ฟังไอ้หมีแล้ว ลองมาฟัง ณรงค์ กิตติขจร เปิดใจบ้าง อะไรมันจะเหมือนกันขนาดนั้น
ข่าวจาก นสพ. ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 30 ส.ค. 2546
"ณรงค์ กิตติขจร" ปวดใจถูกเรียก "ทรราช" แฉเบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดผ่านหนังสือ "ลอกคราบ 14 ตุลาฯ ดักแด้ทางประวัติศาสตร์" อ้าง "พล.อ.กฤษณ์ ศรีวะรา" อยู่เบื้องหลังใช้ น.ศ.เป็นเครื่องมือล้มล้างรัฐบาล เผยปืนทุกกระบอกไม่มีกระสุน ส่วนศพวีรชนที่หาไม่เจอก็เพราะไม่มีใครตาย
ที่ชั้น 10 อาคารชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ได้มีงานเปิดตัวหนังสือ "ลอกคราบ 14 ตุลาฯ ดักแด้ทางประวัติศาสตร์" ที่เรียบเรียงโดยนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ ทั้งนี้งานดังกล่าวได้เชิญ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา พร้อมครอบครัว ประกอบด้วย นางสุภาพร กิตติขจร ภรรยา นางกรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา บุตรสาว พ.ต.กิจก้อง กิตติขจร บุตรชาย และนางวัลภา กิตติขจร ลูกสะใภ้ มาร่วมงาน ซึ่งหนังสือดังกล่าวจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บานชื่น มีกำหนดวางแผงขายในวันที่ 14 ตุลาคม อันเป็นวันครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์นองเลือด
ภายในงานได้มีการเปิดเผยถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่อ้างว่าไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน โดย พ.อ.ณรงค์กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา เขาได้ชื่อว่าเป็นอัศวินม้าขาว แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นทรราช พร้อมทั้งเปิดเผยผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดว่าไม่ใช่ตนเอง แต่เพราะมีผู้ที่ไม่หวังดีกลุ่มหนึ่งอยากขึ้นสู่อำนาจ อาทิ พล.อ.กฤษณ์ ศรีวะรา พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ พล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร โดย พล.อ.กฤษณ์เป็นคนสั่งให้ พล.ต.อ.ประจวบ ใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือให้ก่อเหตุความวุ่นวาย เป็นการสร้างแรงกดดันเพื่อนำมาสู่การล้มล้างรัฐบาล
พ.อ.ณรงค์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หนังสือส่วนใหญ่ระบุว่า ตัวเขาเป็นผู้ขับเฮลิคอปเตอร์ กราดยิงฝูงชนที่ชุมนุม ว่าไม่เป็นความจริง เพราะเฮลิคอปเตอร์ที่ขับนั้นเป็นเครื่อง ที่ใช้สำหรับตรวจการณ์ ไม่ใช่เครื่องสำหรับยิงต่อสู้ รวมทั้งไม่มีปืนติดบนเครื่องด้วย นอกจากนี้ทหารที่ควบคุมเหตุการณ์ทุกนายก็มีเฉพาะปืน แต่ไม่มีกระสุน แม้แต่รถถังก็ไม่มีกระสุนและดินปืน
ทายาทจอมพลถนอมระบุว่า ในวันเกิดเหตุยืนยันว่ามีทหารพรานจากอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ภายใต้การนำของ พล.ท.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ดักซุ่มยิงกลุ่มผู้ชุมนุมจากดาดฟ้าอาคารกรมสรรพากร แต่หลังเหตุการณ์ปรากฏว่ามีการเผาทำลายเอกสารหลักฐานสำคัญหลายอย่าง อาทิ เอกสารห้ามยิงที่ตอนนี้เหลือเพียงสำเนา รวมทั้งเทปที่บันทึกเสียงการติดต่อสื่อสาร และสั่งการจากเฮลิคอปเตอร์ที่ตนขับก็หายไปด้วย ซึ่งจากการสอบสวนกรณีที่กล่าวหาตนว่า กราดยิงผู้ชุมนุมจากเฮลิคอปเตอร์ โดยตรวจสอบรอยกระสุนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งตามตัวอาคารและต้นไม้ต่างๆ ก็ไม่พบร่องรอยกระสุนแต่อย่างใด นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2521 กองบินทหารบกที่ จ.ลพบุรี ได้จัดฉากสร้างหุ่นขนาดเท่าคนจริงวางไว้รอบๆ เชิงเขาประมาณ 400 ตัว แล้วให้เฮลิคอปเตอร์กราดยิงลงมา ใช้เวลาในการยิงราว 5 นาที ปรากฏว่ากระสุนยิงโดนหุ่นหมดทุกตัว แสดงให้เห็นว่าในวันนั้นถ้าตนใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจริง ผู้ชุมนุมที่อยู่จะต้องตายกันหมดทุกคน
"ที่ผ่านมา ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าเป็นการกระทบเบื้องสูง แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องออกมาพูดบ้าง"
พ.อ.ณรงค์ยังชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่ว่า ตระกูลกิตติขจร และจารุเสถียร หลบหนีไปต่างประเทศภายหลังเหตุการณ์สงบว่า เช้ามืดของวันที่ 15 ต.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีรับสั่งให้ตน และจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ไปพักผ่อนต่างประเทศชั่วคราว จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย ตนจึงจำเป็นต้องทำตามพระบรมราชโองการ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกระด้างกระเดื่อง แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยกลับเข้าใจว่าตนหนีไป ซึ่งถ้าตนหนีไปจริงทางกองทัพ คงไม่จัดเครื่องบินสำหรับการเดินทางในครั้งนั้นแน่ ทั้งนี้ ตัวเขา จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ได้เดินทางไปที่ประเทศไต้หวันด้วยกัน แต่อยู่ที่นั่นได้เพียง 1 เดือน ทางการไต้หวันได้แจ้งให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะได้รับการร้องขอจากประเทศไทย ให้ตนออกจากประเทศ มิเช่นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย ของสถานทูตไต้หวันในประเทศไทย
คำสั่งดังกล่าวทำให้ตนแปลกใจมาก ว่าทำไมต้องให้ตนออกจากไต้หวันเพียงคนเดียวเท่านั้น เข้าใจว่าคงเพราะทางการไทยต้องการแยกไม่ให้ตนและพวกอยู่ด้วยกัน จึงตัดสินใจไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นได้แค่คืนเดียว ก็ต้องย้ายไปอยู่ประเทศเกาหลี แต่อยู่ได้เพียง 1 เดือนก็ต้องออกนอกประเทศอีกด้วยเหตุผลเดิม ในที่สุดจึงไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ระหว่างอยู่ที่นั่นต้องทำมาหากินเอง จนกระทั่งเหตุการณ์คลี่คลายลง ตนจึงกลับมาเป็นคนสุดท้ายของคณะ
ส่วนการที่สังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันตั้งข้อสงสัยว่าศพนักศึกษาที่เสียชีวิตในขณะนั้นหายไปไหน พ.อ.ณรงค์กล่าวว่า ความจริงคือผู้ชุมนุมไม่มีใครเสียชีวิตเลย แต่ในหนังสือเผาศพที่มีการแจก ที่สนามหลวงก็เขียนไว้ว่ามีศพเป็นหมื่นๆ ทั้งที่มีศพที่ต้องเผาจริงเพียง 70 ศพเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ตายเพราะสาเหตุอื่น เช่น ป่วยตาย จมน้ำตาย รถชนตาย เป็นต้น ส่วนอาคาร กตป.ที่ถูกเผา เป็นเพราะตนได้เก็บเอกสารสำคัญเกี่ยวกับเงินภาษีของรัฐเอาไว้ และมีคนถูกจ้างมาให้เผา ไม่ใช่ฝีมือของนักศึกษา และทำให้ภารโรงที่ดูแลอยู่หนีออกมาไม่ทัน เพราะขาเป๋จึงถูกไฟคลอกตาย กลายเป็นวีรชนที่ถูกจารึกชื่ออยู่ในปัจจุบัน ตนจึงเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ต้องเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้
ในตอนท้าย พ.อ.ณรงค์ยังกล่าวถึงการที่รัฐสภามีมติให้ตั้งชื่อวันที่ 14 ต.ค.เป็นวัน "14 ตุลาประชาธิปไตย" ว่า การใช้ชื่อดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทย มีวันประชาธิปไตย 2 ครั้งในหนึ่งปี คือ วันที่ 24 มิถุนายน และวันที่ 14 ตุลาคม จึงเห็นน่าจะใช้ชื่อว่า "วันมหาวิปโยค"
สำหรับวัตถุประสงค์ ของการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวนั้น นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระในฐานะผู้เรียบเรียงระบุว่า ต้องการชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ไทย ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายอย่างที่ยังไม่เปิดเผย จึงต้องการนำข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านั้นที่ยังไม่เปิดเผยเหล่านี้ ให้ปรากฏออกมาเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน โดยเฉพาะเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ยังมีชีวิตอยู่บางส่วน อีกทั้งก่อนที่จะบรรจุประวัติศาสตร์เดือนตุลา ไว้เป็นแบบเรียนของนักเรียน นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศ ก็ควรจะชำระประวัติศาสตร์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน โดยเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์มาให้ข้อมูลร่วมกัน เพราะหากบรรจุเป็นแบบเรียนไปแล้ว พบข้อผิดพลาดภายหลังการแก้ไขคงเป็นเรื่องยาก
http://forum.banrasdr.com/showthread.php?tid=18887
@@@" ทรราช" เท่านั้นที่เข้าในใน " ทรราช " @@@
ข่าวจาก นสพ. ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 30 ส.ค. 2546
"ณรงค์ กิตติขจร" ปวดใจถูกเรียก "ทรราช" แฉเบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดผ่านหนังสือ "ลอกคราบ 14 ตุลาฯ ดักแด้ทางประวัติศาสตร์" อ้าง "พล.อ.กฤษณ์ ศรีวะรา" อยู่เบื้องหลังใช้ น.ศ.เป็นเครื่องมือล้มล้างรัฐบาล เผยปืนทุกกระบอกไม่มีกระสุน ส่วนศพวีรชนที่หาไม่เจอก็เพราะไม่มีใครตาย
ที่ชั้น 10 อาคารชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ได้มีงานเปิดตัวหนังสือ "ลอกคราบ 14 ตุลาฯ ดักแด้ทางประวัติศาสตร์" ที่เรียบเรียงโดยนายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ ทั้งนี้งานดังกล่าวได้เชิญ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร บุตรชายจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา พร้อมครอบครัว ประกอบด้วย นางสุภาพร กิตติขจร ภรรยา นางกรองกาญจน์ ดิศกุล ณ อยุธยา บุตรสาว พ.ต.กิจก้อง กิตติขจร บุตรชาย และนางวัลภา กิตติขจร ลูกสะใภ้ มาร่วมงาน ซึ่งหนังสือดังกล่าวจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บานชื่น มีกำหนดวางแผงขายในวันที่ 14 ตุลาคม อันเป็นวันครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์นองเลือด
ภายในงานได้มีการเปิดเผยถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่อ้างว่าไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน โดย พ.อ.ณรงค์กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา เขาได้ชื่อว่าเป็นอัศวินม้าขาว แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นทรราช พร้อมทั้งเปิดเผยผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดว่าไม่ใช่ตนเอง แต่เพราะมีผู้ที่ไม่หวังดีกลุ่มหนึ่งอยากขึ้นสู่อำนาจ อาทิ พล.อ.กฤษณ์ ศรีวะรา พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ พล.ต.อ.ประจวบ สุนทรางกูร โดย พล.อ.กฤษณ์เป็นคนสั่งให้ พล.ต.อ.ประจวบ ใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือให้ก่อเหตุความวุ่นวาย เป็นการสร้างแรงกดดันเพื่อนำมาสู่การล้มล้างรัฐบาล
พ.อ.ณรงค์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หนังสือส่วนใหญ่ระบุว่า ตัวเขาเป็นผู้ขับเฮลิคอปเตอร์ กราดยิงฝูงชนที่ชุมนุม ว่าไม่เป็นความจริง เพราะเฮลิคอปเตอร์ที่ขับนั้นเป็นเครื่อง ที่ใช้สำหรับตรวจการณ์ ไม่ใช่เครื่องสำหรับยิงต่อสู้ รวมทั้งไม่มีปืนติดบนเครื่องด้วย นอกจากนี้ทหารที่ควบคุมเหตุการณ์ทุกนายก็มีเฉพาะปืน แต่ไม่มีกระสุน แม้แต่รถถังก็ไม่มีกระสุนและดินปืน
ทายาทจอมพลถนอมระบุว่า ในวันเกิดเหตุยืนยันว่ามีทหารพรานจากอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ภายใต้การนำของ พล.ท.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ ดักซุ่มยิงกลุ่มผู้ชุมนุมจากดาดฟ้าอาคารกรมสรรพากร แต่หลังเหตุการณ์ปรากฏว่ามีการเผาทำลายเอกสารหลักฐานสำคัญหลายอย่าง อาทิ เอกสารห้ามยิงที่ตอนนี้เหลือเพียงสำเนา รวมทั้งเทปที่บันทึกเสียงการติดต่อสื่อสาร และสั่งการจากเฮลิคอปเตอร์ที่ตนขับก็หายไปด้วย ซึ่งจากการสอบสวนกรณีที่กล่าวหาตนว่า กราดยิงผู้ชุมนุมจากเฮลิคอปเตอร์ โดยตรวจสอบรอยกระสุนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งตามตัวอาคารและต้นไม้ต่างๆ ก็ไม่พบร่องรอยกระสุนแต่อย่างใด นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2521 กองบินทหารบกที่ จ.ลพบุรี ได้จัดฉากสร้างหุ่นขนาดเท่าคนจริงวางไว้รอบๆ เชิงเขาประมาณ 400 ตัว แล้วให้เฮลิคอปเตอร์กราดยิงลงมา ใช้เวลาในการยิงราว 5 นาที ปรากฏว่ากระสุนยิงโดนหุ่นหมดทุกตัว แสดงให้เห็นว่าในวันนั้นถ้าตนใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมจริง ผู้ชุมนุมที่อยู่จะต้องตายกันหมดทุกคน
"ที่ผ่านมา ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าเป็นการกระทบเบื้องสูง แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องออกมาพูดบ้าง"
พ.อ.ณรงค์ยังชี้แจงถึงข้อกล่าวหาที่ว่า ตระกูลกิตติขจร และจารุเสถียร หลบหนีไปต่างประเทศภายหลังเหตุการณ์สงบว่า เช้ามืดของวันที่ 15 ต.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีรับสั่งให้ตน และจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ไปพักผ่อนต่างประเทศชั่วคราว จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย ตนจึงจำเป็นต้องทำตามพระบรมราชโองการ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกระด้างกระเดื่อง แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยกลับเข้าใจว่าตนหนีไป ซึ่งถ้าตนหนีไปจริงทางกองทัพ คงไม่จัดเครื่องบินสำหรับการเดินทางในครั้งนั้นแน่ ทั้งนี้ ตัวเขา จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ได้เดินทางไปที่ประเทศไต้หวันด้วยกัน แต่อยู่ที่นั่นได้เพียง 1 เดือน ทางการไต้หวันได้แจ้งให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะได้รับการร้องขอจากประเทศไทย ให้ตนออกจากประเทศ มิเช่นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย ของสถานทูตไต้หวันในประเทศไทย
คำสั่งดังกล่าวทำให้ตนแปลกใจมาก ว่าทำไมต้องให้ตนออกจากไต้หวันเพียงคนเดียวเท่านั้น เข้าใจว่าคงเพราะทางการไทยต้องการแยกไม่ให้ตนและพวกอยู่ด้วยกัน จึงตัดสินใจไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นได้แค่คืนเดียว ก็ต้องย้ายไปอยู่ประเทศเกาหลี แต่อยู่ได้เพียง 1 เดือนก็ต้องออกนอกประเทศอีกด้วยเหตุผลเดิม ในที่สุดจึงไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ระหว่างอยู่ที่นั่นต้องทำมาหากินเอง จนกระทั่งเหตุการณ์คลี่คลายลง ตนจึงกลับมาเป็นคนสุดท้ายของคณะ
ส่วนการที่สังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบันตั้งข้อสงสัยว่าศพนักศึกษาที่เสียชีวิตในขณะนั้นหายไปไหน พ.อ.ณรงค์กล่าวว่า ความจริงคือผู้ชุมนุมไม่มีใครเสียชีวิตเลย แต่ในหนังสือเผาศพที่มีการแจก ที่สนามหลวงก็เขียนไว้ว่ามีศพเป็นหมื่นๆ ทั้งที่มีศพที่ต้องเผาจริงเพียง 70 ศพเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ตายเพราะสาเหตุอื่น เช่น ป่วยตาย จมน้ำตาย รถชนตาย เป็นต้น ส่วนอาคาร กตป.ที่ถูกเผา เป็นเพราะตนได้เก็บเอกสารสำคัญเกี่ยวกับเงินภาษีของรัฐเอาไว้ และมีคนถูกจ้างมาให้เผา ไม่ใช่ฝีมือของนักศึกษา และทำให้ภารโรงที่ดูแลอยู่หนีออกมาไม่ทัน เพราะขาเป๋จึงถูกไฟคลอกตาย กลายเป็นวีรชนที่ถูกจารึกชื่ออยู่ในปัจจุบัน ตนจึงเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ต้องเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้
ในตอนท้าย พ.อ.ณรงค์ยังกล่าวถึงการที่รัฐสภามีมติให้ตั้งชื่อวันที่ 14 ต.ค.เป็นวัน "14 ตุลาประชาธิปไตย" ว่า การใช้ชื่อดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทย มีวันประชาธิปไตย 2 ครั้งในหนึ่งปี คือ วันที่ 24 มิถุนายน และวันที่ 14 ตุลาคม จึงเห็นน่าจะใช้ชื่อว่า "วันมหาวิปโยค"
สำหรับวัตถุประสงค์ ของการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวนั้น นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระในฐานะผู้เรียบเรียงระบุว่า ต้องการชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ไทย ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายอย่างที่ยังไม่เปิดเผย จึงต้องการนำข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านั้นที่ยังไม่เปิดเผยเหล่านี้ ให้ปรากฏออกมาเป็นที่รับรู้ของสาธารณชน โดยเฉพาะเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ยังมีชีวิตอยู่บางส่วน อีกทั้งก่อนที่จะบรรจุประวัติศาสตร์เดือนตุลา ไว้เป็นแบบเรียนของนักเรียน นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศ ก็ควรจะชำระประวัติศาสตร์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน โดยเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์มาให้ข้อมูลร่วมกัน เพราะหากบรรจุเป็นแบบเรียนไปแล้ว พบข้อผิดพลาดภายหลังการแก้ไขคงเป็นเรื่องยาก
http://forum.banrasdr.com/showthread.php?tid=18887