พลันหลังจากที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานกุนซือของ ''ปีศาจแดง'' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศเตรียมวางแผงหนังสืออัตชีวประวัติเล่มใหม่ ''มาย ออโต้ไบโอกราฟฟี่'' (My Autobiography) หลายคนก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ทันที
ตลอดระยะเวลาเกือบ 30ปี ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่งตำแหน่งนายใหญ่อยู่ที่ โรงละครแห่งความฝัน นั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายทั้งที่ถูกเปิดเผยออกมาบ้าง หรือ ยังถูกเก็บเป็นความลับเพียงแค่ในห้องแต่งตัวของนักเตะเท่านั้น และเป็นที่ทราบกันดีว่าสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีใครใหญ่กว่าทีม มีนักเตะหลายคนที่ต้องแยกเส้นทางเดินกับท่านเซอร์ โดยที่ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คิดอย่างไรกับเรื่องนั้น
และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม หนังสือ "มาย ออโต้ไบโอกราฟฟี่" (My Autobiography) ก็ได้เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว และเป็นไปตามคาดมีนักเตะหลายคนถูกอดีตนายเก่าแฉกันออกมาพอสมควร ส่วนจะมีใครบ้างนั้นลองไปติดตามกันดูเป็นบางส่วนครับ
คนแรกคือ เดวิด เบ็คแฮม กองกลางคนสำคัญของทีมที่เคยได้ขึ้นชื่อเป็นลูกรักป๋าแบบสุดๆ คนหนึ่ง โดย เฟอร์กูสัน เขียนถึงกองกลางรูปหล่อรายนี้ว่า "นาทีที่นักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าผู้จัดการทีม เขาต้องไป และ เดวิด คิดว่าเขาใหญ่กว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดวิด เป็นนักเตะคนเดียวที่ผมเคยคุมและเลือกที่จะทำตัวให้มีชื่อเสียง ภารกิจของเขาคือการทำตัวให้เป็นที่รู้จักเวลาอยู่นอกสนาม ผมรู้สึกไม่ชอบใจกับชีวิตแบบนั้นของเขา"
แถมท่านเซอร์ยังแสดงความเห็นถึงกรณีที่ เดวิด เบ็คแฮม ตัดสินใจย้ายออกจาก เรอัล มาดริด เพื่อย้ายสู่ เมเจอร์ ลีก ที่ สหรัฐอเมริกา "มันไม่มีเหตุผลด้านฟุตบอลสำหรับเขากับการไปอเมริกา เขาทิ้งฟุตบอลระดับสูงเช่นเดียวกับเกมทีมชาติ คุณไม่ควรทิ้งสิ่งที่ดีๆ ของตัวเองไป"
รายต่อมาที่โดนแฉคือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ดายิงชาวดัตช์ ที่ยิงไปถึง 150ประตู ตลอดระยะเวลา5ปีในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แฉว่าเหตุที่ต้องขายหัวหอกรายนี้เพราะเริ่มทำตัวมีปัญหา และชอบมีเรื่องกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ่อยครั้ง
โดยปัญหาของ รุด ฟาน นิสเตลรอย เริ่มขึ้นตั้งแต่ เกมคาร์ลิ่ง คัพ รอบชิงชนะเลิศปี 2006 เกมที่ชนะ วีแกน แอธเลติก 4-0 ซึ่งเฟอร์กี้ ได้บอก รุด ว่าเขาจะไม่ถูกส่งลงสนาม เพราะอยากให้นักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายมากลางปี 2 คนลงไปสัมผัสเกม ซึ่งก็คือ เนมานย่า วิดิช กับ ปาทริซ เอวร่า เท่านั้นเอง ฟาน นิสเตลรอย ก็ด่าให้เจ้านายชาวสกอตต์ เป็นชุด
"ผมหันไปบอก รุด ว่า - เดี๋ยวชั้นจะส่งสองคนนี้ลงไปสัมผัสเกม - และ ฟาน นิสเตลรอย สบถออกมา ผมยังจำได้ไม่ลืม ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คาร์ลอส (เคยรอช) หันไปดุเขา และซุ้มสำรองก็เดือดขึ้นมา พวกนักเตะคนอื่นๆ พยายามสงบใจเขา บอกเขาว่า - ควบคุมตัวเองหน่อย" เฟอร์กูสัน กล่าว
กุนซือชาวสกอตต์ ยังยืนยันเรื่องที่ว่า รุด มีปัญหากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนั้นคือการจงใจเตะ โรนัลโด้ ตอนซ้อม จากนั้นก็เยาะเย้ยว่า "แกจะทำอะไรห๊า ? ไปฟ้องพ่องั้นเหรอ ?" โดย "พ่อ" ในความหมายของ รุด คือ คาร์ลอส เคยรอช ขณะที่พ่อบังเกิดเกล้าของ โรนัลโด้ เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานก่อนนี้
"ช่วงฤดูกาลสุดท้ายของเขามีปัญหากระทบกระทั่งเกิดขึ้น แต่หลักๆ เลยเป็นเรื่องของ ฟาน นิสเตลรอย กับ โรนัลโด้ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ทำไม รุด ถึงเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาอยากจะย้ายออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือเปล่า มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะสถิติของเขามันยอดเยี่ยมมาก แต่ปีสุดท้ายเขากลับเป็นเด็กดื้อ ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นขวัญใจ ณ เวลานั้น เรื่องราวความขัดแย้งของเขาเป็นเรื่องที่ดราม่ามาก"
อีกรายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวโจมตีอย่างหนักก็คือ มาร์ค บอสนิช อดีตผู้รักษาประตู ที่ป๋าคว้ามาเป็นตัวตายตัวแทน ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล แต่เจ้าตัวไม่มีความเป็นมืออาชีพทั้งกินอาหารเยอะเกินความจำเป็นและมาซ้อมสายเป็นประจำ
"มาร์ค บอสนิช ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย มีเกมหนึ่งที่เราต้องลงเล่นที่ วิมเบิลดัน แล้ว บอสนิช ก็ยัดทุกอย่างเข้าปาก ไม่ว่าจะเป็นแซนด์วิช, ซุป, สเต็ค เขากินครบทุกเมนูเลย แล้วผมก็ตำหนิเขาไปว่า -ให้ตายเหอะ มาร์ค เราอุตส่าห์ลดน้ำหนักให้นายได้แล้วนะ แล้วนายกินของพวกนั้นเข้าไปทำไมกัน ?- หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่ แมนเชสเตอร์ และ มาร์ค ก็โทรศัพท์ไปที่ภัตตาคารอาหารจีนเพื่อสั่งอาหารสำเร็จรูป ผมเลยพูดว่า -นายจะกินตลอดชาติเลยรึไง ?- ผมไม่สามารถสร้างผลกระทบกับเขาได้เลย"
"มาร์ค เริ่มต้นได้แย่มากๆ เขามาซ้อมสายตั้ง 3 ชั่วโมง แถมยังอ้วนเกินไปอีก เรามีช่วงเวลาที่แย่ในการพยายามหาตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูไม่ใช่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของผม ซึ่งพอเราได้ ฟาน เดอร์ ซาร์ มาร่วมทีมแล้วนั้น มันก็เป็นเรื่องที่วิเศษสุดๆ"
นอกจากผู้เล่นในทีมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โดนเขียนถึงในหนังสือแล้วยังมี ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือของ ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันเป็นนายใหญ่คุมทัพนาโปลีอยู่ที่อิตาลี ซึ่งมักมีปัญหากับ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่บ่อยครั้งเมื่อสมัยคุมทีมที่อังกฤษ ก็ยังโดนท่านเซอร์เขียนเหน็บลงหนังสือว่าเป็นพวกไร้จินตนาการเน้นแต่เกมรับทำให้ฟุตบอลไม่สนุก
"ทีมของ เบนิเตซ เป็น ลิเวอร์พูล ชุดที่ไร้จินตนาการมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เบนิเตซ ชอบคิดเรื่องการตั้งรับ และทำลายเกมการแข่งขัน มากกว่าจะชนะมัน ส่วนนักเตะที่เขาคว้ามาร่วมทีมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ นักเตะหลายคนไม่ใช่นักเตะตามมาตรฐานที่แท้จริงของ ลิเวอร์พูล เลย" เฟอร์กูสัน ระบุ โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวนั้น เขายังบอกด้วยว่า เบนิเตซ ไม่สนใจที่จะสร้างสัมพันธไมตรีกับกุนซือคนอื่นๆ มากเท่าไหร่ ซึ่งนั่นนับเป็นนโยบายที่อันตรายสุดๆ
ที่กล่าวมานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เรียกน้ำย่อยของหนังสือ "มาย ออโต้ไบโอกราฟฟี่" เท่านั้ง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าถ้าอ่านครบทั้งเล่มแล้วน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ถูกแฉขึ้นมาอีกครั้งรวมถึงเรื่องของ เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงร่างตันที่ดูเหมือนมีปัญหากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วอันเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตกุนซือของท่านเซอร์ ซึ่งหลายคนอยากรู้ความจริงว่าช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ใน My Autobiography ของเขาหรือเปล่า
credit : www.siamsport.co.th
[บทความผีแดง 2013-10-28] My Autobiography แค่โหมโรงก็แฉกันเพียบแล้ว
ตลอดระยะเวลาเกือบ 30ปี ที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นั่งตำแหน่งนายใหญ่อยู่ที่ โรงละครแห่งความฝัน นั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายทั้งที่ถูกเปิดเผยออกมาบ้าง หรือ ยังถูกเก็บเป็นความลับเพียงแค่ในห้องแต่งตัวของนักเตะเท่านั้น และเป็นที่ทราบกันดีว่าสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีใครใหญ่กว่าทีม มีนักเตะหลายคนที่ต้องแยกเส้นทางเดินกับท่านเซอร์ โดยที่ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริง และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คิดอย่างไรกับเรื่องนั้น
และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม หนังสือ "มาย ออโต้ไบโอกราฟฟี่" (My Autobiography) ก็ได้เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว และเป็นไปตามคาดมีนักเตะหลายคนถูกอดีตนายเก่าแฉกันออกมาพอสมควร ส่วนจะมีใครบ้างนั้นลองไปติดตามกันดูเป็นบางส่วนครับ
คนแรกคือ เดวิด เบ็คแฮม กองกลางคนสำคัญของทีมที่เคยได้ขึ้นชื่อเป็นลูกรักป๋าแบบสุดๆ คนหนึ่ง โดย เฟอร์กูสัน เขียนถึงกองกลางรูปหล่อรายนี้ว่า "นาทีที่นักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าผู้จัดการทีม เขาต้องไป และ เดวิด คิดว่าเขาใหญ่กว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดวิด เป็นนักเตะคนเดียวที่ผมเคยคุมและเลือกที่จะทำตัวให้มีชื่อเสียง ภารกิจของเขาคือการทำตัวให้เป็นที่รู้จักเวลาอยู่นอกสนาม ผมรู้สึกไม่ชอบใจกับชีวิตแบบนั้นของเขา"
แถมท่านเซอร์ยังแสดงความเห็นถึงกรณีที่ เดวิด เบ็คแฮม ตัดสินใจย้ายออกจาก เรอัล มาดริด เพื่อย้ายสู่ เมเจอร์ ลีก ที่ สหรัฐอเมริกา "มันไม่มีเหตุผลด้านฟุตบอลสำหรับเขากับการไปอเมริกา เขาทิ้งฟุตบอลระดับสูงเช่นเดียวกับเกมทีมชาติ คุณไม่ควรทิ้งสิ่งที่ดีๆ ของตัวเองไป"
รายต่อมาที่โดนแฉคือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ดายิงชาวดัตช์ ที่ยิงไปถึง 150ประตู ตลอดระยะเวลา5ปีในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แฉว่าเหตุที่ต้องขายหัวหอกรายนี้เพราะเริ่มทำตัวมีปัญหา และชอบมีเรื่องกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่บ่อยครั้ง
โดยปัญหาของ รุด ฟาน นิสเตลรอย เริ่มขึ้นตั้งแต่ เกมคาร์ลิ่ง คัพ รอบชิงชนะเลิศปี 2006 เกมที่ชนะ วีแกน แอธเลติก 4-0 ซึ่งเฟอร์กี้ ได้บอก รุด ว่าเขาจะไม่ถูกส่งลงสนาม เพราะอยากให้นักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายมากลางปี 2 คนลงไปสัมผัสเกม ซึ่งก็คือ เนมานย่า วิดิช กับ ปาทริซ เอวร่า เท่านั้นเอง ฟาน นิสเตลรอย ก็ด่าให้เจ้านายชาวสกอตต์ เป็นชุด
"ผมหันไปบอก รุด ว่า - เดี๋ยวชั้นจะส่งสองคนนี้ลงไปสัมผัสเกม - และ ฟาน นิสเตลรอย สบถออกมา ผมยังจำได้ไม่ลืม ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คาร์ลอส (เคยรอช) หันไปดุเขา และซุ้มสำรองก็เดือดขึ้นมา พวกนักเตะคนอื่นๆ พยายามสงบใจเขา บอกเขาว่า - ควบคุมตัวเองหน่อย" เฟอร์กูสัน กล่าว
กุนซือชาวสกอตต์ ยังยืนยันเรื่องที่ว่า รุด มีปัญหากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในนั้นคือการจงใจเตะ โรนัลโด้ ตอนซ้อม จากนั้นก็เยาะเย้ยว่า "แกจะทำอะไรห๊า ? ไปฟ้องพ่องั้นเหรอ ?" โดย "พ่อ" ในความหมายของ รุด คือ คาร์ลอส เคยรอช ขณะที่พ่อบังเกิดเกล้าของ โรนัลโด้ เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานก่อนนี้
"ช่วงฤดูกาลสุดท้ายของเขามีปัญหากระทบกระทั่งเกิดขึ้น แต่หลักๆ เลยเป็นเรื่องของ ฟาน นิสเตลรอย กับ โรนัลโด้ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ทำไม รุด ถึงเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาอยากจะย้ายออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือเปล่า มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะสถิติของเขามันยอดเยี่ยมมาก แต่ปีสุดท้ายเขากลับเป็นเด็กดื้อ ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นขวัญใจ ณ เวลานั้น เรื่องราวความขัดแย้งของเขาเป็นเรื่องที่ดราม่ามาก"
อีกรายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวโจมตีอย่างหนักก็คือ มาร์ค บอสนิช อดีตผู้รักษาประตู ที่ป๋าคว้ามาเป็นตัวตายตัวแทน ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล แต่เจ้าตัวไม่มีความเป็นมืออาชีพทั้งกินอาหารเยอะเกินความจำเป็นและมาซ้อมสายเป็นประจำ
"มาร์ค บอสนิช ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย มีเกมหนึ่งที่เราต้องลงเล่นที่ วิมเบิลดัน แล้ว บอสนิช ก็ยัดทุกอย่างเข้าปาก ไม่ว่าจะเป็นแซนด์วิช, ซุป, สเต็ค เขากินครบทุกเมนูเลย แล้วผมก็ตำหนิเขาไปว่า -ให้ตายเหอะ มาร์ค เราอุตส่าห์ลดน้ำหนักให้นายได้แล้วนะ แล้วนายกินของพวกนั้นเข้าไปทำไมกัน ?- หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่ แมนเชสเตอร์ และ มาร์ค ก็โทรศัพท์ไปที่ภัตตาคารอาหารจีนเพื่อสั่งอาหารสำเร็จรูป ผมเลยพูดว่า -นายจะกินตลอดชาติเลยรึไง ?- ผมไม่สามารถสร้างผลกระทบกับเขาได้เลย"
"มาร์ค เริ่มต้นได้แย่มากๆ เขามาซ้อมสายตั้ง 3 ชั่วโมง แถมยังอ้วนเกินไปอีก เรามีช่วงเวลาที่แย่ในการพยายามหาตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูไม่ใช่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของผม ซึ่งพอเราได้ ฟาน เดอร์ ซาร์ มาร่วมทีมแล้วนั้น มันก็เป็นเรื่องที่วิเศษสุดๆ"
นอกจากผู้เล่นในทีมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โดนเขียนถึงในหนังสือแล้วยังมี ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือของ ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันเป็นนายใหญ่คุมทัพนาโปลีอยู่ที่อิตาลี ซึ่งมักมีปัญหากับ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อยู่บ่อยครั้งเมื่อสมัยคุมทีมที่อังกฤษ ก็ยังโดนท่านเซอร์เขียนเหน็บลงหนังสือว่าเป็นพวกไร้จินตนาการเน้นแต่เกมรับทำให้ฟุตบอลไม่สนุก
"ทีมของ เบนิเตซ เป็น ลิเวอร์พูล ชุดที่ไร้จินตนาการมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เบนิเตซ ชอบคิดเรื่องการตั้งรับ และทำลายเกมการแข่งขัน มากกว่าจะชนะมัน ส่วนนักเตะที่เขาคว้ามาร่วมทีมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ นักเตะหลายคนไม่ใช่นักเตะตามมาตรฐานที่แท้จริงของ ลิเวอร์พูล เลย" เฟอร์กูสัน ระบุ โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวนั้น เขายังบอกด้วยว่า เบนิเตซ ไม่สนใจที่จะสร้างสัมพันธไมตรีกับกุนซือคนอื่นๆ มากเท่าไหร่ ซึ่งนั่นนับเป็นนโยบายที่อันตรายสุดๆ
ที่กล่าวมานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เรียกน้ำย่อยของหนังสือ "มาย ออโต้ไบโอกราฟฟี่" เท่านั้ง ซึ่งเชื่อได้เลยว่าถ้าอ่านครบทั้งเล่มแล้วน่าจะมีอีกหลายเรื่องที่ถูกแฉขึ้นมาอีกครั้งรวมถึงเรื่องของ เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงร่างตันที่ดูเหมือนมีปัญหากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วอันเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตกุนซือของท่านเซอร์ ซึ่งหลายคนอยากรู้ความจริงว่าช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ใน My Autobiography ของเขาหรือเปล่า
credit : www.siamsport.co.th