(ภาพจาก บางกอกรายสัปดาห์ ฉ.2584 หน้า 62)
มื่อสายลมอันเยือกเย็นของเดือนพฤศจิกายนเวียนกลับมาพร้อมกับสายน้ำที่เอ่อล้นริมตลิ่ง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงความสนุกสนานในเทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบสานกันมาแต่ครั้งโบราณกาล
แต่สำหรับเหล่าทหารเรือโดยเฉพาะลูกประดู่แห่งหน่วย นปข. หรือหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง
กระแสลมและสายน้ำแห่งเดือนพฤศจิกายนไม่ต่างอะไรกับสัญญาลักษณ์และเครื่องเตือนใจให้พวกเขารำลึกนึกถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างห้าวหาญของลูกนาวีไทยเมื่อครั้งอดีต ซึ่งยังคงเป็นที่กล่าวขานและรู้จักกันในนาม "วีรกรรมดอนแตง'
ย้อนหลังไปเมื่อ 38 ปีที่แล้ว วันที่ 17 พฤศจิกายน 2518 ไกลออกไปจากกองบัญชาการกองทัพเรือราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร หลายร้อยกิโลเมตร
ที่สถานีเรือตรวจการณ์ตามลำแม่น้ำโขง อำเภอศรีเชียงใหม่ เรือเอกเทิดศักดิ์ ซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมู่เรือ นปข. จังหวัดนองคาย ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า
จะมีการลักลอบขนอาวุธและยุทธปัจจัยข้ามมาจากฝั่งลาวบริเวณอำเภอถ้ำบ่อ จังหวัดหนองคาย ในเขตบ้านกองนาง เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งในขณะนั้นพื้นที่หลายแห่งในเขตภาคอีสานยังเป็น "พื้นที่สีแดง' ที่ถูกคุกคามจากกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ภารกิจหนึ่งของหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขงกองทัพเรือ จึงเป็นการสกัดกั้นขัดขวางมิให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในเขตไทยได้อย่างที่ต้องการ
ครั้นถึงเวลาเก้าโมงเช้า เรือตรวจการณ์ลำน้ำหมายเลข 123 หรือเรือ ล.123 ซึ่งมีเรือตรีโชติ แทนศิริ ทำหน้าที่ควบคุมเรือ พันจ่าตรีปรัศน์ พงษ์สุวรรณ ทำหน้าที่พันจ่าประจำเรือและเป็นผู้ถือท้าย จ่าตรีบัญญัติ มากุล ทำหน้าที่จ่าปืน และมีจ่าพรรคกลินอีก 1 นาย ทำหน้าที่เป็นช่างกลประจำเรือ
เรือตรวจการณ์ลำน้ำ หมายเลข 123 หรือเรือ ล-123 ซึ่งมีความกว้าง 11 ฟุต ยาว 31 ฟุต กินน้ำลึก 2 ฟุต ระวางขับน้ำเต็มที่ 7.5 ตัน ได้แล่นสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเขตไทยโดยหันกราบขวาเข้าหาฝั่งลาว
(ภาพจาก บางกอกรายสัปดาห์ ฉ.2584 หน้า 62)
จนกระทั่งในเวลา 1253 ขณะที่เรือตรวจการณ์ ฯ 123 แล่นไปถึง "ดอนแตง'
กำลังของฝั่งตรงข้ามซึ่งปักหลักอยู่บนฝั่งลาวได้ระดมยิงข้ามแม่น้ำเข้าใส่เรือ ล-123 โดยเป็นการระดมยิงด้วยอาวุธหนักจากฐานที่ตั้งยิง 5 จุด
เรือ ล-123 จึงรีบเบนเข็มและเร่งความเร็วแล่นหลบวิถีกระสุนมุ่งลงสู่ทิศใต้พร้อมกับวิทยุขอความช่วยเหลือ แจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินไปยังสถานีเรือ อำเภอศรีเชียงใหม่
ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ เรือเอกเทิดศักดิ์ ผู้บังคับหมู่เรือจึงสั่งให้เรือ ล-128 เดินทางออกจากสถานีไปยังจุดปะทะ เพื่อให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123 อย่างเร่งด่วน
ส่วนเรือ ล-123 เมื่อทราบว่ากำลังจะมีฝ่ายเดียวกันเข้ามาสมทบ จึงเลี้ยวกลับลำแล่นย้อนขึ้นไปทางด้านเหนือเพื่อทำการต่อสู้กับข้าศึก
ครั้นถึงเวลาบ่ายโมง 15 นาที เรือ ล-123 ผู้ควบคุมมองเห็นเรือ ล-128 แล่นออกมาทางร่องน้ำดอนแตงกับฝั่งไทย เรือ ล-123 จึงแล่นเข้าสมทบเพื่อให้ฝ่ายเรามีอำนาจการยิงเพิ่มขึ้น
จังหวะนี้เองที่เรือ ล-123 ถูกข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก กระสุนนัดหนึ่งพุ่งเข้าที่กลางแสกหน้าของพันจ่าตรีปรัศน์ซึ่งเป็นผู้ถือพังงาเรือ ทำให้เรือ ล-123 เสียการควบคุมและพุ่งหัวเข้าเกยตื้นอยู่ทางด้านใต้ของดอนแตงในลักษณะเกยหัวขึ้น
เมื่อสถานการณ์บานปลายออกไป ผู้ควบคุมเรือ ล-128 จึงได้วิทยุรายงานไปยังสถานีเรือและแจ้งให้ทราบว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123 ในเบื้องต้นที่จะสามารถกระทำได้
(ภาพจาก บางกอกรายสัปดาห์ ฉ.2584 หน้า 63)
แต่ปฏิบัติการของเรือ ล-128 กลับถูกขัดขวางจากข้าศึกและสถานการณ์ของลูกนาวีไทยก็เหมือนจะคับขันอันตรายมากขึ้น เมื่อปรากฏรถถังของฝ่ายลาวจำนวน 4 คัน แล่นเข้ามาประชิดชายฝั่งหันป้อมปืนออกสู่แม่น้ำเล็งมายังฝั่งไทย
ขณะเดียวกันเรือตรวจการณ์ตามลำน้ำของฝ่ายลาวอีก 3 ลำ ได้แล่นในรูปขบวนเรียงตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณที่เป็นจุดปะทะ โดยมีระยะห่างระหว่างลำ 500 เมตร
เรือตรวจการณ์ของฝ่ายลาวแล่นขนานกับชายฝั่งของตน โดยหันข้างให้กับเรือ ล-123 จากนั้นอาวุธจากเรือของฝ่ายลาว รวมทั้งปืนรถถังตลอดจนกำลังทหารราบที่อยู่บนชายฝั่งได้ระดมยิงเข้าใส่เรือตรวจการณ์ตามลำน้ำของฝ่ายไทยทั้งสองลำอย่างถี่ยิบ
แม้จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ลูกนาวีไทยบนเรือ ล-123 และ ล-128 ก็ยิงระดมต่อสู้กับข้าศึกอย่างสุดความสามารถ ขณะที่ผู้ควบคุมเรือแจ้งสถานการณ์คับขันไปยังหน่วยเหนือ โดยระบุว่าเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบและเรือทั้งสองลำยังไม่สามารถถอนตัวออกไปได้
ครั้นถึงเวลาบ่ายโมงยี่สิบนาที ทหารนาวิกโยธินจากหน่วยเฉพาะกิจได้เคลื่อนกำลังเข้าประจำแนวบนฝั่งไทยและระดมยิงคุ้มกันให้แก่เรือทั้งสองลำ โดยมีเรือเอกประสาน จันทร์รัศมี นายทหารของหมู่เรือ นปข. ทำหน้าที่นายทหารติดต่อระหว่างกำลังบนฝั่งกับเรือ ล-123 และ ล-128
สิบนาทีต่อมา เรือ ล-125 ออกเดินทางจากสถานีเรืออำเภอศรีเชียงใหม่เข้าสมทบกับเรือ ล-123 และ เรือ ล-128 โดยผู้ควบคุมเรือยอมเสี่ยงอันตรายแล่นฝ่ากระสุนเข้ามาทางร่องน้ำด้านในระหว่างดอนแตงกับฝั่งไทย
ตลอดเวลานั้น เรือ ล-123 ซึ่งเกยตื้นอยู่พยายามที่จะแล่นถอยท้ายออกมา แต่ก็ยังไม่สำเร็จและยังคงถูกข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก
เรือ ล-123 พยายามยิงต่อสู้จนกระทั่งกระสุนของปืนทุกกระบอกที่อยู่บนเรือหมดลง
ในที่สุดเมื่อถูกฝ่ายลาวระดมยิงหนักหน่วงมากขึ้นและการอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งจะทำให้เกิดอันตรายและฝ่ายเราสูญเสียมากขึ้น เรือ ล-128 และเรือ ล-125 จึงตัดสินใจถอนตัวออกมาจากยุทธบริเวณ
(ภาพจาก บางกอกรายสัปดาห์ ฉ.2584 หน้า 63)
ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบห้านาที ทหารนาวิกโยธินซึ่งวางกำลังสนับสนุนอยู่บนฝั่งไทยได้ตัดสินใจเคลื่อนกำลังข้ามไปยังดอนแตง เพื่อให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123
แม้ในเบื้องต้น ฝ่ายเราจะยังไม่สามารถกู้เรือได้และต้องให้ความช่วยเหลือกำลังพลประจำเรือ ท่ามกลางสะเก็ดระเบิดจากการระดมยิงของปืนใหญ่ข้าศึกที่ปลิวว่อน
แต่ทหารนาวิกโยธินก็สามารถช่วยเหลือกำลังพลประจำเรือ ล-123 ออกจากพื้นที่ปะทะได้ทั้งหมด คงเหลือเพียงศพของพันจ่าตรีปรัศน์ พงศ์สุวรรณ ซึ่งเสียชีวิตคาอยู่กับตำแหน่งถือท้ายพังงาเรือ
เวลาบ่ายสามโมงสี่สิบนาที ทหารนาวิกโยธินพร้อมผู้บาดเจ็บทั้งหมดได้ถอนตัวออกจากดอนแตง โดยมีกระสุนของฝ่ายลาวไล่หลังไม่ขาดระยะ
เวลาสี่โมงสิบห้านาที ทหารนาวิกโยธินได้ตรึงกำลังอยู่บนฝั่งไทยใกล้กับดอนแตง ส่วนผู้บาดเจ็บจากเรือ ล-123 และเรือ ล-128 ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลนครพนม เพื่อปฐมพยาบาลให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งตัวกลับทางเครื่องบินในวันรุ่งขึ้น
จากการปะทะในระลอกแรก นอกเหนือจากพันจ่าตรีปรัศน์ พงศ์สุวรรณ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต ฝ่ายเราได้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ จ่าเอกบัญญัติ มากุล จ่าปืนเรือ ล-123 ถูกกระสุนและสะเก็ดระเบิดที่แขนและที่ขา ขณะทำการยิงตอบโต้กับฝ่ายลาวได้รับบาดเจ็บสาหัส จ่าเอกวิรัช อุดรวงศ์ จ่าปืนเรือ ล-128 ถูกยิงที่ขาทะลุได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
คงมีเพียงจ่าเอกคงฤทธิ์ ศรีสม จ่าช่างกลเรือ ล-128 เท่านั้นที่โชคดีกว่าใครเพื่อน เพราะกระสุนของฝ่ายลาวเฉี่ยวแก้มซ้ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ครั้นถึงเวลาห้าโมงสิบนาที ทหารลาวได้ระดมปืนซัลโวเข้าใส่เรือ ล-123 ซึ่งเกยตื้นอยู่บนดอนแตงอีกครั้งหนึ่ง หมายที่จะทำลายเรือให้พินาศ
ฝ่ายเราจึงขอรับการสนับสนุนเครื่องบินแบบ ที-28 ทำการโจมตีกดดันข้าศึก เมื่อเครื่องบินของฝ่ายเราปรากฏตัวขึ้น ทหารลาวจึงหยุดยิง ที-28 จึงออกจากยุทธบริเวณในเวลาใกล้ค่ำ
เวลาหกโมงสิบห้านาที สถานการณ์ดูเหมือนจะยุติลงชั่วขณะ แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงปักหลักคุมเชิงเฝ้าระวังอยู่อย่างเต็มที่
หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงได้ส่งทหารนาวิกโยธินพร้อมอาวุธเข้าไปสมทบเพิ่มเติมกำลังอีกหนึ่งหมวด ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้า ได้ส่งกำลังทหารราบพร้อมด้วยรถถัง 1 คัน รถสายพานลำเลียงติดตั้งปืน ค. 4.2 นิ้ว และกำลังตำรวจตระเวนชายแดนอีกหนึ่งหมวดเข้ามาให้การสนับสนุน
ส่วนกำลังของฝ่ายลาวในรายงานของหน่วย นปข. เขต 1 นครพนม ระบุว่า ประกอบด้วยเรือตรวจการณ์ลำน้ำ 2 ลำ รถถัง 4 คัน ทหารราบวางกำลังตามชายฝั่ง 4 จุด สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตร ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด
โดยสายการบังคับบัญชาในช่วงเวลานั้น หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงแม้จะเป็นกำลังของกองทัพเรือ แต่ก็ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 2
ดังนั้นในเวลาต่อมา ในคืนวันนั้นแม่ทัพภาค 2 จึงมีคำสั่งให้กำลังของทุกหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ปะทะปฏิบัติภารกิจร่วมกันในการแย่งยึดเรือ นปข. กลับคืนมาให้ได้ รวมทั้งให้ปฏิบัติการทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้นป้องกันฝ่ายตรงข้ามส่งกำลังเข้ามายึดเรือ ล-123 หรือเคลื่อนย้ายเรือออกจากดอนแตง
กรณีที่ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ต้องการจะ "ทำลายเรือ' เนื่องจากไม่สามารถกู้เรือกลับคืนมาได้ ให้ขออนุมัติทำลายไปยังหน่วยเหนือเสียก่อน
ในคืนวันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้เพิ่มเติม "อาวุธหนัก' เข้าไปยังพื้นที่ ประกอบด้วยปืน ค. 2 กระบอก ปืนไร้แรงสะท้อน 2 กระบอก โดยตั้งฐานยิงที่บ้านโพนสา รวมทั้งยังมีคำสั่งให้ทหารราบอีก 1 กองร้อยพร้อมอยู่ในที่ตั้ง สามารถเคลื่อนย้ายกำลังได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนครึ่ง กำลังทหารนาวิกโยธินอีกหนึ่งหมวดจากหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงนครพนม ได้เดินทางมาสมทบกำลังส่วนแรก
หลังจากนั้นในเวลาตีหนึ่งห้าสิบนาที กำลังทหารบกจากหน่วยผสมที่ 13 ได้เดินทางไปยังพื้นที่ปะทะ
ครั้นถึงเวลาตีสี่ของวันที่ 18 พฤศจิกายน ฝ่ายเราตรวจพบความเคลื่อนไหวของข้าศึกในความมืด ลักษณะเหมือนพยายามที่จะเข้าใกล้ดอนแตงเพื่อยึดเรือหรือทำลายเรือ
ผบ.ยุทธบริเวณจึงสั่งให้ใช้ปืน ค. ยิงกระสุนส่องสว่างและกระสุนระเบิดเพื่อเป็นฉากคุ้มกันไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้เรือ ล-123 ที่เกยตื้นอยู่บนดอนแตงได้อย่างที่ต้องการ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเครื่องบินกองทัพอากาศ ฝ่ายเราจึงส่งทหารนาวิกโยธินขึ้นไปบนดอนแตงเมื่อเวลาหกโมงครึ่ง
แต่ขณะที่ทหารนาวิกโยธินคืบคลานเข้าไปใกล้เรือ
ทหารลาวได้เปิดฉากระดมยิงสกัดกั้นอย่างหนักหน่วงรุนแรง ฝ่ายเราได้ตอบโต้ด้วยปืนไร้แรงสะท้อน ปืน ค. และปืนใหญ่รถถัง
การปะทะดำเนินไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ฝ่ายเราจะถูกยิงกดดันอย่างหนักจนต้องถอนตัวกลับออกมา โดยมีนาวิกโยธินได้รับบาดเจ็บหนึ่งนาย
ครั้นถึงเวลาเก้าโมงสี่สิบห้านาที เครื่องบินของกองทัพอากาศได้เข้าโจมตีเรือรบลาวทั้งสองลำที่แล่นเข้ามาใกล้ดอนแตง
สถานการณ์ส่อเค้าว่าจะยืดเยื้อและบานปลายมากยิ่งขึ้น แต่ขวัญกำลังของฝ่ายเรายังคงเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพลเรือเอก "สงัด ชะลออยู่' ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาราชการผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้นเดินทางไปยังแนวหน้า เพื่อติดตามสถานการณ์และอำนวยการปฏิบัติด้วยตนเอง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ได้ลั่นวาจาที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกนาวีไทยมาจนทุกวันนี้ว่า
"หากไม่ได้ศพคืน ต้องเพิ่มศพเข้าไป'
38 ปี วีรกรรมดอนแตง: *"ถ้าไม่ได้ศพคืนก็ต้องเพิ่มศพเข้าไป"
มื่อสายลมอันเยือกเย็นของเดือนพฤศจิกายนเวียนกลับมาพร้อมกับสายน้ำที่เอ่อล้นริมตลิ่ง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงความสนุกสนานในเทศกาลลอยกระทง ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบสานกันมาแต่ครั้งโบราณกาล
แต่สำหรับเหล่าทหารเรือโดยเฉพาะลูกประดู่แห่งหน่วย นปข. หรือหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขง
กระแสลมและสายน้ำแห่งเดือนพฤศจิกายนไม่ต่างอะไรกับสัญญาลักษณ์และเครื่องเตือนใจให้พวกเขารำลึกนึกถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างห้าวหาญของลูกนาวีไทยเมื่อครั้งอดีต ซึ่งยังคงเป็นที่กล่าวขานและรู้จักกันในนาม "วีรกรรมดอนแตง'
ย้อนหลังไปเมื่อ 38 ปีที่แล้ว วันที่ 17 พฤศจิกายน 2518 ไกลออกไปจากกองบัญชาการกองทัพเรือราชวังเดิม กรุงเทพมหานคร หลายร้อยกิโลเมตร
ที่สถานีเรือตรวจการณ์ตามลำแม่น้ำโขง อำเภอศรีเชียงใหม่ เรือเอกเทิดศักดิ์ ซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมู่เรือ นปข. จังหวัดนองคาย ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า
จะมีการลักลอบขนอาวุธและยุทธปัจจัยข้ามมาจากฝั่งลาวบริเวณอำเภอถ้ำบ่อ จังหวัดหนองคาย ในเขตบ้านกองนาง เพื่อนำไปสนับสนุนกองกำลังของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งในขณะนั้นพื้นที่หลายแห่งในเขตภาคอีสานยังเป็น "พื้นที่สีแดง' ที่ถูกคุกคามจากกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ภารกิจหนึ่งของหน่วยปฏิบัติการตามลำแม่น้ำโขงกองทัพเรือ จึงเป็นการสกัดกั้นขัดขวางมิให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในเขตไทยได้อย่างที่ต้องการ
ครั้นถึงเวลาเก้าโมงเช้า เรือตรวจการณ์ลำน้ำหมายเลข 123 หรือเรือ ล.123 ซึ่งมีเรือตรีโชติ แทนศิริ ทำหน้าที่ควบคุมเรือ พันจ่าตรีปรัศน์ พงษ์สุวรรณ ทำหน้าที่พันจ่าประจำเรือและเป็นผู้ถือท้าย จ่าตรีบัญญัติ มากุล ทำหน้าที่จ่าปืน และมีจ่าพรรคกลินอีก 1 นาย ทำหน้าที่เป็นช่างกลประจำเรือ
เรือตรวจการณ์ลำน้ำ หมายเลข 123 หรือเรือ ล-123 ซึ่งมีความกว้าง 11 ฟุต ยาว 31 ฟุต กินน้ำลึก 2 ฟุต ระวางขับน้ำเต็มที่ 7.5 ตัน ได้แล่นสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในเขตไทยโดยหันกราบขวาเข้าหาฝั่งลาว
จนกระทั่งในเวลา 1253 ขณะที่เรือตรวจการณ์ ฯ 123 แล่นไปถึง "ดอนแตง'
กำลังของฝั่งตรงข้ามซึ่งปักหลักอยู่บนฝั่งลาวได้ระดมยิงข้ามแม่น้ำเข้าใส่เรือ ล-123 โดยเป็นการระดมยิงด้วยอาวุธหนักจากฐานที่ตั้งยิง 5 จุด
เรือ ล-123 จึงรีบเบนเข็มและเร่งความเร็วแล่นหลบวิถีกระสุนมุ่งลงสู่ทิศใต้พร้อมกับวิทยุขอความช่วยเหลือ แจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินไปยังสถานีเรือ อำเภอศรีเชียงใหม่
ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ เรือเอกเทิดศักดิ์ ผู้บังคับหมู่เรือจึงสั่งให้เรือ ล-128 เดินทางออกจากสถานีไปยังจุดปะทะ เพื่อให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123 อย่างเร่งด่วน
ส่วนเรือ ล-123 เมื่อทราบว่ากำลังจะมีฝ่ายเดียวกันเข้ามาสมทบ จึงเลี้ยวกลับลำแล่นย้อนขึ้นไปทางด้านเหนือเพื่อทำการต่อสู้กับข้าศึก
ครั้นถึงเวลาบ่ายโมง 15 นาที เรือ ล-123 ผู้ควบคุมมองเห็นเรือ ล-128 แล่นออกมาทางร่องน้ำดอนแตงกับฝั่งไทย เรือ ล-123 จึงแล่นเข้าสมทบเพื่อให้ฝ่ายเรามีอำนาจการยิงเพิ่มขึ้น
จังหวะนี้เองที่เรือ ล-123 ถูกข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก กระสุนนัดหนึ่งพุ่งเข้าที่กลางแสกหน้าของพันจ่าตรีปรัศน์ซึ่งเป็นผู้ถือพังงาเรือ ทำให้เรือ ล-123 เสียการควบคุมและพุ่งหัวเข้าเกยตื้นอยู่ทางด้านใต้ของดอนแตงในลักษณะเกยหัวขึ้น
เมื่อสถานการณ์บานปลายออกไป ผู้ควบคุมเรือ ล-128 จึงได้วิทยุรายงานไปยังสถานีเรือและแจ้งให้ทราบว่าจะพยายามให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123 ในเบื้องต้นที่จะสามารถกระทำได้
แต่ปฏิบัติการของเรือ ล-128 กลับถูกขัดขวางจากข้าศึกและสถานการณ์ของลูกนาวีไทยก็เหมือนจะคับขันอันตรายมากขึ้น เมื่อปรากฏรถถังของฝ่ายลาวจำนวน 4 คัน แล่นเข้ามาประชิดชายฝั่งหันป้อมปืนออกสู่แม่น้ำเล็งมายังฝั่งไทย
ขณะเดียวกันเรือตรวจการณ์ตามลำน้ำของฝ่ายลาวอีก 3 ลำ ได้แล่นในรูปขบวนเรียงตามกันมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณที่เป็นจุดปะทะ โดยมีระยะห่างระหว่างลำ 500 เมตร
เรือตรวจการณ์ของฝ่ายลาวแล่นขนานกับชายฝั่งของตน โดยหันข้างให้กับเรือ ล-123 จากนั้นอาวุธจากเรือของฝ่ายลาว รวมทั้งปืนรถถังตลอดจนกำลังทหารราบที่อยู่บนชายฝั่งได้ระดมยิงเข้าใส่เรือตรวจการณ์ตามลำน้ำของฝ่ายไทยทั้งสองลำอย่างถี่ยิบ
แม้จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ลูกนาวีไทยบนเรือ ล-123 และ ล-128 ก็ยิงระดมต่อสู้กับข้าศึกอย่างสุดความสามารถ ขณะที่ผู้ควบคุมเรือแจ้งสถานการณ์คับขันไปยังหน่วยเหนือ โดยระบุว่าเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบและเรือทั้งสองลำยังไม่สามารถถอนตัวออกไปได้
ครั้นถึงเวลาบ่ายโมงยี่สิบนาที ทหารนาวิกโยธินจากหน่วยเฉพาะกิจได้เคลื่อนกำลังเข้าประจำแนวบนฝั่งไทยและระดมยิงคุ้มกันให้แก่เรือทั้งสองลำ โดยมีเรือเอกประสาน จันทร์รัศมี นายทหารของหมู่เรือ นปข. ทำหน้าที่นายทหารติดต่อระหว่างกำลังบนฝั่งกับเรือ ล-123 และ ล-128
สิบนาทีต่อมา เรือ ล-125 ออกเดินทางจากสถานีเรืออำเภอศรีเชียงใหม่เข้าสมทบกับเรือ ล-123 และ เรือ ล-128 โดยผู้ควบคุมเรือยอมเสี่ยงอันตรายแล่นฝ่ากระสุนเข้ามาทางร่องน้ำด้านในระหว่างดอนแตงกับฝั่งไทย
ตลอดเวลานั้น เรือ ล-123 ซึ่งเกยตื้นอยู่พยายามที่จะแล่นถอยท้ายออกมา แต่ก็ยังไม่สำเร็จและยังคงถูกข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก
เรือ ล-123 พยายามยิงต่อสู้จนกระทั่งกระสุนของปืนทุกกระบอกที่อยู่บนเรือหมดลง
ในที่สุดเมื่อถูกฝ่ายลาวระดมยิงหนักหน่วงมากขึ้นและการอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งจะทำให้เกิดอันตรายและฝ่ายเราสูญเสียมากขึ้น เรือ ล-128 และเรือ ล-125 จึงตัดสินใจถอนตัวออกมาจากยุทธบริเวณ
ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบห้านาที ทหารนาวิกโยธินซึ่งวางกำลังสนับสนุนอยู่บนฝั่งไทยได้ตัดสินใจเคลื่อนกำลังข้ามไปยังดอนแตง เพื่อให้ความช่วยเหลือเรือ ล-123
แม้ในเบื้องต้น ฝ่ายเราจะยังไม่สามารถกู้เรือได้และต้องให้ความช่วยเหลือกำลังพลประจำเรือ ท่ามกลางสะเก็ดระเบิดจากการระดมยิงของปืนใหญ่ข้าศึกที่ปลิวว่อน
แต่ทหารนาวิกโยธินก็สามารถช่วยเหลือกำลังพลประจำเรือ ล-123 ออกจากพื้นที่ปะทะได้ทั้งหมด คงเหลือเพียงศพของพันจ่าตรีปรัศน์ พงศ์สุวรรณ ซึ่งเสียชีวิตคาอยู่กับตำแหน่งถือท้ายพังงาเรือ
เวลาบ่ายสามโมงสี่สิบนาที ทหารนาวิกโยธินพร้อมผู้บาดเจ็บทั้งหมดได้ถอนตัวออกจากดอนแตง โดยมีกระสุนของฝ่ายลาวไล่หลังไม่ขาดระยะ
เวลาสี่โมงสิบห้านาที ทหารนาวิกโยธินได้ตรึงกำลังอยู่บนฝั่งไทยใกล้กับดอนแตง ส่วนผู้บาดเจ็บจากเรือ ล-123 และเรือ ล-128 ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลนครพนม เพื่อปฐมพยาบาลให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งตัวกลับทางเครื่องบินในวันรุ่งขึ้น
จากการปะทะในระลอกแรก นอกเหนือจากพันจ่าตรีปรัศน์ พงศ์สุวรรณ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต ฝ่ายเราได้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ จ่าเอกบัญญัติ มากุล จ่าปืนเรือ ล-123 ถูกกระสุนและสะเก็ดระเบิดที่แขนและที่ขา ขณะทำการยิงตอบโต้กับฝ่ายลาวได้รับบาดเจ็บสาหัส จ่าเอกวิรัช อุดรวงศ์ จ่าปืนเรือ ล-128 ถูกยิงที่ขาทะลุได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
คงมีเพียงจ่าเอกคงฤทธิ์ ศรีสม จ่าช่างกลเรือ ล-128 เท่านั้นที่โชคดีกว่าใครเพื่อน เพราะกระสุนของฝ่ายลาวเฉี่ยวแก้มซ้ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ครั้นถึงเวลาห้าโมงสิบนาที ทหารลาวได้ระดมปืนซัลโวเข้าใส่เรือ ล-123 ซึ่งเกยตื้นอยู่บนดอนแตงอีกครั้งหนึ่ง หมายที่จะทำลายเรือให้พินาศ
ฝ่ายเราจึงขอรับการสนับสนุนเครื่องบินแบบ ที-28 ทำการโจมตีกดดันข้าศึก เมื่อเครื่องบินของฝ่ายเราปรากฏตัวขึ้น ทหารลาวจึงหยุดยิง ที-28 จึงออกจากยุทธบริเวณในเวลาใกล้ค่ำ
เวลาหกโมงสิบห้านาที สถานการณ์ดูเหมือนจะยุติลงชั่วขณะ แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงปักหลักคุมเชิงเฝ้าระวังอยู่อย่างเต็มที่
หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงได้ส่งทหารนาวิกโยธินพร้อมอาวุธเข้าไปสมทบเพิ่มเติมกำลังอีกหนึ่งหมวด ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 2 ส่วนหน้า ได้ส่งกำลังทหารราบพร้อมด้วยรถถัง 1 คัน รถสายพานลำเลียงติดตั้งปืน ค. 4.2 นิ้ว และกำลังตำรวจตระเวนชายแดนอีกหนึ่งหมวดเข้ามาให้การสนับสนุน
ส่วนกำลังของฝ่ายลาวในรายงานของหน่วย นปข. เขต 1 นครพนม ระบุว่า ประกอบด้วยเรือตรวจการณ์ลำน้ำ 2 ลำ รถถัง 4 คัน ทหารราบวางกำลังตามชายฝั่ง 4 จุด สนับสนุนด้วยปืนใหญ่ขนาด 75 มิลลิเมตร ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด
โดยสายการบังคับบัญชาในช่วงเวลานั้น หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงแม้จะเป็นกำลังของกองทัพเรือ แต่ก็ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 2
ดังนั้นในเวลาต่อมา ในคืนวันนั้นแม่ทัพภาค 2 จึงมีคำสั่งให้กำลังของทุกหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ปะทะปฏิบัติภารกิจร่วมกันในการแย่งยึดเรือ นปข. กลับคืนมาให้ได้ รวมทั้งให้ปฏิบัติการทุกวิถีทางเพื่อสกัดกั้นป้องกันฝ่ายตรงข้ามส่งกำลังเข้ามายึดเรือ ล-123 หรือเคลื่อนย้ายเรือออกจากดอนแตง
กรณีที่ผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ต้องการจะ "ทำลายเรือ' เนื่องจากไม่สามารถกู้เรือกลับคืนมาได้ ให้ขออนุมัติทำลายไปยังหน่วยเหนือเสียก่อน
ในคืนวันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้เพิ่มเติม "อาวุธหนัก' เข้าไปยังพื้นที่ ประกอบด้วยปืน ค. 2 กระบอก ปืนไร้แรงสะท้อน 2 กระบอก โดยตั้งฐานยิงที่บ้านโพนสา รวมทั้งยังมีคำสั่งให้ทหารราบอีก 1 กองร้อยพร้อมอยู่ในที่ตั้ง สามารถเคลื่อนย้ายกำลังได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนครึ่ง กำลังทหารนาวิกโยธินอีกหนึ่งหมวดจากหน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขงนครพนม ได้เดินทางมาสมทบกำลังส่วนแรก
หลังจากนั้นในเวลาตีหนึ่งห้าสิบนาที กำลังทหารบกจากหน่วยผสมที่ 13 ได้เดินทางไปยังพื้นที่ปะทะ
ครั้นถึงเวลาตีสี่ของวันที่ 18 พฤศจิกายน ฝ่ายเราตรวจพบความเคลื่อนไหวของข้าศึกในความมืด ลักษณะเหมือนพยายามที่จะเข้าใกล้ดอนแตงเพื่อยึดเรือหรือทำลายเรือ
ผบ.ยุทธบริเวณจึงสั่งให้ใช้ปืน ค. ยิงกระสุนส่องสว่างและกระสุนระเบิดเพื่อเป็นฉากคุ้มกันไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้เรือ ล-123 ที่เกยตื้นอยู่บนดอนแตงได้อย่างที่ต้องการ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของเครื่องบินกองทัพอากาศ ฝ่ายเราจึงส่งทหารนาวิกโยธินขึ้นไปบนดอนแตงเมื่อเวลาหกโมงครึ่ง
แต่ขณะที่ทหารนาวิกโยธินคืบคลานเข้าไปใกล้เรือ
ทหารลาวได้เปิดฉากระดมยิงสกัดกั้นอย่างหนักหน่วงรุนแรง ฝ่ายเราได้ตอบโต้ด้วยปืนไร้แรงสะท้อน ปืน ค. และปืนใหญ่รถถัง
การปะทะดำเนินไปอย่างดุเดือด ก่อนที่ฝ่ายเราจะถูกยิงกดดันอย่างหนักจนต้องถอนตัวกลับออกมา โดยมีนาวิกโยธินได้รับบาดเจ็บหนึ่งนาย
ครั้นถึงเวลาเก้าโมงสี่สิบห้านาที เครื่องบินของกองทัพอากาศได้เข้าโจมตีเรือรบลาวทั้งสองลำที่แล่นเข้ามาใกล้ดอนแตง
สถานการณ์ส่อเค้าว่าจะยืดเยื้อและบานปลายมากยิ่งขึ้น แต่ขวัญกำลังของฝ่ายเรายังคงเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพลเรือเอก "สงัด ชะลออยู่' ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาราชการผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้นเดินทางไปยังแนวหน้า เพื่อติดตามสถานการณ์และอำนวยการปฏิบัติด้วยตนเอง
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ได้ลั่นวาจาที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกนาวีไทยมาจนทุกวันนี้ว่า
"หากไม่ได้ศพคืน ต้องเพิ่มศพเข้าไป'