ชั้นที่ ๙ (สูงสุด)
ด้วยเหตุที่บุคคลนั้นมีความเพียรแกล้วกล้า พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ และพระพุทธนิรมิตจำนวนอสงไขย พระภิกษุจำนวนร้อยพัน หมู่เทพยดาจำนวนไม่มีประมาณ ปราสาท ทิพยมณเฑียรสถาน อันประดับด้วยสัปตรัตนะ จะมาปรากฎภาพอยู่เบื้องหน้าบุคคลนั้นพระอมิตาภะพุทธะ จะทรงเปล่งมหารัศมีโอภาส มายังกายของบุคคลนั้น และพระโพธิสัตว์ทั้งปวงจะยื่นพระหัตถ์ออกมารับ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ ก็จะกล่าวสดุดีถึงจิตที่พากเพียรนั้นเมื่อผู้นั้นได้ประสบเช่นนี้ จึงเกิดความปราโมทย์ยินดี เป็นอุเพงคาปิติ จักแลเห็นตนเองนั่งอยู่ในวชิรอาสน์ ลอยเคลื่อนตามพระพุทธเจ้าไป เวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไปอุบัติยังสุขาวดีเมื่ออุบัติยังสุขาวดีแล้ว จักได้พบพระพุทธกายที่มีมงคลลักษณะสมบูรณ์ ได้พบพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่มีรูปลักษณ์สมบูรณ์ จักได้สดับพระธรรมเทศนา เมื่อได้ฟังแล้วจักบรรลุ อนุตปตติก ธรรมกษานติ จากนั้นจักท่องเที่ยวไปกระทำพุทธกิจยังโลกธาตุทั่วทศทิศ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์เหล่านั้น แล้วกลับมาสู่สุขาวดีโลกธาตุ บรรลุธารณีธรรมจำนวนอมิตะร้อยพันประการ
ชั้นที่ ๘
ผู้ที่ไม่เพียงแต่น้อมรับ ยึดมั่นในพระธรรม แต่ยังสามารถกล่าวแสดง จำแนกปรมัตถสัตย์ได้อย่างช่ำชองพิศดาร ในจิตมิตระหนกหวาดหวั่น เชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรมยิ่งนัก มิให้ร้ายโพธิสัตวธรรม โดยอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุบุคคลนี้ เมื่อกาลจักสิ้นชีพ พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ และพระอริยบริษัทจำนวนไม่มีประมาณ จะทรงชมพูนุชปัทมา มายังเบื้องหน้าบุคคลนั้น แล้วกล่าวว่า “ดูก่อนธรรมาบุตร เธอเป็นผู้ดำเนินตามโพธิสัตวจริยา รู้แจ้งแลจำแนกซึ่งปรมัตถสัตย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงมารับเธอ”พระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๐๐๐ องค์ที่พระอมิตาภะพุทธะทรงนิรมิตจักยื่นพระหัตถ์ออกมารับบุคคลนั้นพร้อมกัน ผู้นั้นจักแลเห็นตนเองนั่งอยู่บนแท่นทองชมพูนุช พนมมือ และสรรเสริญพระคุณแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง แล้วในเวลาขณะเดียว ก็ไปอุบัติยังสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุทันที แลสุวรรณชมพูนุชอาสน์นั้นก็จักแปรเปลี่ยนเป็นปุณฑริกมาศดอกมหึมา แล้วค่อยๆ ผลิบานออกอันกายของผู้นั้นจักอร่ามเรืองรองดั่งสีแห่งทองชมพูนุช ใต้บทบาทจะมีสัปตรัตนปทุมมาลย์รองรับอยู่ในเพลานั้น พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงเปล่งพระรัศมีไปยังบุคคลนั้นๆ จึงลืมตาขึ้นด้วยเหตุที่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญมาแล้วแต่กาลก่อน เมื่อได้สดับเสียงแห่งธรรมต่างๆ ที่กล่าวแสดงถึงปรมัตถสัตย์อันคัมภีรภาพแล้ว จึงก้าวลงจากสุวรรณอาสน์ แล้วพนมกรถวายอภิวาท และสรรเสริญต่อพระพุทธองค์ผ่านไป ๗ วัน ก็จักเป็นผู้มั่นคงต่อพระอนุตรสัมโพธิญาณ ไม่เสื่อมถอยอีกต่อไป สมัยนั้นจักจาริกท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อกระทำพุทธกิจ แล้วได้ดำรงอยู่ในสมาธิทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงบำเพ็ญแล้วผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์๑๑ จักได้บรรลุอนุตปตติก ธรรม กษานติ และได้รับพุทธพยากรณ์ ๑๑ จุลกัลป์ นับตั้งแต่อายุมนุษย์เหลือ ๑๐ ปี โดยผ่านไปทุกๆ ๑๐๐ ปี อายุจะเพิ่มขึ้น ๑ ปี เรื่อยไปจนถึง ๘๔,๐๐๐ ปี จากนั้นให้ผ่านไปอีกทุกๆ ร้อยปี ให้ลดอายุลง ๑ ปี ไปจนอายุมนุษย์เหลือ ๑๐ ปีตามเดิม ถึงเรียกว่า “จุลกัลป์” , ๒๐ จุลกัลป์ เป็น ๑ มัชฌิมกัลป์ , ๔มัชฌิมกัลป์เป็น ๑ มหากัลป์
ชั้นที่ ๗
สรรพสัตว์ผู้ศรัทธาเชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรม มิทำลายโพธิสัตวยาน ได้ประกาศพระอนุตรสัมโพธิจิต แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุบุคคลนี้เมื่อคราจะสิ้นอายุขัย พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงสุวรรณปทุมชาติ แล้วนิรมิตพระพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ เพื่อมารับบุคคลนี้ก็อันพระพุทธเนรมิตทั้ง ๕๐๐ นี้ จะยื่นพระกรออกมาพร้อมกัน แลตรัสว่า “ดูก่อนธรรมาบุตร เธอเป็นผู้บริสุทธิ์นิรมล ได้บังเกิดพระอนุตรโพธิจิต เราตถาคตมารับเธอ”เมื่อบุคคลนี้ได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จักยลเห็นตนเองนั่งอยู่ในบัวทองคำ เมื่อนั่งลงแล้วบัวนั้นจักหุบ แล้วลอยตามพระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ นั้นไปจนถึงสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุเป็นเวลา ๑ ทิวาราตรี ปทุมชาตินั้นจักบานออก ใน ๗ วารจักได้พบพระพุทธองค์ แต่ทว่าแม้นจักได้เห็นมงคลลักษณะแห่งพระพุทธกายนั้นแล้ว ในจิตก็ยังมิรู้แจ้ง ผ่านไปอีก ๒๑ วาร จึงได้รู้แจ้งพระสัทธรรมจักได้สดับซึ่งสรรพเสียงทั้งปวง ที่ล้วนแต่กล่าวเป็นสัทธรรม แล้วเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อถวายสักการะพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังเบื้องพระพักตร์นั้นแล จักได้สดับพระพุทธเทศนาจากพระพุทธโลกนาถเหล่านั้นผ่านไปอีก ๓ จุลกัลป์ จักได้สำเร็จ ศตธรรมทวาร แล้วบรรลุปฐมภูมิแห่งพระโพธิสัตว์
ชั้นที่ ๖
สรรพสัตว์ผู้สมาทานเบญจศีล อัฏศีล และศีลทั้งปวง มิกระทำอนันตริยกรรม ๕ และความผิดชั่วทั้งปวง แล้วอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุเมื่อเพลาจักสิ้นใจ พระอมิตาภะพุทธะ พร้อมด้วยภิกษุบริษัทผู้ติดตาม จักทรงเปล่งสุวรรณประภาสเรืองรองสว่างไสว มายังบุคคลนั้น แล้วประทานพระธรรมเทศนาเรื่องทุกข์ ศูนยตา อนิจจตา อนัตตาสรรเสริญเนกขัมมะ และวิมุตติคุณ อันหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงก็เมื่อบุคคลนั้น ได้สดับแล้ว ในจิตย่อมเกษมยินดีมหาศาล ยลเห็นกายแห่งตนนั่งอยู่บนปัทมอาสน์คุกเข่า แล้วพนมกร ถวายอภิวาทพระพุทธองค์อยู่เมื่อเงยหน้าขึ้น จักพบว่าตนเองได้มาอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้ว แล้วแลปัทมชาตินั้นจักค่อยๆผลิบานออกทีละน้อย ก็เมื่อขณะที่กำลังผลิออกนั้น จะได้สดับเสียงที่สรรเสริญจตุราริยสัจ ในบัดดลก็จักได้บรรลุอรหันตผลในทันที สมบูรณ์ซึ่งวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แลสมบูรณ์ในวิโมกษ์ ๘
ชั้นที่ ๕
สรรพสัตว์ผู้สมาทานอุโบสถศีล แม้เป็นเพลา ๑ ทิวากับทั้ง ๑ ราตรี หรือสมาทานสามเณรศีล สมบูรณศีล เป็นเพลา ๑ ทิวาราตรี สำรวมระวังซึ่งอิริยาบท แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อขออุทิศไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตร อันบุคคลผู้มีความหอมด้วยศีลาจารนี้ เมื่อคราที่จะกระทำกาละจะได้พบกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยบริษัทบริวารทั้งปวง ที่ทรงเปล่งสุวรรณประภาสสว่างไสว ทรงสัปตรัตนปทุมมาลย์ ประทับมายังเบื้องหน้าบุคคลนั้นผู้นั้นจะได้ยินเสียงก้องมาในนภากาศ เฉพาะตนคนเดียวว่า “ดูก่อนกุลบุตร เธอผู้เป็นกุศลบุคคลผู้บำเพ็ญตามพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายในตรีกาล เราตถาคตมารับเธอ” บุคคลนั้นจักพิศเห็นตนเองนั่งอยู่ในปทุมชาติ บัวนั้นจักหุบแล้วลอยไปอุบัติยังสัปตรัตนปทุมในแดนสุขาวดี ผ่านไป ๗ วาร ปทุมชาตินั้นจักบานออก แล้วลืมตาขึ้น ประนมกร กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ ได้สดับพระธรรมเทศนา แล้วได้บรรลุโสดาปัตติผลในเบื้องต้นผ่านกาลไปอีกครึ่งกัลป์ จักได้บรรลุซึ่งความเป็นพระอรหันต์แล
ชั้นที่ ๔
กุลบุตร กุลธิดาผู้มีความกตัญญู เลี้ยงดูบุพการี ดำเนินอยู่ในโลกด้วยความเมตตากรุณา บุคคลเหล่านี้ เมื่อคราจะสิ้นชีพ จะได้พบกัลยาณมิตร มากล่าวถึงเรื่องราวของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ความสุขของสุขาวดีโลกธาตุ และพระมหาปณิธาน ๔๘ ประการของภิกษุธรรมกร๑๔เมื่อได้สดับแล้ว จึงค่อยๆสิ้นใจลง อุปมาช่วงเวลาที่ผู้มีกำลัง เหยียดแขนจนสุดแล้วดึงกลับ บุคคลนั้นก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้วผ่านไป ๗ วารจักได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ แล้วได้สดับพระธรรมเทศนา จิตเกิดความยินดีปราโมทย์ จักได้บรรลุโสดาปัตติผลในขณะนั้น ผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์ จึงได้สำเร็จซึ่งความเป็นพระอรหันต์
ชั้นที่ ๓
สรรพสัตว์ที่ทำความชั่วทั้งปวง แม้นจักมิได้ทำลายพระธรรมให้เสื่อมเสีย แต่กระทำอกุศลกรรมนานา ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะกาลจะสิ้นชีพนั้น หากได้ประสบกัลยาณมิตร มาแสดงหัวข้อหรือนามของพระธรรมบทต่างๆ ให้ฟังเมื่อได้ยลยินแล้ว จักกำจัดบาปกรรมที่หนักหนา จำนวนพันกัลป์ให้สิ้นไปหากผู้มีปัญญานั้นได้สอนให้ พนมมือเพื่อภาวนาว่า “นโม อมิตาภายะ พุทธายะ” แล้วไซร้ วิบากกรรมแห่งสังสารวัฏจำนวน ๕๐ โกฎิกัลป์ก็จักดับสิ้นในเวลานั้น พระอมิตาภะพุทธะ จะทรงนิรมิตพระพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ มายังเบื้องหน้าของบุคคลนั้น แล้วตรัสขึ้นว่า “ดูก่อนกุลบุตร ด้วยเหตุที่เธอสรรเสริญพระพุทธนาม วิบากกรรมทั้งปวงจึงมลายสูญไป เราจึงมารับเธอ”เมื่อตรัสเช่นนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นจักทัศนาเห็นพุทธรัศมีจากพระพุทธนิรมิตนั้น เปล่งแสงสว่างไสวไปทั่วห้อง เมื่อได้แลเห็นก็เกิดปิติยินดีเป็นที่สุด จึงสิ้นใจลง แล้วโดยสารรัตนปัทมาเคลื่อนลอยตามพระพุทธนิรมิตไปอุบัติยังรัตนะโบกขรณีผ่านไป ๔๙ วัน ปัทมชาตินั้นจักบานออก แลเมื่อบานแล้ว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้มหากรุณาและพระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ จะเปล่งมหารัศมีไปยังเบื้องหน้าบุคคลนั้น ได้ประทานพระธรรมเทศนาอันคัมภีรภาพนานัปการ เมื่อบุคคลนั้นได้สดับ ก็เกิดศรัทธายิ่ง แล้วบังเกิดโพธิจิตผ่านไป ๑๐ จุลกัลป์ ก็จักสมบูรณ์ในศตธรรมประภาสทวาร แล้วเข้าสู่โพธิสัตวปฐมภูมิ
ชั้นที่ ๒
สรรพสัตว์ผู้ละเมิดเบญจศีล อัฏศีล และสมบูรณศีล เป็นโมหบุรุษ ลักขโมยของสงฆ์ แสดงธรรมด้วยความไม่บริสุทธิ์ ปราศจากหิริและโอตตัปปะ มากด้วยความชั่วสารพัน กระทำบาปทั้งปวง ด้วยวิบากกรรมนี้จะทำให้ตกสู่นรกภูมิก็เมื่อสมัยแห่งกาลกิริยา จะมีเพลิงนรกปรากฏให้เห็น หากได้พบกัลยาณมิตร ผู้มีมหาเมตตากรุณากล่าวสรรเสริญทศพละแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า และสรรเสริญสดุดีพระพุทธคุณอีกนานัปการ ทั้งสรรเสริญอิทธิพละ คุณแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และคุณแห่งวิมุตติอีกอเนกประการเมื่อได้รู้เห็นตามนั้น บุคคลนั้นจักมีวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ที่สูญสิ้นไป นรกอัคคีกลายเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น พัดพาเอาทิพยบุปผามา ก็อันบุปผชาติเหล่านั้นมีพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายใน ซึ่งล้วนเสด็จมารับบุคคลในชั่วขณะเดียว ก็ได้ไปอุบัติที่ปทุมชาติในสระโบกขรณีที่ประดับตกแต่งด้วยรัตนอัญมณี ๗ประการผ่านกาลเวลาไป ๖ กัลป์ ดอกบัวนั้นจึงบานออก พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ จักปลอบโยนบุคคลนั้น แล้วแสดงพระโพธิสัตวมหายานธรรมอันคัมภีรภาพ ด้วยพรหมโฆษะเมื่อบุคคนั้นได้สดับธรรมแล้ว ในเวลานั้นจึงเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิต
ชั้นที่ ๑ (ต่ำสุด)
ผู้กระทำกรรมชั่ว อนันตริยกรรม ๕ อกุศลกรรมบท ๑๐ มิกระทำกุศลความดีทั้งปวง เป็นโมหบุรุษด้วยอกุศลวิบาก ยังให้ตกสู่อบายภูมิรับโทษทรมานหลายกัลป์มิรู้จบสิ้นหากโมหบุรุษนี้ เมื่อเวลาจวนสิ้นใจ ได้พบกัลยาณมิตรมาปลอบโยน ให้กำลังใจ แล้วแสดงธรรมสอนให้ระลึกนึกถึงพระพุทธนาม แต่ด้วยวิบากกรรมของเขา ยังให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมิอาจระลึกถึงได้กัลยาณมิตรนั้นจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ ก็จงภาวนาพระนามของพระอมิตาภะพุทธะเถิด” โมหบุรุษนั้นจึงตั้งใจภาวนาต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง เพราะด้วยเหตุที่ได้ภาวนาพระพุทธนามนี้ โดยขณะที่ภาวนาอยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไปก็เมื่อคราที่จักสิ้นใจนั้น จักได้แลเห็นสุวรรณปุณฑริกดอกมหึมา ดุจดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นมงคลนิมิตยังเบื้องหน้า และในขณะเดียวก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรทันทีผู้นั้นจะต้องอยู่ในดอกปุณฑริก ๑๒ มหากัลป์ เมื่อปุณฑริกมาศนั้นผลิบานออก จะได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ นี้จะประทานพระธรรมเทศนาด้วยสำเนียงแห่งมหากรุณา เรื่องธรรมสัตยลักษณ์ทั้งปวง กล่าวธรรมที่ยังให้กรรมสิ้นไป ก็เมื่อได้สดับแล้วจึงบังเกิดความปิติปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ในเวลานั้นจึงได้บังเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิตอันประเสริฐ
ปุณฑริก ๙ ระดับชั้นแห่งสุขาวดี
ด้วยเหตุที่บุคคลนั้นมีความเพียรแกล้วกล้า พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ และพระพุทธนิรมิตจำนวนอสงไขย พระภิกษุจำนวนร้อยพัน หมู่เทพยดาจำนวนไม่มีประมาณ ปราสาท ทิพยมณเฑียรสถาน อันประดับด้วยสัปตรัตนะ จะมาปรากฎภาพอยู่เบื้องหน้าบุคคลนั้นพระอมิตาภะพุทธะ จะทรงเปล่งมหารัศมีโอภาส มายังกายของบุคคลนั้น และพระโพธิสัตว์ทั้งปวงจะยื่นพระหัตถ์ออกมารับ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ ก็จะกล่าวสดุดีถึงจิตที่พากเพียรนั้นเมื่อผู้นั้นได้ประสบเช่นนี้ จึงเกิดความปราโมทย์ยินดี เป็นอุเพงคาปิติ จักแลเห็นตนเองนั่งอยู่ในวชิรอาสน์ ลอยเคลื่อนตามพระพุทธเจ้าไป เวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็ไปอุบัติยังสุขาวดีเมื่ออุบัติยังสุขาวดีแล้ว จักได้พบพระพุทธกายที่มีมงคลลักษณะสมบูรณ์ ได้พบพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่มีรูปลักษณ์สมบูรณ์ จักได้สดับพระธรรมเทศนา เมื่อได้ฟังแล้วจักบรรลุ อนุตปตติก ธรรมกษานติ จากนั้นจักท่องเที่ยวไปกระทำพุทธกิจยังโลกธาตุทั่วทศทิศ ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์เหล่านั้น แล้วกลับมาสู่สุขาวดีโลกธาตุ บรรลุธารณีธรรมจำนวนอมิตะร้อยพันประการ
ชั้นที่ ๘
ผู้ที่ไม่เพียงแต่น้อมรับ ยึดมั่นในพระธรรม แต่ยังสามารถกล่าวแสดง จำแนกปรมัตถสัตย์ได้อย่างช่ำชองพิศดาร ในจิตมิตระหนกหวาดหวั่น เชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรมยิ่งนัก มิให้ร้ายโพธิสัตวธรรม โดยอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุบุคคลนี้ เมื่อกาลจักสิ้นชีพ พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ และพระอริยบริษัทจำนวนไม่มีประมาณ จะทรงชมพูนุชปัทมา มายังเบื้องหน้าบุคคลนั้น แล้วกล่าวว่า “ดูก่อนธรรมาบุตร เธอเป็นผู้ดำเนินตามโพธิสัตวจริยา รู้แจ้งแลจำแนกซึ่งปรมัตถสัตย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงมารับเธอ”พระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๐๐๐ องค์ที่พระอมิตาภะพุทธะทรงนิรมิตจักยื่นพระหัตถ์ออกมารับบุคคลนั้นพร้อมกัน ผู้นั้นจักแลเห็นตนเองนั่งอยู่บนแท่นทองชมพูนุช พนมมือ และสรรเสริญพระคุณแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง แล้วในเวลาขณะเดียว ก็ไปอุบัติยังสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุทันที แลสุวรรณชมพูนุชอาสน์นั้นก็จักแปรเปลี่ยนเป็นปุณฑริกมาศดอกมหึมา แล้วค่อยๆ ผลิบานออกอันกายของผู้นั้นจักอร่ามเรืองรองดั่งสีแห่งทองชมพูนุช ใต้บทบาทจะมีสัปตรัตนปทุมมาลย์รองรับอยู่ในเพลานั้น พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงเปล่งพระรัศมีไปยังบุคคลนั้นๆ จึงลืมตาขึ้นด้วยเหตุที่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญมาแล้วแต่กาลก่อน เมื่อได้สดับเสียงแห่งธรรมต่างๆ ที่กล่าวแสดงถึงปรมัตถสัตย์อันคัมภีรภาพแล้ว จึงก้าวลงจากสุวรรณอาสน์ แล้วพนมกรถวายอภิวาท และสรรเสริญต่อพระพุทธองค์ผ่านไป ๗ วัน ก็จักเป็นผู้มั่นคงต่อพระอนุตรสัมโพธิญาณ ไม่เสื่อมถอยอีกต่อไป สมัยนั้นจักจาริกท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อกระทำพุทธกิจ แล้วได้ดำรงอยู่ในสมาธิทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงบำเพ็ญแล้วผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์๑๑ จักได้บรรลุอนุตปตติก ธรรม กษานติ และได้รับพุทธพยากรณ์ ๑๑ จุลกัลป์ นับตั้งแต่อายุมนุษย์เหลือ ๑๐ ปี โดยผ่านไปทุกๆ ๑๐๐ ปี อายุจะเพิ่มขึ้น ๑ ปี เรื่อยไปจนถึง ๘๔,๐๐๐ ปี จากนั้นให้ผ่านไปอีกทุกๆ ร้อยปี ให้ลดอายุลง ๑ ปี ไปจนอายุมนุษย์เหลือ ๑๐ ปีตามเดิม ถึงเรียกว่า “จุลกัลป์” , ๒๐ จุลกัลป์ เป็น ๑ มัชฌิมกัลป์ , ๔มัชฌิมกัลป์เป็น ๑ มหากัลป์
ชั้นที่ ๗
สรรพสัตว์ผู้ศรัทธาเชื่อมั่นในเหตุผลแห่งกรรม มิทำลายโพธิสัตวยาน ได้ประกาศพระอนุตรสัมโพธิจิต แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุบุคคลนี้เมื่อคราจะสิ้นอายุขัย พระอมิตาภะพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งปวง จะทรงสุวรรณปทุมชาติ แล้วนิรมิตพระพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ เพื่อมารับบุคคลนี้ก็อันพระพุทธเนรมิตทั้ง ๕๐๐ นี้ จะยื่นพระกรออกมาพร้อมกัน แลตรัสว่า “ดูก่อนธรรมาบุตร เธอเป็นผู้บริสุทธิ์นิรมล ได้บังเกิดพระอนุตรโพธิจิต เราตถาคตมารับเธอ”เมื่อบุคคลนี้ได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว จักยลเห็นตนเองนั่งอยู่ในบัวทองคำ เมื่อนั่งลงแล้วบัวนั้นจักหุบ แล้วลอยตามพระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ นั้นไปจนถึงสัปตรัตนโบกขรณี ในสุขาวดีโลกธาตุเป็นเวลา ๑ ทิวาราตรี ปทุมชาตินั้นจักบานออก ใน ๗ วารจักได้พบพระพุทธองค์ แต่ทว่าแม้นจักได้เห็นมงคลลักษณะแห่งพระพุทธกายนั้นแล้ว ในจิตก็ยังมิรู้แจ้ง ผ่านไปอีก ๒๑ วาร จึงได้รู้แจ้งพระสัทธรรมจักได้สดับซึ่งสรรพเสียงทั้งปวง ที่ล้วนแต่กล่าวเป็นสัทธรรม แล้วเที่ยวไปในทิศทั้งสิบ เพื่อถวายสักการะพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังเบื้องพระพักตร์นั้นแล จักได้สดับพระพุทธเทศนาจากพระพุทธโลกนาถเหล่านั้นผ่านไปอีก ๓ จุลกัลป์ จักได้สำเร็จ ศตธรรมทวาร แล้วบรรลุปฐมภูมิแห่งพระโพธิสัตว์
ชั้นที่ ๖
สรรพสัตว์ผู้สมาทานเบญจศีล อัฏศีล และศีลทั้งปวง มิกระทำอนันตริยกรรม ๕ และความผิดชั่วทั้งปวง แล้วอุทิศกุศลนี้ เพื่อขอไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุเมื่อเพลาจักสิ้นใจ พระอมิตาภะพุทธะ พร้อมด้วยภิกษุบริษัทผู้ติดตาม จักทรงเปล่งสุวรรณประภาสเรืองรองสว่างไสว มายังบุคคลนั้น แล้วประทานพระธรรมเทศนาเรื่องทุกข์ ศูนยตา อนิจจตา อนัตตาสรรเสริญเนกขัมมะ และวิมุตติคุณ อันหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงก็เมื่อบุคคลนั้น ได้สดับแล้ว ในจิตย่อมเกษมยินดีมหาศาล ยลเห็นกายแห่งตนนั่งอยู่บนปัทมอาสน์คุกเข่า แล้วพนมกร ถวายอภิวาทพระพุทธองค์อยู่เมื่อเงยหน้าขึ้น จักพบว่าตนเองได้มาอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้ว แล้วแลปัทมชาตินั้นจักค่อยๆผลิบานออกทีละน้อย ก็เมื่อขณะที่กำลังผลิออกนั้น จะได้สดับเสียงที่สรรเสริญจตุราริยสัจ ในบัดดลก็จักได้บรรลุอรหันตผลในทันที สมบูรณ์ซึ่งวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แลสมบูรณ์ในวิโมกษ์ ๘
ชั้นที่ ๕
สรรพสัตว์ผู้สมาทานอุโบสถศีล แม้เป็นเพลา ๑ ทิวากับทั้ง ๑ ราตรี หรือสมาทานสามเณรศีล สมบูรณศีล เป็นเพลา ๑ ทิวาราตรี สำรวมระวังซึ่งอิริยาบท แล้วอุทิศกุศลนี้เพื่อขออุทิศไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตร อันบุคคลผู้มีความหอมด้วยศีลาจารนี้ เมื่อคราที่จะกระทำกาละจะได้พบกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยบริษัทบริวารทั้งปวง ที่ทรงเปล่งสุวรรณประภาสสว่างไสว ทรงสัปตรัตนปทุมมาลย์ ประทับมายังเบื้องหน้าบุคคลนั้นผู้นั้นจะได้ยินเสียงก้องมาในนภากาศ เฉพาะตนคนเดียวว่า “ดูก่อนกุลบุตร เธอผู้เป็นกุศลบุคคลผู้บำเพ็ญตามพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายในตรีกาล เราตถาคตมารับเธอ” บุคคลนั้นจักพิศเห็นตนเองนั่งอยู่ในปทุมชาติ บัวนั้นจักหุบแล้วลอยไปอุบัติยังสัปตรัตนปทุมในแดนสุขาวดี ผ่านไป ๗ วาร ปทุมชาตินั้นจักบานออก แล้วลืมตาขึ้น ประนมกร กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ ได้สดับพระธรรมเทศนา แล้วได้บรรลุโสดาปัตติผลในเบื้องต้นผ่านกาลไปอีกครึ่งกัลป์ จักได้บรรลุซึ่งความเป็นพระอรหันต์แล
ชั้นที่ ๔
กุลบุตร กุลธิดาผู้มีความกตัญญู เลี้ยงดูบุพการี ดำเนินอยู่ในโลกด้วยความเมตตากรุณา บุคคลเหล่านี้ เมื่อคราจะสิ้นชีพ จะได้พบกัลยาณมิตร มากล่าวถึงเรื่องราวของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ความสุขของสุขาวดีโลกธาตุ และพระมหาปณิธาน ๔๘ ประการของภิกษุธรรมกร๑๔เมื่อได้สดับแล้ว จึงค่อยๆสิ้นใจลง อุปมาช่วงเวลาที่ผู้มีกำลัง เหยียดแขนจนสุดแล้วดึงกลับ บุคคลนั้นก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแล้วผ่านไป ๗ วารจักได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ แล้วได้สดับพระธรรมเทศนา จิตเกิดความยินดีปราโมทย์ จักได้บรรลุโสดาปัตติผลในขณะนั้น ผ่านไปอีก ๑ จุลกัลป์ จึงได้สำเร็จซึ่งความเป็นพระอรหันต์
ชั้นที่ ๓
สรรพสัตว์ที่ทำความชั่วทั้งปวง แม้นจักมิได้ทำลายพระธรรมให้เสื่อมเสีย แต่กระทำอกุศลกรรมนานา ไร้ซึ่งหิริโอตตัปปะกาลจะสิ้นชีพนั้น หากได้ประสบกัลยาณมิตร มาแสดงหัวข้อหรือนามของพระธรรมบทต่างๆ ให้ฟังเมื่อได้ยลยินแล้ว จักกำจัดบาปกรรมที่หนักหนา จำนวนพันกัลป์ให้สิ้นไปหากผู้มีปัญญานั้นได้สอนให้ พนมมือเพื่อภาวนาว่า “นโม อมิตาภายะ พุทธายะ” แล้วไซร้ วิบากกรรมแห่งสังสารวัฏจำนวน ๕๐ โกฎิกัลป์ก็จักดับสิ้นในเวลานั้น พระอมิตาภะพุทธะ จะทรงนิรมิตพระพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ มายังเบื้องหน้าของบุคคลนั้น แล้วตรัสขึ้นว่า “ดูก่อนกุลบุตร ด้วยเหตุที่เธอสรรเสริญพระพุทธนาม วิบากกรรมทั้งปวงจึงมลายสูญไป เราจึงมารับเธอ”เมื่อตรัสเช่นนี้แล้ว บุคคลผู้นั้นจักทัศนาเห็นพุทธรัศมีจากพระพุทธนิรมิตนั้น เปล่งแสงสว่างไสวไปทั่วห้อง เมื่อได้แลเห็นก็เกิดปิติยินดีเป็นที่สุด จึงสิ้นใจลง แล้วโดยสารรัตนปัทมาเคลื่อนลอยตามพระพุทธนิรมิตไปอุบัติยังรัตนะโบกขรณีผ่านไป ๔๙ วัน ปัทมชาตินั้นจักบานออก แลเมื่อบานแล้ว พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้มหากรุณาและพระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ จะเปล่งมหารัศมีไปยังเบื้องหน้าบุคคลนั้น ได้ประทานพระธรรมเทศนาอันคัมภีรภาพนานัปการ เมื่อบุคคลนั้นได้สดับ ก็เกิดศรัทธายิ่ง แล้วบังเกิดโพธิจิตผ่านไป ๑๐ จุลกัลป์ ก็จักสมบูรณ์ในศตธรรมประภาสทวาร แล้วเข้าสู่โพธิสัตวปฐมภูมิ
ชั้นที่ ๒
สรรพสัตว์ผู้ละเมิดเบญจศีล อัฏศีล และสมบูรณศีล เป็นโมหบุรุษ ลักขโมยของสงฆ์ แสดงธรรมด้วยความไม่บริสุทธิ์ ปราศจากหิริและโอตตัปปะ มากด้วยความชั่วสารพัน กระทำบาปทั้งปวง ด้วยวิบากกรรมนี้จะทำให้ตกสู่นรกภูมิก็เมื่อสมัยแห่งกาลกิริยา จะมีเพลิงนรกปรากฏให้เห็น หากได้พบกัลยาณมิตร ผู้มีมหาเมตตากรุณากล่าวสรรเสริญทศพละแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า และสรรเสริญสดุดีพระพุทธคุณอีกนานัปการ ทั้งสรรเสริญอิทธิพละ คุณแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และคุณแห่งวิมุตติอีกอเนกประการเมื่อได้รู้เห็นตามนั้น บุคคลนั้นจักมีวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ที่สูญสิ้นไป นรกอัคคีกลายเปลี่ยนเป็นสายลมเย็น พัดพาเอาทิพยบุปผามา ก็อันบุปผชาติเหล่านั้นมีพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายใน ซึ่งล้วนเสด็จมารับบุคคลในชั่วขณะเดียว ก็ได้ไปอุบัติที่ปทุมชาติในสระโบกขรณีที่ประดับตกแต่งด้วยรัตนอัญมณี ๗ประการผ่านกาลเวลาไป ๖ กัลป์ ดอกบัวนั้นจึงบานออก พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ จักปลอบโยนบุคคลนั้น แล้วแสดงพระโพธิสัตวมหายานธรรมอันคัมภีรภาพ ด้วยพรหมโฆษะเมื่อบุคคนั้นได้สดับธรรมแล้ว ในเวลานั้นจึงเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิต
ชั้นที่ ๑ (ต่ำสุด)
ผู้กระทำกรรมชั่ว อนันตริยกรรม ๕ อกุศลกรรมบท ๑๐ มิกระทำกุศลความดีทั้งปวง เป็นโมหบุรุษด้วยอกุศลวิบาก ยังให้ตกสู่อบายภูมิรับโทษทรมานหลายกัลป์มิรู้จบสิ้นหากโมหบุรุษนี้ เมื่อเวลาจวนสิ้นใจ ได้พบกัลยาณมิตรมาปลอบโยน ให้กำลังใจ แล้วแสดงธรรมสอนให้ระลึกนึกถึงพระพุทธนาม แต่ด้วยวิบากกรรมของเขา ยังให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมิอาจระลึกถึงได้กัลยาณมิตรนั้นจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ ก็จงภาวนาพระนามของพระอมิตาภะพุทธะเถิด” โมหบุรุษนั้นจึงตั้งใจภาวนาต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง เพราะด้วยเหตุที่ได้ภาวนาพระพุทธนามนี้ โดยขณะที่ภาวนาอยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไปก็เมื่อคราที่จักสิ้นใจนั้น จักได้แลเห็นสุวรรณปุณฑริกดอกมหึมา ดุจดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นมงคลนิมิตยังเบื้องหน้า และในขณะเดียวก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรทันทีผู้นั้นจะต้องอยู่ในดอกปุณฑริก ๑๒ มหากัลป์ เมื่อปุณฑริกมาศนั้นผลิบานออก จะได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ นี้จะประทานพระธรรมเทศนาด้วยสำเนียงแห่งมหากรุณา เรื่องธรรมสัตยลักษณ์ทั้งปวง กล่าวธรรมที่ยังให้กรรมสิ้นไป ก็เมื่อได้สดับแล้วจึงบังเกิดความปิติปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ในเวลานั้นจึงได้บังเกิดพระอนุตรสัมโพธิจิตอันประเสริฐ