THE KING IS BACK !
เป็นวงที่ขยันปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาอยู่เรื่อยๆ สำหรับ ‘Kings of Leon’ วง Alternative Rock ตระกูล Followill สัญชาติอเมริกัน ที่มีจุดเด่นคือการผสมผสานสำเนียงของความเป็น Garage , Post-Punk แบบอังกฤษๆ กับกลิ่นอายของ Southern Rock , Country Rock แบบอเมริกันชน หลายคนคงรู้จักพวกเขาจากเพลง ‘Use Somebody’ ‘Sex on fire’ (ซึ่งล้วนเป็นงานจากอัลบั้มลำดับที่ 4 Only by the night) วันนี้ KOL กลับมากับอัลบั้มเต็มลำดับที่ 6 (อัลบั้มที่ 5 นี่เชื่อว่าหลายคนอยากจะลบมันทิ้งออจากสาระบบ) ในชื่อ ‘Mechanical Bull’
งานของ Kings of Leon แทบทุกชุด จะมีจุดเด่นอยู่ที่ ไลน์กีตาร์ ที่จะสอดประสานกับgroove (จังหวะแล้วกันพูดง่ายๆ) ของกลองได้อย่างโคตรลงตัว กีตาร์จะเป็นตัวสร้างเสียงและกลิ่น (ที่ไม่ได้เกิดจากแอมป์ไหม้แต่อย่างใด) ของความเป็น Southern การแผดเสียงที่เกรี้ยวกราดแบบ Rock & Roll และความเหน่อ ความกวนแบบ Country ซึ่งเมื่อผนวกกับจังหวะกลองที่เร่งเร้า และเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ จึงทำให้เพลงของ KOL มีsoundเฉพาะตัว มีความเป็นตัวเองสูงมาก
ใน ‘Mechanical Bull’ เรายังคงจะได้ฟัง sound ในแบบฉบับที่วงถนัดอยู่เหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นข้อดี ที่ KOL เลือกที่จะไม่ประดิดประดอยจนเกินพอดีอย่างในอัลบั้มก่อน วงคงจะเห็นผลลัพธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ คงจะได้บทเรียนและเข้าใจแล้วว่า การเป็นตัวของตัวเองนี่แหละ ดีที่สุด เห็นได้จากซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมา ‘Supersoaker’ พวกเขาเลือกที่จะกลับไปใช้วัตดุดิบเดิมๆที่คุ้นเคย สำเนียงกีตาร์ที่หนักแน่นแต่ก็นุ่มลึก ในท่อน intro สอดรับกับจังหวะของเบสได้อย่างน่าดูชม โดยรวมถือว่าผ่านตั้งแต่แรกฟัง
ไล่ฟังไปทีละเพลงเลยแล้วกันนะครับ แทร็คที่ 2 ‘Rock City’ เก๋าแบบนิ่งๆ บางครั้งดูนิ่งเกินไป เพลงนี้ถ้าตัดเสียง distortion ของกีตาร์ออกไป ก็จะสามารถจัดเข้าไปในอยู่ใน playlistเพลง country ได้อย่างเนียนตาและเนียนหู / ‘Don’t Matter’ Garage Rock เต็มสูบ ดิบ มันส์ แม้จะมี Tempo (ความเร็ว) ที่ไม่เร็วมากดั่งเพลง Garage หรือ Punk โดยทั่วไป แต่ก็น่าจะทำให้เราผงกหัวเป็นอย่างน้อยเมื่อฟังมัน / แทร็คที่สวยงามที่สุดแทร็คหนึ่งในอัลบั้ม ‘Beautiful War’ เนิบแต่ละมุน อ่อนโยนแต่ก็มั่นคง เพลงนี้มีทำนองที่ล่องลอย แต่ตั้งอยู่บนจังหวะที่เรียกว่า 3 พยางค์ ซึ่งเป็นจังหวะที่ฟังดูฮึกเหิมและเข้มแข็ง เป็นเพลงที่มีอะไรหลายๆอย่าง contrast ในตัวเอง ตั้งแต่ชื่อเพลงยันตัวเพลง / อีกหนึ่งเพลงที่มีจังหวะชวนโยก ‘Temple’ เพลงนี้มีดีที่ท่อนฮุค เมโลดี้ติดหูมาก
ซิงเกิ้ลที่ 2 ซึ่งถูกปล่อยตามซิงเกิ้ลแรกออกมาติดๆ ‘Wait for me’ ลดความแข็งกร้าวลง เพิ่มความนุ่มนวลเข้าไป อาจจะเรียบๆไปหน่อยไม่ค่อยมีลูกล่อลูกชน แต่ก็ฟังเพลินๆครับ / ‘Family Tree’ เก๋า เท่ กวน กลิ่น Country มาเต็ม และมีการใช้ทางคอร์ดแบบ Blues ด้วย ยิ่งเก๋าไปกันใหญ่ ฟังแล้วชวนให้นึกถึง Arctic Monkeys ได้เหมือนกัน (ฮ่าๆ) / ‘Comeback Story’ เพลงจังหวะ medium ที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ เรื่อยๆมาตลอดเพลงจนหาจุดพีคไม่ได้ จุดเด่นเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นแผง chorus ที่โอบอุ้มเพลงเอาไว้
มาถึงแทร็คซึ่งส่วนตัวชอบที่สุดในอัลบั้ม ‘Tonight’ ครบเครื่อง หนักแน่น กระแทกกระทั้น ภาคการ arrangement ดนตรีทำได้ดีมากๆ จัดสรร dynamic ได้อย่างยอดยี่ยม เป็นดนตรีในแบบที่แฟนๆKOLส่วนมากอยากได้ยิน (เชื่ออย่างนั้น) มีท่อนฮุคชวนที่ให้นึกถึง Use somebody ฟังแล้วสะใจยิ่ง / ‘Coming back again’ มี tempo ที่เร็วที่สุดในอัลบั้ม ท่อนฮุคมีเสียงฟุ้งๆหลอนๆของ synthesizer ซึ่งไม่ได้ขัดอารมณ์สนุกแต่อย่างใด กลับกัน นี่เป็นเสียงที่ช่วยสร้างมิติ ให้เพลงไม่น่าเบื่อ ไม่ใช่เพลงที่เอามันส์ลูกเดียว / ‘On the chin’ Ballad Rock ที่ไพเราะอีกหนึ่งเพลงในอัลบั้ม เพลงนี้มี acoustic guitar เข้ามาด้วย จึงทำให้โทนของเพลงมีลักษณะที่ต่างจากเพลงอื่นๆพอสมควร / Bonus Track (ซึ่งจะมีแค่ใน Deluxe Edition เท่านั้น) ทั้งสองเพลงก็ทำหน้าที่ในการเป็นแทร็คปิดอัลบั้ม ได้ดีครับ ทั้ง ‘Work on me’ และ ‘Last Mile Home’ โดยเฉพาะแทร็คหลังนี่นับว่าเป็นทีเด็ดเลย ชอบบรรยากาศที่เพลงนี้สร้างขึ้น มันอบอวล เป็นการปิดอัลบั้มที่น่าประทับใจ
ประโยค THE KING IS BACK. ซึ่งผมได้จั่วหัวไปในตอนต้น เป็นประโยคที่แฟนๆ KOL มักจะพูดกัน (เพื่อให้มันดูเท่ๆ) เวลาที่วงกำลังจะออกอัลบั้มใหม่
ซึ่งครั้งนี้มันคือการกลับมา ‘จริงๆ’
คุ้มค่าที่เฝ้ารอครับ.
[CR] [CR] REVIEW : KINGS OF LEON - MECHANICAL BULL : THE KING IS BACK !!!
เป็นวงที่ขยันปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาอยู่เรื่อยๆ สำหรับ ‘Kings of Leon’ วง Alternative Rock ตระกูล Followill สัญชาติอเมริกัน ที่มีจุดเด่นคือการผสมผสานสำเนียงของความเป็น Garage , Post-Punk แบบอังกฤษๆ กับกลิ่นอายของ Southern Rock , Country Rock แบบอเมริกันชน หลายคนคงรู้จักพวกเขาจากเพลง ‘Use Somebody’ ‘Sex on fire’ (ซึ่งล้วนเป็นงานจากอัลบั้มลำดับที่ 4 Only by the night) วันนี้ KOL กลับมากับอัลบั้มเต็มลำดับที่ 6 (อัลบั้มที่ 5 นี่เชื่อว่าหลายคนอยากจะลบมันทิ้งออจากสาระบบ) ในชื่อ ‘Mechanical Bull’
งานของ Kings of Leon แทบทุกชุด จะมีจุดเด่นอยู่ที่ ไลน์กีตาร์ ที่จะสอดประสานกับgroove (จังหวะแล้วกันพูดง่ายๆ) ของกลองได้อย่างโคตรลงตัว กีตาร์จะเป็นตัวสร้างเสียงและกลิ่น (ที่ไม่ได้เกิดจากแอมป์ไหม้แต่อย่างใด) ของความเป็น Southern การแผดเสียงที่เกรี้ยวกราดแบบ Rock & Roll และความเหน่อ ความกวนแบบ Country ซึ่งเมื่อผนวกกับจังหวะกลองที่เร่งเร้า และเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ จึงทำให้เพลงของ KOL มีsoundเฉพาะตัว มีความเป็นตัวเองสูงมาก
ใน ‘Mechanical Bull’ เรายังคงจะได้ฟัง sound ในแบบฉบับที่วงถนัดอยู่เหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นข้อดี ที่ KOL เลือกที่จะไม่ประดิดประดอยจนเกินพอดีอย่างในอัลบั้มก่อน วงคงจะเห็นผลลัพธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ คงจะได้บทเรียนและเข้าใจแล้วว่า การเป็นตัวของตัวเองนี่แหละ ดีที่สุด เห็นได้จากซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมา ‘Supersoaker’ พวกเขาเลือกที่จะกลับไปใช้วัตดุดิบเดิมๆที่คุ้นเคย สำเนียงกีตาร์ที่หนักแน่นแต่ก็นุ่มลึก ในท่อน intro สอดรับกับจังหวะของเบสได้อย่างน่าดูชม โดยรวมถือว่าผ่านตั้งแต่แรกฟัง
ไล่ฟังไปทีละเพลงเลยแล้วกันนะครับ แทร็คที่ 2 ‘Rock City’ เก๋าแบบนิ่งๆ บางครั้งดูนิ่งเกินไป เพลงนี้ถ้าตัดเสียง distortion ของกีตาร์ออกไป ก็จะสามารถจัดเข้าไปในอยู่ใน playlistเพลง country ได้อย่างเนียนตาและเนียนหู / ‘Don’t Matter’ Garage Rock เต็มสูบ ดิบ มันส์ แม้จะมี Tempo (ความเร็ว) ที่ไม่เร็วมากดั่งเพลง Garage หรือ Punk โดยทั่วไป แต่ก็น่าจะทำให้เราผงกหัวเป็นอย่างน้อยเมื่อฟังมัน / แทร็คที่สวยงามที่สุดแทร็คหนึ่งในอัลบั้ม ‘Beautiful War’ เนิบแต่ละมุน อ่อนโยนแต่ก็มั่นคง เพลงนี้มีทำนองที่ล่องลอย แต่ตั้งอยู่บนจังหวะที่เรียกว่า 3 พยางค์ ซึ่งเป็นจังหวะที่ฟังดูฮึกเหิมและเข้มแข็ง เป็นเพลงที่มีอะไรหลายๆอย่าง contrast ในตัวเอง ตั้งแต่ชื่อเพลงยันตัวเพลง / อีกหนึ่งเพลงที่มีจังหวะชวนโยก ‘Temple’ เพลงนี้มีดีที่ท่อนฮุค เมโลดี้ติดหูมาก
ซิงเกิ้ลที่ 2 ซึ่งถูกปล่อยตามซิงเกิ้ลแรกออกมาติดๆ ‘Wait for me’ ลดความแข็งกร้าวลง เพิ่มความนุ่มนวลเข้าไป อาจจะเรียบๆไปหน่อยไม่ค่อยมีลูกล่อลูกชน แต่ก็ฟังเพลินๆครับ / ‘Family Tree’ เก๋า เท่ กวน กลิ่น Country มาเต็ม และมีการใช้ทางคอร์ดแบบ Blues ด้วย ยิ่งเก๋าไปกันใหญ่ ฟังแล้วชวนให้นึกถึง Arctic Monkeys ได้เหมือนกัน (ฮ่าๆ) / ‘Comeback Story’ เพลงจังหวะ medium ที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ เรื่อยๆมาตลอดเพลงจนหาจุดพีคไม่ได้ จุดเด่นเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นแผง chorus ที่โอบอุ้มเพลงเอาไว้
มาถึงแทร็คซึ่งส่วนตัวชอบที่สุดในอัลบั้ม ‘Tonight’ ครบเครื่อง หนักแน่น กระแทกกระทั้น ภาคการ arrangement ดนตรีทำได้ดีมากๆ จัดสรร dynamic ได้อย่างยอดยี่ยม เป็นดนตรีในแบบที่แฟนๆKOLส่วนมากอยากได้ยิน (เชื่ออย่างนั้น) มีท่อนฮุคชวนที่ให้นึกถึง Use somebody ฟังแล้วสะใจยิ่ง / ‘Coming back again’ มี tempo ที่เร็วที่สุดในอัลบั้ม ท่อนฮุคมีเสียงฟุ้งๆหลอนๆของ synthesizer ซึ่งไม่ได้ขัดอารมณ์สนุกแต่อย่างใด กลับกัน นี่เป็นเสียงที่ช่วยสร้างมิติ ให้เพลงไม่น่าเบื่อ ไม่ใช่เพลงที่เอามันส์ลูกเดียว / ‘On the chin’ Ballad Rock ที่ไพเราะอีกหนึ่งเพลงในอัลบั้ม เพลงนี้มี acoustic guitar เข้ามาด้วย จึงทำให้โทนของเพลงมีลักษณะที่ต่างจากเพลงอื่นๆพอสมควร / Bonus Track (ซึ่งจะมีแค่ใน Deluxe Edition เท่านั้น) ทั้งสองเพลงก็ทำหน้าที่ในการเป็นแทร็คปิดอัลบั้ม ได้ดีครับ ทั้ง ‘Work on me’ และ ‘Last Mile Home’ โดยเฉพาะแทร็คหลังนี่นับว่าเป็นทีเด็ดเลย ชอบบรรยากาศที่เพลงนี้สร้างขึ้น มันอบอวล เป็นการปิดอัลบั้มที่น่าประทับใจ
ประโยค THE KING IS BACK. ซึ่งผมได้จั่วหัวไปในตอนต้น เป็นประโยคที่แฟนๆ KOL มักจะพูดกัน (เพื่อให้มันดูเท่ๆ) เวลาที่วงกำลังจะออกอัลบั้มใหม่
ซึ่งครั้งนี้มันคือการกลับมา ‘จริงๆ’
คุ้มค่าที่เฝ้ารอครับ.