เตือนภัย !! เจอแม่บ้านชาวพม่าลักขโมยของใช้ในบ้าน เกรงออกหาเหยื่อบ้านหลังอื่นๆ

กระทู้สนทนา
คาดว่าหลายๆคนอาจจะมีลูกจ้างที่บ้านเป็นชาวพม่า และแม่บ้านชาวพม่า หลายๆ คนก็เป็นคนดี ขยันทำมาหากิน แต่ก็มีเหมือนกันที่ลักเล็ก ขโมยน้อย พอดีเพื่อนดิชั้นเองไม่มีล็อคอินในนี้เลยฝากให้มาโพสต์เตือนเพื่อนๆ อีกทีค่ะ (ยาวววววจ้า แต่มีรูป)

"ใครที่คิดจะใช้แรงงานพม่ามาเป็นลูกจ้างขอให้ตรวจสอบให้ดีก่อนนะคะ จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวในภายหลังดังเช่นประสปการณ์ที่ดิฉันจะเล่าต่อไปนี้  (เรื่องยาวนิดนึงแต่ขอให้ช่วยกันอ่านและแชร์ต่อ มีภาพประกอบด้วยค่ะ)

ปกติที่บ้านสามีมีแม่บ้านเป็นคนไทย แต่ละคนก็อยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปี ส่วนใหญ่สาเหตุที่ลาออกคือออกไปแต่งงานค่ะ จนล่าสุดแม่บ้านทอมขอลาออกไปอยู่กับแฟนดี้ซึ่งทำงานเป็นแม่บ้านอยู่บ้านถัดไป คุณยายเลยให้คนรู้จักหาแม่บ้านให้โดยไม่มีเงื่อนไขว่าเป็นเชื้อชาติไหน  ก็ได้แม่บ้านเป็นชาวพม่า หน้าตาน่าเอ็นดูเหมือนเด็กอายุ15 ถามดูน้องบอกอายุ 20   น้องสูงไม่ถึง 150 CM รูปร่างท้วม ตัวเล็กๆ ผิวคล้ำ พูดไทยได้คล่องแคล่วจนแทบไม่รู้ว่าเป็นคนพม่า น้องมีชื่อพม่าว่า นาน มู และมีชื่อไทยว่าพร ตอนมาใหม่ๆน้องใส่เสื้อผ้าจำพวกเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นพิมพ์ลายดอกไม้หลากสีตามที่เราเห็นตามตลาดนัดบ่อยๆ  อยู่ๆไปใบเตยอาร์สยามเริ่มเข้าสิงห์น้องอย่างแรง น้องหันมาใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงสั้นขนานหูเป็นยูนิฟอร์มเฉพาะตัว วันดีคืนดีน้องก็ลุกขึ้นมาใส่เดรสกระโปรงสั้น ใส่ Headband และที่คาดผมแบบมีโบว์อันโตๆแบบโขกชมพู่อารยาออกมาก็ไม่ปาน บางครั้งก็ขออนุญาติไปยืดผม ไดร์ผมที่ร้านในตลาด น้องมีวันหยุดเดือนละ4วัน น้องก็จะมีเหตผลในการลาสารพัดรูปแบบ ซึ่งทำให้คุณยาย(ซึ่งอายุ 93)อนุญาตให้ลาไปได้บ่อยๆ เช่น นัดเจอแม่จะเอาตังค์ไปให้แม่ ไปช่วยน้าย้ายบ้าน ไปต่ออายุวีซ่า ไปช่วยลูกพี่ลูกน้องที่โดนนายจ้างลวนลามและอีกสารพัดข้ออ้าง สำหรับคุณยายแล้วเหตผลเหล่านี้ทำให้ท่านเชื่อว่าน้องพม่ามีความจำเป็นที่ต้องลาไปทำธุระ ท่านจึงอนุญาติให้ลางานเกินโควต้าไปบ้าง

ที่บ้านมีแค่แม่กับยาย ส่วนน้องสาวของสามีไปเรียนที่ต่างประเทศ และนานๆจึงจะกลับบ้านมาที พ่อสามี สามี และดิฉัน จำเป็นต้องอยู่คอนโดในวันอาทิตย์ - พฤหัสเพื่อเลี่ยงรถติดและไปให้ถึงออฟฟิศให้ทันเวลา เราจะกลับไปนอนบ้านเฉพาะวันศุกร์-เสาร์เท่านั้น จึงไม่มีใครคอยไปจ้ำจี้จ้ำไชกับน้องพม่ามากนัก  งานบ้านหลักๆของน้องคือกวาดถูบ้าน ซักผ้ารีดผ้าให้คุณยาย แม่ ดิฉัน และสามี  ส่วนคุณยายจะเป็นคนซื้อกับข้าวเข้าบ้าน ส่วนการรดน้ำต้นไม้และดูแลสวนจะมีคนสวนของหมู่บ้านเข้ามาดูแลให้ทุกวัน และรถที่บ้านก็เอาไปล้างที่คาร์แคร์ น้องจึงไม่ต้องทำกับข้าวหรือทำงานอื่นๆนอกเหนือจากนั้น  ยิ่งไปกว่านั้นคุณแม่ยังจ้างแม่บ้านรายวันมาช่วยน้องทำความสะอาดบ้านอาทิตย์ละ 2วัน แม่บ้านรายวันบ่นอุบอิบว่าน้องพม่าแทบไม่ทำอะไรเลย บ้านมีฝุ่นตามพื้นและชั้นวางของเหมือนไม่เคยทำความสะอาดเลย แบบเหมือนรอให้เค้ามาทำอยู่คนเดียว คุณแม่ได้ยินหนักๆเข้าเลยบอกให้แม่บ้านรายวันหยุดงานไปซักพักแล้วรอดูว่าสภาพบ้านจะเป็นยังไง ปรากฏว่าน้องไม่ทำความสะอาดบ้านเลยจริงๆ ดิฉันแกล้งวางเปลือกลูกอมไว้ตรงบันไดแล้วรอดูว่ามันจะหายไปเมื่อไหร่ ปรากฎว่ามันอยู่อย่างนั้นเป็นอาทิตย์ๆจนดิฉันต้องเก็บออกไปเอง ส่วนห้องนอนน้องแค่มาคลุมเตียงแล้วเปิดม่าน และเอาขยะไปเท เศษผมที่ร่วงอยู่บนพื้นหรือบนเตียงก็ยังอยู่เหมือนเดิมทุกวัน ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่บอก "ช่างมันเถอะ ถือว่าจ้างให้มาอยู่เป็นเพื่อนยายแล้วกัน"

รูปนางค่ะ



น้องได้เงินเดือน 9,000 ซึ่งนับว่าสูงสำหรับแรงงานต่างด้าว เมื่อเทียบกับเด็กเสิร์ฟเขมรในร้านอาหารของคุณลุงที่รู้จักกัน ทั้งเสิร์ฟอาหาร เก็บโต้ะ กวาดถูพื้นและล้างจาน เริ่มงาน 8:00-22:00 จ่ายค่าที่พักและเดินทางมาทำงานเอง ได้เงินเดือน 4,600   ในขณะที่น้องพม่าที่บ้านมีอาหารกินครบ 3มื้อ คือเรากินอะไรก็แบ่งให้กินอาหารเหมือนกันกับเรา คุณยายค่อนข้างเอ็นดูเด็กคนนี้มาก ท่านเห็นเป็นเหมือนลูกหลาน ด้วยความที่น้องพม่าก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของสามี  มีของอะไรในตู้เย็นคุณยายอนุญาติให้เปิดกินได้เลย  น้องก็กินแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อย ไอติมซื้อมา10 แท่งก็หมด 10แท่งภายในเวลาอันสั้น   ที่บ้านไม่เคยหวงของกินเลย แถมคุณยายยังช่วยทำงานบ้าน เช่น ล้างจานชาม แก้วน้ำ ทำกับข้าวให้น้องพม่ากิน    ห้องนอนส่วนตัวของน้องพม่ามีพัดลม ทีวี เตียง ลิ้นชักใส่ข้าวของส่วนตัว ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น คือก็ให้ใช้ห้องน้ำร่วมกับยาย เนื่องจากห้องนอนยายและน้องพม่าอยู่ติดกัน  

ภารกิจประจำวันของน้องพม่าคือ ตื่นมาดื่มน้ำผสมมะนาว2ลูกเป็นการดีท็อกซ์ล้างพิษที่น้องทำตามคุณแม่ กินข้าวเช้า แล้วกวาดบ้านถูบ้านตอน 7:30 และแม้จะเป็นเวลาเช้าถึงเพียงนั้น น้องพม่าจะพูดคุยโทรศัพท์เป็นภาษาพม่า หัวร่อต่อกระซิกผ่านหูฟังโทรศัพท์ตลอดเวลา ขอย้ำว่าตลอดเวลา เพราะไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่น้องจะไม่เสียบหูฟังไว้กับหูและพูดคุยโทรศัพท์ ทั้งที่เสียงจากปลายสายที่ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายแทบทุกครั้ง แต่น้องบอกคุณยายว่า"หนูคุยกับเพื่อนๆ หนูไม่มีแฟนหรอกค่ะ"
หลังจากนั้นน้องจะซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า และตากผ้า และเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนของคนในบ้าน   ช่วงก่อนเที่ยงจนถึงบ่ายน้องจะเข้าไปอยู่ในห้องนอนน้องเองตกวันละ 3 ชั่วโมง ไม่ก็มานั่งดูทีวีในห้องนอนคุณยาย(น้องชอบดูละครไทยมาก และที่บ้านมีเคเบิ้ลช่องพม่าให้ดูด้วยค่ะ) พอถึงประมาณ 15:00 น้องมาเก็บผ้าไปรีด จากนั้นเดินออกกำลังในสวนหน้าบ้าน กินข้าวเย็นแล้วเข้าไปอยู่ในห้องนอนตอน17:00 เป็นอันหมดภารกิจในหนึ่งวัน

น้องมีจริตจะก้านแตกต่างจากแม่บ้านทั่วไป น้องจะมีเสียงกรี้ดกร้าดเวลาเจอสัตว์ต่างๆในสวน เช่น กบ หรือไส้เดือน น้องจะกินน้ำแต่ละครั้งต้องใส่น้ำแข็งและใช้หลอดดูด คือน้องจะไม่ดื่มจากแก้วโดยตรงค่ะ

เวลาน้องซักเสื้อผ้าให้คนในบ้านน้องใช้ผงซักฟอกโดยไม่ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ส่วนผ้าน้องเองใช้น้ำยาซักชุดชั้นในซักโดยแยกผ้าขาวกับผ้าสีออกจากกัน  เรื่องนี้คุณยายไปเห็นเองกับตา คุณยายมารายงานแม่ แม่ก็บอกว่าอย่าไปจ้ำจี้จ้ำไชเด็กมันมาก เดี๋ยวเด็กมันอยู่ไม่ได้แล้วเราจะลำบาก ใครจะทำงานบ้านแทน

ต่อมาดิฉันเริ่มรู้สึกว่าของใช้ส่วนตัวชิ้นเล็กๆน้อยๆ มันเริ่มหายไปเรื่อย เช่น เครื่องสำอางค์ หูฟังโทรศัพท์ สายชาร์ตโทรศัพท์ เสื้อชั้นใน กางเกงใน เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ หมวกแก็ป ดิฉันก็ยังไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพราะของในบ้านค่อนข้างเยอะจึงไม่ทันได้สังเกต จนกระทั่งวันนึงดิฉันกลับมาบ้านแว่นกันแดดดิฉันหายไป 3 อัน จึงเริ่มสำรวจดูข้าวของเครื่องใช้ว่ามีอะไรหายไปบ้าง ปรากฎว่ากางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม ชุดเดรสต่างๆ เสื้อกันหนาวเสื้อผ้าหายไปจนเหลือแค่บางตา เสื้อผ้าที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นชุดใส่ทำงานจำพวกเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว และชุดนอนส่วนชุดชั้นในและกางเกงในที่เหลืออยู่มีแค่สปอร์ตบราและกางเกงในไม่กี่ตัว (เสื้อผ้าหลายชิ้นที่หายไปดิฉันซื้อมาแล้วยังไม่เคยใส่เสียด้วยซ้ำ) ดิฉันบอกคนในบ้านว่าของหายไปและมั่นใจว่าน้องพม่าเป็นคนขโมยไป ดิฉันไม่พอใจอย่างมากจึงขอให้แม่สามีไล่น้องพม่าออก แม่สามีกลับบอกว่า "เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ก็ระวังๆข้าวของเครื่องใช้ดีๆสิ" ดิฉีนจึงถามไปว่า "แล้วเราจะเลี้ยงโจรไว้ในบ้านทำไม"   จากนั้นคุณแม่จึงรับปากว่าจะไล่น้องออกโดยมีเงื่อนไขว่าดิฉันต้องหาคนมาทำงานบ้านแทนน้องพม่าให้ได้เสียก่อน แม้ดิฉันจะรู้สึกว่ามันไม่สมเหตสมผล แต่ก็ไม่อยากจะทำให้เป็นปัญหา เพราะเคยปรึกษาสามีแล้วสามีให้เหตผลว่าอำนาจการตัดสินใจในการจ้างหรือไล่คนออกควรจะเป็นแม่ เพราะแม่เป็นคนจ่ายเงินเดือน และแม่ต้องอยู่กับแม่บ้านแทบทุกวัน ดิฉันต้องทนเห็นน้องพม่าขโมยของแล้วลอยนวลอยู่ในบ้านจนกระทั่งวันนึงน้องพม่าขอลาไปหาน้า ดิฉันจึงเข้าไปสำรวจในห้อง เจอเสื้อผ้าและของใช้ของทุกคนในบ้านมารวมกันอยู่ในห้องน้องร่วม 1  กระสอบได้ ดิฉันจึงหยิบเสื้อผ้าของแม่สามีและน้องสาวไปให้แม่สามีดู เท่านั้นแหละแม่สามีจึงได้ตัดสินใจไล่น้องพม่าออก

ของบนเตียงที่วางๆ อยู่นั่นขโมยมาทั้งหมดเลย



วันที่ไล่น้องออกดิฉันปรึกษาตำรวจแล้วเชิญท่านมาช่วยดำเนินคดีที่บ้าน ท่านซักถามเพื่อดำเนินคดี แต่น้องพม่าปฎิเสธและยืนกรานว่าของเหล่านั้นเป็นของน้องเอง น้องใช้โนเกียร์หน้าจอขาวดำแต่น้องมีหูฟังไอโฟนและซัมซุงอยู่ในกระเป๋า คุณตำรวจต้องใส่กุญแจมือแล้วบอกให้น้องหยิบของเฉพาะ ของน้องเองจริงๆใส่กระเป๋า น้องก็ยังจะหยิบหูฟังไอโฟนไปด้วย คุณตำรวจก็ถามว่าซื้อมากี่บาท น้องตอบไม่ได้ ไอโฟนรุ่นอะไรน้องก็ตอบไม่ได้ ข้าวของดิฉันที่หายไปมีอยู่ในห้องน้องแค่บางส่วนได้แก่ เครื่องสำอางค์ เลคกิ้ง เสื้อชั้นใน กางเกงใน เสื้อกล้าม ยาทาเล็บ ยาล้างเล็บ เข็มขัด กางเกงขาสั้น เสื้อยืด ชุดเดรสต่างๆ และผ้าอนามัยยี่ห้อที่ดิฉันใช้ประจำมีอยู่เต็มลิ้นชักในชั้นใส่ของ น้องขโมยทุกอย่างแม้กระทั่งกางเกงในของแม่สามีซึ่งอายุเฉียดๆ 60 ปี  เสื้อชั้นใน ชุดและเครื่องประดับต่างๆของน้องสาวสามี ข้าวของของสามีและพ่อเช่น อุปกรณ์อีเล็กโทรนิคต่างๆก็หายไป เสื้อผ้าของผู้ชายน้องคงเอาไปให้แฟนแต่อุปกรณ์อิเล็กโทรนิคน้องไม่น่าจะรู้ว่ามันใช้ยังไง แต่น้องคงเอาไปขาย น้องขโมยแม้กระทั่งสายUSB และครีมโกนหนวด

ภายในห้องน้องพม่ายังพบยาคุมกำเนิด3แผง ซึ่งกินไปแล้ว 1 แผง และของใช้แบรนด์เนมอีกหลายชิ้นที่ไม่ใช่ของคนในบ้าน คุณตำรวจสันนิษฐานว่าน้องคงเคยทำการลักทรัพย์มาแล้วหลายครั้งจากนายจ้างคนก่อนๆ




ระหว่างที่คุณตำรวจใส่กุญแจมือแล้วบอกน้องว่าจะจับขังคุก น้องไม่มีอาการสะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่กลับจ้องคุณตำรวจด้วยสายตาแค้นเคือง คุณตำรวจบอกว่าน้องน่าจะคุ้นชินดีกับการโดนดำเนินคดีแล้วปล่อยตัวออกมาในเวลาอันสั้นเพราะหลังจากตรวจดูพาสปอร์ตแล้วจึงทราบว่าน้องอายุเพียง17ปี ซึ่งโทษของเยาวชนในการลักทรัพย์นั้นยังไม่หนักเท่าผู้ใหญ่

คุณตำรวจแนะนำว่าหากเก็บน้องไว้ในแผ่นดืนไทยจะเป็นภัยต่อสังคม ท่านจะดำเนินเรื่องส่งน้องพม่ากลับไปติดคุกพม่า แต่คุณแม่ขอให้ยอมความ ดิฉันอยากทำอย่างที่คุณตำรวจแนะนำแต่ก็ไม่อยากจะขัดแย้งกับคนในบ้าน จึงต้องยอมแค่ให้คุณตำรวจพูดตักเตือนและไล่น้องพม่าออกจากบ้านแต่ไม่ได้ดำเนินคดี อย่างไรก็ตามดิฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เป็นห่วงถึงนายจ้างหรือเอเย่นต์แรงงานต่างด้าวว่าจะต้องมาเจอน้องพม่าหัวขโมยคนนี้จึงได้เขียนข้อความฝากไว้ให้เป็นอุทาหรณ์

  ขอบคุณที่กรุณาอ่านจนจบค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่