อยากทราบว่า เด็กฝรั่งเมืองนอกเขาเรียนพิเศษกันไหมคะ

กระทู้คำถาม
เด็กฝรั่งเมืองนอกเขาเรียนพิเศษกันไหมคะ คือเห็นเด็กไทยเรียนพิเศษกันเยอะมาก ทั้งที่ก็มีเรียนในโรงเรียนและบางวิชาก็เรียนในโรงเรียนกันทุกวัน ก็ยังต้องเรียนพิเศษในวิชานั้นอยู่ และที่สำคัญไม่เข้าใจ มีผู้ปกครองพูดว่า ถ้าไม่เรียนพิเศษเวลาสอบจะทำไม่ได้ดีเท่าเด็กที่เรียนพิเศษ อัยหย๋า...ไงเป็นงั้น เรียนโรงเรียนนั้นกับครูคนนั้น แต่ทำข้อสอบของโรงเรียนไม่ได้ จนต้องพึ่งเรียนพิเศษด้วยงั้นรึ งง งง

อยากรู้ว่าเด็กฝรั่งเขามีเรียนพิเศษในวิชาเกี่ยวกับวิชาการกันไหม เ่ช่น คณิต วิทย์ ....คือเราคิดว่าจะให้ลูกเรียนพิเศษเฉพาะเรื่องกีฬา ภาษาที่ 3,4...และอื่นๆ ที่ไม่มีสอนในโรงเรียนเท่านั้นคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 34
ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งตัวอย่างที่คนไทยในต่างประเทศจำนวนมากให้ข้อมูลที่ทำให้ภาพออกมาผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง   นั่นคือการให้ภาพที่แสดงให้เห็นว่า   เด็กๆ ในประเทศตะวันตกทั้งหลายแหล่เรียนกันน้อย   การสอนไม่เคร่งเครียด  มีเวลาเล่นสนุกสนานกันเยอะ   ในขณะเดียวกันประเทศยังสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้

ซึ่งผมเห็นว่านั่นไม่ใช่ภาพที่แท้จริง   เพราะไม่ว่าระบบการเรียนการศึกษาแบบไหนก็ตาม   ถ้าเด็กไม่สนใจการเรียนหรือให้เวลากับการเรียนน้อยเสียแล้วก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในการศึกษาได้

ถึงแม้ว่าในประเทศตะวันตกจะมีระบบการเรียนที่แตกต่างไปจากไทย  เนื่องจากการวางนโยบายสวัสดิการการศึกษาสำหรับประชาชนที่ต่างกัน   เช่น  การให้การศึกษาฟรีกับประชาชน  บางประเทศจนถึงมัธยมปลาย  บางประเทศไปจนถึงจบมหาลัย   ทำให้การแข่งขันที่จะต้องสอบเข้าสถาบันการศึกษาจึงไม่โหดร้ายมากจนกลายเป็นกำเนิดธุรกิจการสอนพิเศษที่บานสะพรั่งในสังคมไทย    แต่เด็กที่ประสบความสำเร็จในการเรียนไปจนถึงระดับชั้นนำทุกคนก็หมายถึงเด็กที่เรียนหนักกว่าคนอื่นๆ แน่นอน   ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าในประเทศใด

ถ้าพ่อแม่ไทยที่มีลูกเรียนอยู่ในประเทศตะวันตกแล้วบอกว่า  ลูกไม่ต้องเรียนหนัก   ไปแบบสบายๆ   ก็จะเห็นกันอยู่ทุกวันนี้แล้วว่าเด็กไทยในต่างประเทศไม่ได้ขึ้นไปประสบความสำเร็จในระดับประเทศ   ไม่ว่าจะในด้านวิชาการ   ศิลปะ   วิทยาศาสตร์   กฏหมาย   การเมือง  ฯลฯ

แต่เรากลับเห็นเด็กต่างชาติจาก จีน  เกาหลี  ญึ่ปุ่น  เวียตนาม   ที่ประสบความสำเร็จจากการเรียนหนักแล้วขึ้นไปประสบความสำเร็จในสังคมให้เห็นมากมายอย่างชัดเจน

ผมเห็นอย่างที่บางคนบอกไว้ว่า   ในประเทศตะวันตกก็ไม่ได้แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ   เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีทั้งหลายจะได้รับการทุ่มเทจากพ่อแม่ทุกวิถีทางที่จะสนับสนุน  ส่งเสริมให้ลูกของตนก้าวหน้าไปอยู่ในระดับบน  เราจะเรียกวิธีการนี้ว่า  "เรียนพิเศษ" เหมือนในไทยหรือไม่นั่นต่างหาก

ลองดูผลจากการทดสอบความรู้ของ PISA ก็จะเห็นชัดเจนว่า    เด็กในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเรียนหนักส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับดีสุด 10 อันดับแรก  ไม่ว่าจะเป็น   จีน  เกาหลีใต้  ญี่ปุ่น  ฮ่องกง  สิงค์โปร์   มีประเทศตะวันตกที่เข้ามาสอดแทรกได้อยู่ได้แก่  แคนาดา   ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์

ยกเว้นฟินแลนด์ที่อยู่อันดับ 1   ซึ่งมีระบบการศึกษาที่จำนวนครูต่อการดูแลเด็กจำนวนน้อยเพื่อให้คุณภาพออกมาทั่วถึงมากที่สุด   ซึ่งถือว่าเป็นระบบการศึกษาที่ต้องมีค่าใช้จ่ายมากที่สุด   การที่จะลอกเลียนแบบจึงไม่สามารถทำได้ในประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่

ฝรั่งเศสเมื่อเทียบกับเยอรมนี  จะเรียนหนักกว่า  ชั่วโมงเรียนยาวนานกว่า    เพราะฝรั่งเศสมีระบบที่แยกมหาลัยระดับ top-ranking university หรือ  Grandes écoles   ทั้งๆ ที่ฝรั่งเศสมีกฏหมายว่าทุกคนสามารถเข้าเรียนมหาลัยได้    แต่เนื่องจากมหาลัย Grandes écoles มีน้อยและรับนักศึกษาจำนวนจำกัดไม่เกิน 5000 คนต่อปี    ฉะนั้นจึงมีการแข่งขันในการเรียนระดับมัธยมอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน    มีการเรียนพิเศษไม่แตกต่างไปจากเมืองไทย    พ่อแม่ทุ่มเทสุดตัวทุกวิถีทางและไปนั่งเฝ้าหน้าห้องสอบเหมือนกัน    เพราะเด็กที่ผ่านมหาลัยประเภทนี้เท่านั้นที่จะขึ้นไปสู่ตำแหน่งระดับประเทศได้    คนที่สอบเข้าไม่ได้จึงผิดหวังหมดอาลัยกันไปทั้งครอบครัว   ถือว่าเป็นระบบการศึกษาของประเทศในยุโรปประเทศหนึ่งที่สร้างผลกระทบทางด้านจิตใจไม่ต่างไปจาก  ประเทศเอเชียตะวันออกอื่นๆ

เยอรมนีทุกวันนี้  ธุรกิจการสอนพิเศษกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากทุกปี   ปีหนึ่งๆ พ่อแม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ลูกเรียนพิเศษรวมแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยล้านยูโร   ทั้งๆ ที่ไม่ต้องมีการสอบเข้ามหาลัย    และเป็นธุรกิจที่บูมมากในครอบครัวฐานะปานกลางขึ้นไป    แต่เมื่อจำนวนนักศึกษาที่ต้องการเรียนในมหาลัยมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี  ยิ่งคณะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน  ได้แก่  แพทย์   วิศวฯ  วิทยาศาสตร์   เศรษฐศาสตร์   ซึ่งคนที่จะเรียนได้ผ่านต้องมีความรู้ระดับดีเด่นซึ่งต้องทำคะแนนมาแล้วตั้งแต่ระดับมัธยม    การเรียนพิเศษจึงมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ทั้งๆ ที่ในปรัชญาการศึกษาของเยอรมันนั้น    การเรียนรู้และศึกษาจะต้องลงมือพยายาม  คิดค้น  และพึ่งตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมยกตัวอย่างเด็กชายคนหนึ่ง    สมัยเมื่อเป็นเด็กที่ต้องทำการบ้านคณิตศาสตร์หลังเลิกเรียน   เนื่องจากที่บ้านทำธุรกิจผลิตอิฐจึงมีพนักงานทำงานในสำนักงานด้วย   และหนึ่งในนั้นคือพนักงานบัญชีหญิงคนหนึ่ง     ปู่ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานมอบหมายให้พนักงานบัญชีหญิงคนนี้ควบคุมดูแลเรื่องการบ้าน    เมื่อเด็กทำเสร็จ โดยที่หญิงคนนี้ไม่ช่วยเหลือเลย  บอกให้ทำเองก่อน   ก็เอางานไปให้ตรวจคำตอบ   เธอตรวจงานจำนวน 10 ข้อ  และส่งงานคืนมาให้และบอกว่ามีอยู่ 2  ข้อที่คำตอบผิด   ให้ไปจัดการหาทางแก้ไขโดยไม่บอกว่าผิดตรงไหน  และแก้ไขอย่างไร   จนเมื่อให้ลองทำเองแล้วเป็นเวลานานถ้ายังทำไม่ถูกต้อง   จึงจะบอกในที่สุด    นี่คือวิธีการสอนของคนเยอรมัน

ฉะนั้น  ใครก็ตามที่บอกว่าเด็กในประเทศตะวันตกไม่ต้องเคร่งเครียดกับการเรียนแล้วประสบความสำเร็จนั้น   ไม่เป็นความจริงแน่นอน   เพียงแต่ว่าการเรียนพิเศษในไทยที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้นั้น   เป็นความล้มเหลวทางการบริหารการศึกษาของประเทศไทยเอง   ที่ปล่อยในการศึกษากลายเป็นธุรกิจการค้าไปจนเลยเถิดเกินที่จะควบคุมได้   ผลลัพธ์การศึกษาจึงออกมาในทางตรงกันข้ามทั้งๆ ที่ต้องจ่ายเงินไปอย่างมหาศาล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่