ้อเป็นแน่”
ลินิเกอร์ลงประเดิมสนามในระดับทีมชาติครั้งแรกในฐานะตัวสำรองในเกมกับสกอตแลนด์เมื่อปี 1984 และลงเล่นนัดสุดท้ายให้ทีมสิงโตคำรามในเกมพบกับสวีเดนปี 1992 เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวออกโดยเกรแฮม เทย์เลอร์ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น
โดยลินิเกอร์ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษใน 4 ทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ทั้งฟุตบอลโลกปี 1986 และ 1990 รวมถึงฟุตบอลยูโรปี 1988 และ 1992
อันนี้ฉบับย่อ ไปอ่านต่อแบบเต็มๆ ได้ครับที่
http://th.evertonfc.com/news/club-connector-gary-lineker
โหมโรงก่อนเกม - ลินิเกอร์ ฮีโร่ของท็อฟฟี่และคลับไก่ (ดักแก่)
แกรี่ ลินิเกอร์
หนึ่งฤดูกาลที่ยิงกระจายให้กับท็อฟฟี่
ลินิเกอร์คือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในตอนนั้น เมื่อเอฟเวอร์ตันจ่ายเงินให้เลสเตอร์เป็นจำนวน 800,000 ปอนด์เพื่อนำมาล่าตาข่ายในช่วงฤดูร้อนของปี 1985 แม้เดอะ บลูส์ จะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ดิวิชั่น 1 และยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ แต่โฮเวิร์ด เคนดัลล์ ผู้จัดการทีมตั้งใจจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมของเขาอย่างต่อเนื่องจึงได้คว้ากองหน้าผู้ยิง 24 ประตูให้กับทีม “สุนัขจิ้งจอก” เมื่อซีซั่นก่อนหน้ามายังถิ่นกูดิสัน พาร์ค
ซึ่งเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองเป็นอย่างดีถึงเงินที่ท็อฟฟี่เสียไป ถึงแม้ว่าเอฟเวอร์ตันจะจบฤดูกาลด้วยความผิดหวังก็ตามที โดยเพชฌฆาตในกรอบเขตโทษอย่างลินิเกอร์ยิงได้ถึง 40 ประตูใน 57 เกมแต่เดอะ บลูส์ ทำได้แค่เพียงดับเบิ้ลรองแชมป์โดยพลาดทั้งแชมป์ดิวิชั่น 1 และเอฟเอ คัพ ให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอย่างลิเวอร์พูล
ขณะเดียวกันลินิเกอร์ยังโชว์ฟอร์มได้ดีต่อเนื่องกับทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลกปี 1986 โดยลูกทีมของบ็อบบี้ ร็อบสัน ได้พ่ายต่ออาร์เจนติน่าในรอบควอร์เตอร์-ไฟนัล แต่ 6 ประตูที่ลินิเกอร์ทำได้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รางวัลรองเท้าทองคำไปครอง
จากฟอร์มอันร้อนแรงทั้งกับสโมสรและทีมชาติทำให้บาร์เซโลน่าคว้าตัวลินิเกอร์ไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 2.8 ล้านปอนด์
ลินิเกอร์รำลึกความหลังเมื่อตอนที่ออกจากถิ่นกูดิสัน พาร์คทางเอฟเวอร์ตันทีวีเมื่อปี 2008 ว่า “มันน่าขันตรงที่โฮเวิร์ด เคนดัลล์ เรียกผมมาคุยก่อนจบฤดูกาลและพูดว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอจากบาร์เซโลน่า และพวกเขาก็เตรียมจะตอบรับข้อเสนอซึ่งมันทำให้ผมอึ้งไปนิดนึง เพราะผมคิดว่าผมก็ทำผลงานให้ทีมได้ดีเลยทีเดียว
“ตอนนี้เอฟเวอร์โตเนี่ยนจำนวนมากก็ยังเข้ามาเจอผมและพูดว่า “โอ้ คุณไม่น่าไปจากสโมสรเลย แต่เรื่องมันก็คือว่าสโมสรมาหาคุณและพูดว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอที่ตอบรับไปด้วยความยินดี มันทำให้คุณต้องตัดสินใจไป
ในอีกด้านหนึ่ง
ลินิเกอร์ค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู 3 ฤดูกาล ซึ่งเขาเคยยิงแฮตทริกใส่เรอัล มาดริด และช่วยให้บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ รวมถึงยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่เคยคว้าแชมป์ลา ลีกา เมื่ออายุได้ 28 ปี, เขากลับไปยังอังกฤษเพื่อค้าแข้งกับทอตแน่ม ที่จริง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยอยากได้เขาไปจับคู่กับ มาร์ค ฮิวจ์ส อดีตเพื่อนร่วมทีมเจ้าบุญทุ่มที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เขาเลือกย้ายไปไวท์ ฮาร์ท เลน แทนในฤดูร้อนปี 1989
ด้วยผลงาน 24 ประตูในฤดูกาลแรกของเขากับทีม “ไก่เดือยทอง” ทำให้เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของดิวิชั่น 1 อีกครั้ง ในปีถัดมาเขาก็คว้าแชมป์แรกในลีกบ้านเกิดได้เสียทีเมื่อทอตแน่มเอาชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-1 ในศึกเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ในเกมแห่งความทรงจำที่พอล แกสคอยน์ ไปเสียบใส่แกรี่ ชาร์ลส์ แบบน่าเกลียด ลินิเกอร์ยิงได้สองประตูในรอบรองชนะเลิศที่ชนะอาร์เซน่อล 3-1 แต่ไม่สามารถมีชื่อบนสกอร์บอร์ดได้ในนัดชิงชนะเลิศ ลูกยิงของเขาถูกตีธงล้ำหน้าอีกทั้งยังโดนมาร์ค ครอสส์ลี่ย์ เซฟลูกจุดโทษอีกต่างหาก
ลินิเกอร์ไม่เคยมีโอกาสค้าแข้งในช่วงที่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกเลย โดยอีกหนึ่งฤดูกาลที่เขายิงประตูเป็นกอบเป็นกำคือซีซั่น 1991/92 เมื่อเขายิงได้ถึง 35 ประตูรวมทุกรายการ นั่นคือฤดูกาลสุดท้ายของเขาในอังกฤษก่อนที่จะยุติอาชีพค้าแข้งในญี่ปุ่น
เขาย้ายไปเล่นในเจ-ลีกหลังจากจบเส้นทางการรับใช้ทีมชาติอย่างน่าผิดหวังในศึกยูโร 92 และใช้เวลาสองปีค้าแข้งกับสโมสรนาโกย่า แกรมปัส เอท ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 1994 ด้วยสถิติการค้าแข้งอันยอดเยี่ยมยิงได้ถึง 281 ประตูจากการลงเล่นในระดับสโมสรกว่า 500 นัด
ผลงานกับทีมชาติ
ลินิเกอร์รั้งที่สองของอันดับดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในทีมชาติอังกฤษตามหลังบ็อบบี้ ชาร์ลตัน ด้วยผลงาน 48 ลูกใน 80 นัด น้อยกว่าจอมทัพชุดแชมป์โลกปี 1966 เพียงแค่ลูกเดียว เมื่อพูดถึงความสำเร็จในเรื่องนี้ อดีตแข้งวัย 52 ปีกล่าวว่า “ถ้ามีบางคนบอกผมในช่วงเริ่มอาชีพค้าแข้งว่าผมจะยิงได้น้อยกว่าเจ้าของสถิติเพียงลูกเดียว ผมคงคิดว่าพวกเขาเป็นคนบ้าที่พูดเพ้อเจ้อเป็นแน่”
ลินิเกอร์ลงประเดิมสนามในระดับทีมชาติครั้งแรกในฐานะตัวสำรองในเกมกับสกอตแลนด์เมื่อปี 1984 และลงเล่นนัดสุดท้ายให้ทีมสิงโตคำรามในเกมพบกับสวีเดนปี 1992 เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวออกโดยเกรแฮม เทย์เลอร์ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น
โดยลินิเกอร์ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษใน 4 ทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ทั้งฟุตบอลโลกปี 1986 และ 1990 รวมถึงฟุตบอลยูโรปี 1988 และ 1992
อันนี้ฉบับย่อ ไปอ่านต่อแบบเต็มๆ ได้ครับที่ http://th.evertonfc.com/news/club-connector-gary-lineker