มองต่ำเราเหลือ มองเหนือเราขาด มองแต่พอดีเรามีความสุข ........

วันนี้มีเวลาว่างจากการทำงาน ไม่ได้หยุดหรอกนะครับ แฮ่ะๆ..... แต่มันเงียบๆ เลยมีเวลามานั่งคิดโน่นคิดนี่ อยากจะมาแชร์ประสพการณ์ การใช้ชีวิต และ การทำงาน ของผมและภรรยา บ้างนะครับ ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาก็พอสมควร เผื่อว่าประสพการณ์ของผมจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆน้องๆ บ้างนะครับ
ผมกับภรรยา มีพื้นฐานทางครอบครัวในช่วงวัยเด็กค่อนข้างจะที่ต่างกันพอสมควรเลยนะครับ

เริ่มจากครอบครัวของผมก่อนนะครับ
  ครอบครัวทางพ่อ-แม่ผมจะเป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ค่อนไปทางดี แต่ญาติๆของครอบครัวพ่อผม ฐานะดีมากๆ อยู่ในฐานะเศรษฐี มีธุรกิจใหญ่โต ถ้าเทียบกับฐานะทางบ้านผมกับญาติๆ ถือว่าห่างชั้นกันมากๆครับ บ้านผมในช่วงนั้นเป็นอาคารพาณิชย์  2 คูหา ใช้อยู่อาศัยและทำการค้าขาย ไปในตัว แต่ พ่อ-แม่ ของผม ท่านก็ดูแลพวกผมและน้องๆอย่างดี มีเวลาให้ตลอดเวลา เรื่องเรียน ผมก็มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนวัด(ฝรั่ง) ได้เรียนพิเศษ มีโอกาสไปเที่ยวบ้างตามเวลาที่ท่านจะว่างจากกิจการงาน ส่วนผมเองก็จะถือว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับชีวิตของชนชั้นเศรษฐี เพราะทางคุณป้าๆทั้งหลายจะเอ็นดูผมเป็นพิเศษ (ตอนเด็กๆผมพูดจาเก่ง และ เป็นเด็กร่าเริง และลูกๆของป้าก็รุ่นๆเดียวกันหลายคนเลยครับ) ผมจึงมีโอกาสได้ไปพักตามบ้านญาติๆในช่วงปิดเทอม บางครั้ง ผมไปพักอยู่กับเขาเป็นเดือน

  พ่อ และ แม่ ผมจะสอนเสมอว่าถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รวยเท่าเขา แต่เราก็ควรมีศักดิ์ศรีของเราเอง พ่อ แม่ ผม ไม่เคยคิดจะพึ่งพาญาติๆในด้านการเงิน ทั้งในด้านการค้า และ การใช้ชีวิต หากเป็นการไปเที่ยว หรือ สังสรรค์ทานข้าวด้วยกันก็จะต้องแชร์เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆเสมอ ไม่ใช่คิดว่าเขารวยกว่า เวลามีเฮไหนก็ตามเฮไปด้วย ทำแบบนั้นเขาจะดูถูกเราได้ ผมเพิ่งมาเข้าใจทีหลังว่าทำไมช่วงหลังๆจึงไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับทางญาติๆ อาจจะด้วย คชจ. ที่สูง และ life style ที่อาจจะแตกต่างกัน

  จำได้ว่าในช่วงเวลานั้น (ประมาณ ป.4-6 มั๊งครับ) ผมจะได้ไปพักบ้านคุณป้าผม ที่จะเป็นเดี่ยวหรูๆมีสระว่ายน้ำ มีที่ขี่จักรยานเล่น ได้กินอาหารญี่ปุ่น พิซซ่า ได้ไป ว่ายน้ำ เล่นกีฬาตามโปโลคลับฯลฯ (สมัยนั้นถือเป็นของแพงและยังไม่มีแพร่หลายเหมือนปัจจุบันนะครับ) ผมโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่ญาติๆที่ผมสนิทด้วยเป็นคนที่ไม่ดูถูกคน หรือ อาจจะเป็นเพราะว่าเราโตมาด้วยกันเลยไม่ได้คิดอะไรกันมากมั๊งครับ มีของเล่นใหม่ๆก็แบ่งกันเล่นสนุกตามประสาเด็กผู้ชาย ไม่เคยต้องเป็นลูกไล่ของใคร (อันนี้แม่ผมคอยสอนเสมอว่า ผิดว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก เราไม่ได้ไปขอใคร ให้มีความเป็นตัวของตัวเองไว้) หลังจากที่สนิทกันมากเมื่อยามเด็ก หลังๆ ลูกๆของทางป้า ก็ขอมาค้างที่บ้านผมบ้าง ซึ่งพ่อ แม่ ผมก็ยินดีที่หลานๆจะมาค้างที่บ้านเราบ้าง ผมพาพวกเขาไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวๆบ้าน ไปนั่งรถเมล์เที่ยวซื้อของ นั่งดูทีวีกันที่บ้าน เชื่อหรือไม่ครับ จนถึงตอนนี้ที่ต่างคนต่างเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวกันแล้ว เวลาได้มีโอกาสเจอกัน ลูกพี่ลูกน้อง ผมยังพูดถึงเรื่องที่เขามาค้างที่บ้านผมและบอกว่าเขาสนุกมากที่มาค้างกับผม และ ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้เลยครับ

  หลังจากที่เราเริ่มโตๆเป็นวัยรุ่นกัน ผมก็ไม่ค่อยได้ไปค้างที่บ้านของคุณป้าแล้ว แต่ก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ ในช่วงเรียน มหาลัยฯ ญาติๆผมก็มีรถเบนซ์สปอร์ท + บีเอ็มฯ ขับกันคนละ คัน (2 พี่น้อง) ส่วนผมย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เมื่อช่วง ม.ปลาย จนจบ ป.ตรี (ช่วงแรกๆตอนอยู่ high school ก็ไปอาศัยอยู่กับญาติทางแม่ คุณน้า ที่ย้ายไปอยู่ที่โน่นอีกแหละครับ ญาติเยอะครับ อิ อิ)
  ผมเคยมานึกๆดูว่าเคยอิจฉาญาติๆไหม ที่เขาสามารถมีทุกอย่างได้โดยง่ายๆ ผมตอบแบบไม่โลกสวยเลยนะครับว่า เคยครับ มีครั้งหนึ่งที่ผมอยากได้ คอมพิวเตอร์ส่วนตัว มากเลยครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Apple มี คอมพิวเตอร์ส่วนตัวออกมา เป็น Apple I และ Apple II ผมได้ลองเล่นที่บ้านของญาติผมและมันจะมีเกมส์ต่างๆที่ล้ำมากในสมัยนั้น เช่น พวก Karateka Packman ฯลฯ  ผมอยากได้มากๆ และมาขอให้ซื้อให้บ้าง แต่พ่อผมไม่ได้ซื้อให้ เนื่องจากราคามันถือว่าสูงมากในสมัยนั้น ผมแอบไปร้องให้น้อยใจที่พ่อผมไม่ได้ซื้อให้ (ตอนนั้นโตพอควรแล้วนะครับ เป็นวัยรุ่นมั๊ง เลยอารมณ์ผันผวน อิ อิ) แต่ในภายหลังผมมาทราบว่าท่านจะส่งผมไปเรียนต่อ ตปท. จึงไม่ได้ซื้อให้ เพราะคงมี คชจ. หลายๆอย่างที่ต้องเก็บไว้เพื่อใช้ในการเรียนของผม หลังจากนั้น ผมไม่เคยคิดน้อยใจแบบนั้นอีกเลยครับ

  ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบหลายหลายนั้นมันเป็นอย่างไร ได้เคยอยู่ในจุดที่สูง มองลงมาข้างล่าง เคยมองมาข้างล่างขึ้นไปข้างบน แต่ผมคิดว่าความสุขหรือความพอดีจะอยู่ที่จิตใจของเราต่างหากนะครับ รวย-จน อะไรเป็น บรรทัดฐาน? คนที่มีแสน ก็ว่าคนที่มี ล้านรวย คนที่มีล้านก็ว่าคนมี สิบล้านรวย คนมีสิบล้านก็ว่า ร้อยล้านรวย ผมว่ามันจะจบถ้าเราเลือกที่จะสุขและพอใจในตัวเราเอง ผมไม่ได้หมายถึงให้พอใจแล้วหยุดทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ โลกแห่งความจริงเราคงยังต้องมีสังคมที่จะดำรงอยู่ ต้อง กิน ต้องใช้ แต่หากเราเริ่มที่จะคิดและมองหาจุดสมดุลของเราก่อน เราก็จะไม่ต้องเสียเงินและทรัพยากรในการพยายามควานหาและตามให้ทันกับค่านิยมของสังคม แล้วเริ่มสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับคนที่เรารัก  

  ตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ถือว่ามีฐานะที่มั่นคง มีครอบครัวที่รักผม และ แน่นอนที่ญาติๆสนิทของผมก็ยิ่งรวยขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ผมเลือกที่จะมองในเส้นทางข้างหน้าของผมและครอบครัว แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมาย แต่พอเพียงในจุดที่เรายืนอยู่ อยากเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่กำลังสร้างครอบครัวอยู่นะครับ อยากให้ลองมองถึงอนาคต และ เริ่มเก็บออมเพื่อวันข้างหน้า ผมเชื่อว่าคนส่วนมากในสังคมไม่ได้เกิดมาพร้อมเงินทอง และ ต้นทุนทางสังคมที่มากมายเท่ากัน แต่เราเลือกที่จะมีความสุขในจุดที่เรายืนอยู่ได้นะครับ อย่าละทิ้งความฝัน แต่ต้องพยายามเพื่อให้ได้มันมาด้วยนะครับ

  เขียนมาซะยาวเลยครับ ขอจบในช่วงนี้ก่อนนะครับ ไว้จะมาเล่าส่วนของครอบครัว ภรรยา ผมบ้าง ขานั้นโลดโผนกว่าของผมเยอะครับ
เพื่อนๆ น้องๆ ใครมีประสพการณ์มาแชร์หรือพูดคุย ก็ยินดีนะครับ อมยิ้ม17
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่