จากกระทู้
http://ppantip.com/topic/31107494 ประกวดถ่ายภาพ ตามหา "บั้งไฟพญานาคของจริง"
เนื่องจากกระทู้ตกไปจากหน้ากระทู้แนะนำแล้ว ผมเลยขอตั้งกระทู้ใหม่นะครับ เผื่อใครมีภาพบั้งไฟพญานาค "ของจริง" (นิยามถึง ลูกไฟประหลาดที่ขึ้นจากกลางลำน้ำ แล้วพุ่งขึ้นฟ้าเป็นลูกสีแดง สูงเป็นสิบๆ เมตรได้) จะส่งประกวดก็ขอเชิญมาแปะส่งงานในกระทู้นี้ครับ .... ส่วนท่านที่อุตส่าห์ไปทริปนี้แล้ว มีภาพสวยๆ เด็ดๆ อยากมาโชว์พร้อมเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ก็ขอเชิญครับ
ผมขอเล่าในส่วนของผมด้วยคน ซึ่งปีนี้ผมได้รับเชิญจากทีมคณะถ่ายทำหนังสารคดีทีมหนึ่ง ไปร่วมพิสูจน์บั้งไฟพญานาคด้วย ซึ่งเค้าได้วางกองถ่ายสังเกตการณ์ไว้หลายที่มากตลอดลำน้ำโขง ประมาณ 10 กองได้ ตั้งแต่ จ.หนองคาย ช่วง อ. โพนพิสัย อ. รัตนวาปี อ. ปากคาด แก่งอาฮง ไปจนถึงบึงโขงหลง (มีคุณหมอมนัส ที่เป็นเจ้าของทฤษฎีบั้งไฟจากแก๊ซธรรมชาติ อาสาไปดูตรงนั้น) และไปสุดที่บ้านท่าสีไค จ. บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่นิยมไปดูบั้งไฟพญานาคกัน (สมภพ เจ้าเก่า ที่เป็นเจ้าของเทคนิคการถ่ายภาพบั้งไฟแบบเปิดหน้ากล้องนาน เป็นคนแรก ไปดูที่นั้น)
ผมนั่งเครื่องนกแอร์ไปลงที่อุดรธานีตอนเที่ยงๆ นั่งรถตู้ต่ออย่างหฤโหดมาก เพราะรถก็ติดหนักมากแถวๆ รัตนวาปี (บ้านท่าม่วง บ้านตาลชุม ที่คนไปดูกันเยอะๆ ) และก็ทางก็วิบากมาก กว่าจะไปถึงที่บ้านท่าสีไค ซึ่งผมนัด "สมภพ" ว่าจะไปดูเค้าตั้งกล้อง dSLR เพื่อถ่ายรูปบั้งไฟพญานาคที่นั่น แทนที่ผมจะไปในที่คนดูกันเยอะๆ อย่างที่รัตนวาปีเพราะมีคนว่าถ้าอยากดู "บั้งไฟของจริง" ต้องไปดูในที่ๆ คนไม่มากนัก ให้เป็นธรรมชาติๆ หน่อย
กว่าจะไปถึงที่บ้านท่าสีไค ก็สองทุ่มกว่าแล้ว และคนก็เต็มไปหมดเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี โชคดีว่าผมยังได้ SMS สุดท้ายที่สมภพทิ้งไว้ และก็เดินจนหาเจอคนใส่เสื้อยืด "หว้ากอ พันทิป" อยู่ในศาลาตั้งกล้องเอาไว้ 2 ตัวสำหรับจับภาพจาก 2 ทิศทางให้ครบทั้งแนวภูเขาแถวนั้น ความมืดของพื้นที่แถวนั้นน่าจะประมาณในรูปนี้ คือท้องน้ำพอจะเห็นแสงสะท้อนของดวงจันทร์บ้าง แต่ไม่เยอะ หมู่บ้านฝั่งลาวฝั่งตรงข้ามแทบไม่เห็นแสงอะไรมาก ไม่ได้มีคนแห่มาดูกันเยอะเหมือนทางฝั่งไทยซึ่งคนแถวนี้แห่กันมา
โชคดีว่าตอนไปถึง แม้จะดึกแล้ว แต่บั้งไฟพญานาคยังไม่ขึ้นเลย (มีรายงานมาว่า ทางรัตนวาปีขึ้นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง และขึ้นเยอะด้วย) ผมเริ่มให้สัมภาษณ์กับทางกองถ่ายไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเฮกัน มองขึ้นไปเห็นบั้งไฟลูกแรกขึ้นอยู่บนฟ้าแล้ว เป็นสีแดงสดคล้ายกับแสงเลเซอร์พ้อยเตอร์ลอยไปทางซ้ายไม่นานก็หายไป .... บอกตามตรงว่าตื่นเต้นที่ได้เห็น แต่ผิดหวังนิดหน่อยที่คิดว่ามันเป็นดวงเรืองๆ เหมือนที่เห็นในภาพจากคลิปวิดีโอ นี่มันดูเป็นประกายระยิบๆ เป็นมีสารเคมีเผาไฟชัดเจน
ผมให้สัมภาษณ์กับกองถ่าย สลับกับเข้าไปสัมภาษณ์สมภพในศาลา และก็วิ่งออกมายืนดูข้างนอกเป็นระยะๆ .... เดาใจไม่ค่อยถูกว่ามันจะขึ้นมาตอนไหน ตรงไหน ... ตลอดคืนนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ที่ต้องลุ้นว่าจะเห็นทันมั้ยว่าลูกไฟไปทางไหน และที่สำคัญ มันขึ้นมาจากไหน สิ่งที่ผมและทีมงาน สังเกตได้ก็คือ
- มันไปซ้ายที ไปขวาที กลับมาตรงกลางที สลับกันไปมา
- ส่วนใหญ่ขึ้นแค่ลูกเดียว แล้วหายไปนานๆ อย่างน้อย 3-5 นาทีถึงมาใหม่ บางลูกห่างกันถึง 20 นาที
- แค่ลูกที่ 2 ที่ 3 ก็เริ่มเห็นแล้วล่ะว่ามันเหมือนขึ้นมาจากหุบเขาตรงหน้าเรา มากกว่าจะมาจากน้ำ (แต่ชาวบ้านเค้าบอกว่าขึ้นจากน้ำกันเฮะ)
- พอเราเริ่มหาจุดเจอว่าจะจ้องดูตรงไหน ประมาณลูกที่ 5 ที่ 6 ก็เริ่มเห็นชัดถึงจังหวะที่มันขึ้น เพราะมีประกายไฟแว้บๆ อยู่ที่ฝั่งโน้นด้วย
ผมอดรนทนไม่ไหวที่จะรอดูแค่สมภพถ่ายรูปด้วยกล้องชั้นดีของเค้า ก็เลยเอากล้อง Fuji Finepix s8100 ของตัวเอง วิ่งออกไปตั้งกล้องถ่ายบ้าง ด้วยความที่อยากมีรูปบั้งไฟเป็นของตัวเอง กล้องผมตั้งหน้ากล้องเปิดได้นานสุดแค่ 4 วินาที (อยากได้ 30 วินาที) และก็ตั้ง ISO ไว้ที่ 400 เพราะถ้ามากกว่านี้ (ตัวนี้ได้ถึง 6400) ภาพจะเกรนหยาบมาก แต่ภาพที่ออกมาก็เหมือนกับใช้ได้อยู่ เห็นน้ำสว่างชัดเจน ถ้ามีใครออกไปภาพเรือเพื่อยิงปืน ก็ต้องเห็นแน่ๆ
พอตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง ก็เข้าใจความลำบากและอดทนของพวกสมภพในปีก่อนเลย เพราะมันเดาไม่ถูกว่าจะขึ้นตอนไหน ต้องกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ และกล้องผมก็มีช่วงที่มัน save ภาพแต่ละภาพค่อนข้างนานด้วย กลัวว่าจะหลุดจังหวะที่ถ่ายได้ไป ..... แต่สุดท้ายก็ถ่ายสำเร็จครับ เป็นภาพของบั้งไฟลูกสุดท้ายพอดีด้วยในคืนนั้น ตอนประมาณ 4 ทุ่มพอดี (ขึ้นมาแค่ 12-14 ลูก)
รูปนี้ ทำเอาทีมงานสารคดี ซึ่งตอนแรกดูจะไม่ค่อยอินกับวิธีการถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนานของเรา อึ้งกันไปเลยครับ เพราะมันเห็นชัดมากๆ ว่าบั้งไฟนี่มันมาจากไหน คือจริงๆ มองด้วยตาพวกเค้าเองก็เห็นแล้วล่ะว่ามันมีประกายไฟขึ้นที่อีกฝั่ง ก่อนลูกไฟจะอยู่บนฟ้า แต่นี่มันชัดเจนเลยว่าอยู่ตรงริมฝั่งน้ำ มีจุดสป๊ากของกระสุนที่ถูกยิงออกจากปากกระบอกปืน มีระยะที่สารเคมีบนหัวกระสุนเริ่มเผาไหม้ (ซัก 10 เมตร) และก็กลายเป็นลูกไฟขึ้นไปบนฟ้า ที่แม้ว่าเวลามองด้วยตา จะเหมือนลูกไฟกระพริบๆ ช้าๆ บนไปโค้งๆ แต่ภาพจากกล้องมันยืนยันสิ่งที่ตาเราโดนหลอกได้ว่า มันพุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นฟ้าไปเลย .... ครับ มันคือ กระสุนส่องวิถี หรือ tracer round อย่างที่คาดไว้จริงๆ
ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่จากกล้องง่ายๆ ของผม แต่ของสมภพน่าจะสวยกว่าเยอะ ก็รอดูนะว่าสมภพเค้าจะถ่ายได้กี่ลูก แต่คืนนั้นผมนอนตาหลับแล้วเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถ่ายรูป กระสุนพญานาค ได้อย่างนี้ (ไม่ได้ตั้งใจจะไปถ่ายเอง กะจะแค่ไปดู)
แล้วจุดอื่นๆ ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ... น่าเสียดายว่าที่แก่งอาฮง และที่บึงโขงหลง ไม่มีบั้งไฟขึ้นเลย แต่ที่รัตนวาปีและที่โพนพิสัย มีขึ้นเยอะมาก ถ้าดูตามข่าวไทยรัฐ จะเห็นว่ารวมกันเกือบพันลูก (คงโชคดีที่ฝนไม่ตกด้วย เลยไม่มีอุปสรรคในการทำเทศกาลทั้งฝั่งไทย ฝั่งลาว)
เมื่อทีมงานทุกกองถ่าย กลับมาเจอกันที่หนองคาย เท่าที่ผมลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดู พบว่าทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นชัดๆ เลยว่าลูกไฟขึ้นจากฝั่งตรงข้าม เยอะแยะเลย ในแต่ละจุดที่ขึ้น (ไม่มีกองไหนเลยที่ใช้วิธีถ่ายภาพแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ ใช้แค่การสังเกต การถ่ายวิดีโอ และการสัมภาษณ์คนแถวนั้น) แล้วก็อึ้งไปกับภาพที่ได้จากกล้องของเราว่ามันเห็นชัดเลยว่าเป็นการยิงปืน ทำให้หลายคนบอกว่า ตอนนี้เปลี่ยนใจมาเป็นเชื่อว่าเป็นกระสุนปืน 95% แล้ว (ผมน่ะ 99.99% ไปแล้ว)
ทางเดียวที่จะทำให้เชื่อมั่นได้ 100% คือ ต้องไปติดต่อขอเอาปืนจริง กระสุนจริง มาลองยิงในค่ายทหารซักแห่ง เทียบดูเรื่องภาพลูกไฟที่ออกมา และเรื่องเสียงด้วย (ตามที่เราเชื่อว่า ที่ไม่ได้ยินเสียงปืนตอนบั้งไฟขึ้นนั้น เพราะเสียงเดินทางข้ามน้ำ ช้ากว่าแสงถึง 3 วินาที เสียงคนดูเฮกลบจนหมด ... ลองนับเวลาจากคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากฝั่งลาวเมื่อปีก่อนดูได้ครับ)
แต่.... ท่านที่เชื่อในเรื่องบั้งไฟพญานาค "ของจริง" อย่าพึ่งอึ้งไปครับ
เพราะว่า ... ในทีมที่ตั้งกองถ่ายที่รัตนวาปี กับทีมที่ลงเรือไปกับหน่วยตรวจการของทหารเรือ เค้ายืนยันว่าเค้าเห็น "ของจริง" ที่ขึ้นจากน้ำด้วย แม้ว่าจะอธิบายไม่ถูกว่ามันขึ้นมายังไง ผุดมายังไง ทำไมมันไปสว่างบนอากาศแล้ว (ไม่ได้สว่างตั้งแต่ใต้น้ำ) แต่เค้ามั่นใจว่ามันขึ้นจากน้ำจริงๆ เพียงแต่ว่ามีจำนวนน้อยมากๆๆ อย่างเก่งก็ไม่เกิน 10% ของทั้งหมดที่เห็น ... เสียดายว่าไม่มีใครซื้อไอเดียเรื่องการถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนาน เลยไม่มีภาพยืนยันได้ว่าจะขึ้นมาจากน้ำจริงมั้ย อย่างไร
นั่นแปลว่า ถ้าบั้งไฟพญานาค "ของจริง" มีจริงอย่างที่ทีมนี้เห็น เพียงแต่ว่ามีน้อยมากแค่ 10% ลูกไฟเกือบพันลูกในคืนนั้น ก็มีของจริงแค่ 100 ลูก ที่เหลือก็เป็นกระสุนยิงขึ้นฟ้าอีก 900 ลูกเสียแล้ว
.... ส่วนยิงทำไม ใครยิง อันนี้ก็แล้วแต่ทฤษฎีของแต่ละคน (เช่น ของผมเชื่อว่าที่เห็นที่บึกงกาฬนั้นเป็นการยิงตามประเพณีของชาวบ้านฝั่งลาวจริง เพราะขึ้นน้อย ขึ้นดึก ขณะที่แถวรัตนวาปี-โพนพิสัยนั้น ต้องมีคนตั้งใจไปยิงขึ้นฟ้าเยอะๆ ให้คนดู แถมยิงตั้งแต่หัวค่ำที่คนมากันเยอะแล้ว)
ปีนี้ก็คงจบกิจกรรมตามหาบั้งไฟพญานาคของจริงไว้เพียงแค่นี้ ผมรอว่าจะมีใครให้ข้อมูลเพิ่มยังไงหรือเปล่า หรือจะมีรูปมาประกวดกันบ้างมั้ย ... หวังว่าจะมีนะครับ
ปล. กะว่าต้องมีหลายคนไม่เก็ตแน่ๆ เรื่องการเปิดหน้ากล้องถ่ายรูป รวมทั้งว่าทำไมผมถึงเถียงอย่างหนักว่ามันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติจากแก๊ซไม่ได้ ก็เลยขอรบกวนให้ดุคลิปข่าวนี้ให้จบก่อน ก่อนจะโวยว่า "เอารูปแสงเลเซอร์มาให้ดูทำไม" เหมือนปีก่อนกันอีกครับ
ใครไปเที่ยว-ถ่ายรูปบั้งไฟพญานาคกันมา ขอเชิญมาแชร์ได้ที่กระทู้นี้
เนื่องจากกระทู้ตกไปจากหน้ากระทู้แนะนำแล้ว ผมเลยขอตั้งกระทู้ใหม่นะครับ เผื่อใครมีภาพบั้งไฟพญานาค "ของจริง" (นิยามถึง ลูกไฟประหลาดที่ขึ้นจากกลางลำน้ำ แล้วพุ่งขึ้นฟ้าเป็นลูกสีแดง สูงเป็นสิบๆ เมตรได้) จะส่งประกวดก็ขอเชิญมาแปะส่งงานในกระทู้นี้ครับ .... ส่วนท่านที่อุตส่าห์ไปทริปนี้แล้ว มีภาพสวยๆ เด็ดๆ อยากมาโชว์พร้อมเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ก็ขอเชิญครับ
ผมขอเล่าในส่วนของผมด้วยคน ซึ่งปีนี้ผมได้รับเชิญจากทีมคณะถ่ายทำหนังสารคดีทีมหนึ่ง ไปร่วมพิสูจน์บั้งไฟพญานาคด้วย ซึ่งเค้าได้วางกองถ่ายสังเกตการณ์ไว้หลายที่มากตลอดลำน้ำโขง ประมาณ 10 กองได้ ตั้งแต่ จ.หนองคาย ช่วง อ. โพนพิสัย อ. รัตนวาปี อ. ปากคาด แก่งอาฮง ไปจนถึงบึงโขงหลง (มีคุณหมอมนัส ที่เป็นเจ้าของทฤษฎีบั้งไฟจากแก๊ซธรรมชาติ อาสาไปดูตรงนั้น) และไปสุดที่บ้านท่าสีไค จ. บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่นิยมไปดูบั้งไฟพญานาคกัน (สมภพ เจ้าเก่า ที่เป็นเจ้าของเทคนิคการถ่ายภาพบั้งไฟแบบเปิดหน้ากล้องนาน เป็นคนแรก ไปดูที่นั้น)
ผมนั่งเครื่องนกแอร์ไปลงที่อุดรธานีตอนเที่ยงๆ นั่งรถตู้ต่ออย่างหฤโหดมาก เพราะรถก็ติดหนักมากแถวๆ รัตนวาปี (บ้านท่าม่วง บ้านตาลชุม ที่คนไปดูกันเยอะๆ ) และก็ทางก็วิบากมาก กว่าจะไปถึงที่บ้านท่าสีไค ซึ่งผมนัด "สมภพ" ว่าจะไปดูเค้าตั้งกล้อง dSLR เพื่อถ่ายรูปบั้งไฟพญานาคที่นั่น แทนที่ผมจะไปในที่คนดูกันเยอะๆ อย่างที่รัตนวาปีเพราะมีคนว่าถ้าอยากดู "บั้งไฟของจริง" ต้องไปดูในที่ๆ คนไม่มากนัก ให้เป็นธรรมชาติๆ หน่อย
กว่าจะไปถึงที่บ้านท่าสีไค ก็สองทุ่มกว่าแล้ว และคนก็เต็มไปหมดเลย สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี โชคดีว่าผมยังได้ SMS สุดท้ายที่สมภพทิ้งไว้ และก็เดินจนหาเจอคนใส่เสื้อยืด "หว้ากอ พันทิป" อยู่ในศาลาตั้งกล้องเอาไว้ 2 ตัวสำหรับจับภาพจาก 2 ทิศทางให้ครบทั้งแนวภูเขาแถวนั้น ความมืดของพื้นที่แถวนั้นน่าจะประมาณในรูปนี้ คือท้องน้ำพอจะเห็นแสงสะท้อนของดวงจันทร์บ้าง แต่ไม่เยอะ หมู่บ้านฝั่งลาวฝั่งตรงข้ามแทบไม่เห็นแสงอะไรมาก ไม่ได้มีคนแห่มาดูกันเยอะเหมือนทางฝั่งไทยซึ่งคนแถวนี้แห่กันมา
โชคดีว่าตอนไปถึง แม้จะดึกแล้ว แต่บั้งไฟพญานาคยังไม่ขึ้นเลย (มีรายงานมาว่า ทางรัตนวาปีขึ้นตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง และขึ้นเยอะด้วย) ผมเริ่มให้สัมภาษณ์กับทางกองถ่ายไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเฮกัน มองขึ้นไปเห็นบั้งไฟลูกแรกขึ้นอยู่บนฟ้าแล้ว เป็นสีแดงสดคล้ายกับแสงเลเซอร์พ้อยเตอร์ลอยไปทางซ้ายไม่นานก็หายไป .... บอกตามตรงว่าตื่นเต้นที่ได้เห็น แต่ผิดหวังนิดหน่อยที่คิดว่ามันเป็นดวงเรืองๆ เหมือนที่เห็นในภาพจากคลิปวิดีโอ นี่มันดูเป็นประกายระยิบๆ เป็นมีสารเคมีเผาไฟชัดเจน
ผมให้สัมภาษณ์กับกองถ่าย สลับกับเข้าไปสัมภาษณ์สมภพในศาลา และก็วิ่งออกมายืนดูข้างนอกเป็นระยะๆ .... เดาใจไม่ค่อยถูกว่ามันจะขึ้นมาตอนไหน ตรงไหน ... ตลอดคืนนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ที่ต้องลุ้นว่าจะเห็นทันมั้ยว่าลูกไฟไปทางไหน และที่สำคัญ มันขึ้นมาจากไหน สิ่งที่ผมและทีมงาน สังเกตได้ก็คือ
- มันไปซ้ายที ไปขวาที กลับมาตรงกลางที สลับกันไปมา
- ส่วนใหญ่ขึ้นแค่ลูกเดียว แล้วหายไปนานๆ อย่างน้อย 3-5 นาทีถึงมาใหม่ บางลูกห่างกันถึง 20 นาที
- แค่ลูกที่ 2 ที่ 3 ก็เริ่มเห็นแล้วล่ะว่ามันเหมือนขึ้นมาจากหุบเขาตรงหน้าเรา มากกว่าจะมาจากน้ำ (แต่ชาวบ้านเค้าบอกว่าขึ้นจากน้ำกันเฮะ)
- พอเราเริ่มหาจุดเจอว่าจะจ้องดูตรงไหน ประมาณลูกที่ 5 ที่ 6 ก็เริ่มเห็นชัดถึงจังหวะที่มันขึ้น เพราะมีประกายไฟแว้บๆ อยู่ที่ฝั่งโน้นด้วย
ผมอดรนทนไม่ไหวที่จะรอดูแค่สมภพถ่ายรูปด้วยกล้องชั้นดีของเค้า ก็เลยเอากล้อง Fuji Finepix s8100 ของตัวเอง วิ่งออกไปตั้งกล้องถ่ายบ้าง ด้วยความที่อยากมีรูปบั้งไฟเป็นของตัวเอง กล้องผมตั้งหน้ากล้องเปิดได้นานสุดแค่ 4 วินาที (อยากได้ 30 วินาที) และก็ตั้ง ISO ไว้ที่ 400 เพราะถ้ามากกว่านี้ (ตัวนี้ได้ถึง 6400) ภาพจะเกรนหยาบมาก แต่ภาพที่ออกมาก็เหมือนกับใช้ได้อยู่ เห็นน้ำสว่างชัดเจน ถ้ามีใครออกไปภาพเรือเพื่อยิงปืน ก็ต้องเห็นแน่ๆ
พอตั้งกล้องถ่ายเองบ้าง ก็เข้าใจความลำบากและอดทนของพวกสมภพในปีก่อนเลย เพราะมันเดาไม่ถูกว่าจะขึ้นตอนไหน ต้องกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ และกล้องผมก็มีช่วงที่มัน save ภาพแต่ละภาพค่อนข้างนานด้วย กลัวว่าจะหลุดจังหวะที่ถ่ายได้ไป ..... แต่สุดท้ายก็ถ่ายสำเร็จครับ เป็นภาพของบั้งไฟลูกสุดท้ายพอดีด้วยในคืนนั้น ตอนประมาณ 4 ทุ่มพอดี (ขึ้นมาแค่ 12-14 ลูก)
รูปนี้ ทำเอาทีมงานสารคดี ซึ่งตอนแรกดูจะไม่ค่อยอินกับวิธีการถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนานของเรา อึ้งกันไปเลยครับ เพราะมันเห็นชัดมากๆ ว่าบั้งไฟนี่มันมาจากไหน คือจริงๆ มองด้วยตาพวกเค้าเองก็เห็นแล้วล่ะว่ามันมีประกายไฟขึ้นที่อีกฝั่ง ก่อนลูกไฟจะอยู่บนฟ้า แต่นี่มันชัดเจนเลยว่าอยู่ตรงริมฝั่งน้ำ มีจุดสป๊ากของกระสุนที่ถูกยิงออกจากปากกระบอกปืน มีระยะที่สารเคมีบนหัวกระสุนเริ่มเผาไหม้ (ซัก 10 เมตร) และก็กลายเป็นลูกไฟขึ้นไปบนฟ้า ที่แม้ว่าเวลามองด้วยตา จะเหมือนลูกไฟกระพริบๆ ช้าๆ บนไปโค้งๆ แต่ภาพจากกล้องมันยืนยันสิ่งที่ตาเราโดนหลอกได้ว่า มันพุ่งเป็นเส้นตรงขึ้นฟ้าไปเลย .... ครับ มันคือ กระสุนส่องวิถี หรือ tracer round อย่างที่คาดไว้จริงๆ
ภาพอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่จากกล้องง่ายๆ ของผม แต่ของสมภพน่าจะสวยกว่าเยอะ ก็รอดูนะว่าสมภพเค้าจะถ่ายได้กี่ลูก แต่คืนนั้นผมนอนตาหลับแล้วเพราะไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถ่ายรูป กระสุนพญานาค ได้อย่างนี้ (ไม่ได้ตั้งใจจะไปถ่ายเอง กะจะแค่ไปดู)
แล้วจุดอื่นๆ ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ... น่าเสียดายว่าที่แก่งอาฮง และที่บึงโขงหลง ไม่มีบั้งไฟขึ้นเลย แต่ที่รัตนวาปีและที่โพนพิสัย มีขึ้นเยอะมาก ถ้าดูตามข่าวไทยรัฐ จะเห็นว่ารวมกันเกือบพันลูก (คงโชคดีที่ฝนไม่ตกด้วย เลยไม่มีอุปสรรคในการทำเทศกาลทั้งฝั่งไทย ฝั่งลาว)
เมื่อทีมงานทุกกองถ่าย กลับมาเจอกันที่หนองคาย เท่าที่ผมลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดู พบว่าทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นชัดๆ เลยว่าลูกไฟขึ้นจากฝั่งตรงข้าม เยอะแยะเลย ในแต่ละจุดที่ขึ้น (ไม่มีกองไหนเลยที่ใช้วิธีถ่ายภาพแบบเปิดหน้ากล้องนานๆ ใช้แค่การสังเกต การถ่ายวิดีโอ และการสัมภาษณ์คนแถวนั้น) แล้วก็อึ้งไปกับภาพที่ได้จากกล้องของเราว่ามันเห็นชัดเลยว่าเป็นการยิงปืน ทำให้หลายคนบอกว่า ตอนนี้เปลี่ยนใจมาเป็นเชื่อว่าเป็นกระสุนปืน 95% แล้ว (ผมน่ะ 99.99% ไปแล้ว)
ทางเดียวที่จะทำให้เชื่อมั่นได้ 100% คือ ต้องไปติดต่อขอเอาปืนจริง กระสุนจริง มาลองยิงในค่ายทหารซักแห่ง เทียบดูเรื่องภาพลูกไฟที่ออกมา และเรื่องเสียงด้วย (ตามที่เราเชื่อว่า ที่ไม่ได้ยินเสียงปืนตอนบั้งไฟขึ้นนั้น เพราะเสียงเดินทางข้ามน้ำ ช้ากว่าแสงถึง 3 วินาที เสียงคนดูเฮกลบจนหมด ... ลองนับเวลาจากคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากฝั่งลาวเมื่อปีก่อนดูได้ครับ)
แต่.... ท่านที่เชื่อในเรื่องบั้งไฟพญานาค "ของจริง" อย่าพึ่งอึ้งไปครับ
เพราะว่า ... ในทีมที่ตั้งกองถ่ายที่รัตนวาปี กับทีมที่ลงเรือไปกับหน่วยตรวจการของทหารเรือ เค้ายืนยันว่าเค้าเห็น "ของจริง" ที่ขึ้นจากน้ำด้วย แม้ว่าจะอธิบายไม่ถูกว่ามันขึ้นมายังไง ผุดมายังไง ทำไมมันไปสว่างบนอากาศแล้ว (ไม่ได้สว่างตั้งแต่ใต้น้ำ) แต่เค้ามั่นใจว่ามันขึ้นจากน้ำจริงๆ เพียงแต่ว่ามีจำนวนน้อยมากๆๆ อย่างเก่งก็ไม่เกิน 10% ของทั้งหมดที่เห็น ... เสียดายว่าไม่มีใครซื้อไอเดียเรื่องการถ่ายรูปแบบเปิดหน้ากล้องนาน เลยไม่มีภาพยืนยันได้ว่าจะขึ้นมาจากน้ำจริงมั้ย อย่างไร
นั่นแปลว่า ถ้าบั้งไฟพญานาค "ของจริง" มีจริงอย่างที่ทีมนี้เห็น เพียงแต่ว่ามีน้อยมากแค่ 10% ลูกไฟเกือบพันลูกในคืนนั้น ก็มีของจริงแค่ 100 ลูก ที่เหลือก็เป็นกระสุนยิงขึ้นฟ้าอีก 900 ลูกเสียแล้ว
.... ส่วนยิงทำไม ใครยิง อันนี้ก็แล้วแต่ทฤษฎีของแต่ละคน (เช่น ของผมเชื่อว่าที่เห็นที่บึกงกาฬนั้นเป็นการยิงตามประเพณีของชาวบ้านฝั่งลาวจริง เพราะขึ้นน้อย ขึ้นดึก ขณะที่แถวรัตนวาปี-โพนพิสัยนั้น ต้องมีคนตั้งใจไปยิงขึ้นฟ้าเยอะๆ ให้คนดู แถมยิงตั้งแต่หัวค่ำที่คนมากันเยอะแล้ว)
ปีนี้ก็คงจบกิจกรรมตามหาบั้งไฟพญานาคของจริงไว้เพียงแค่นี้ ผมรอว่าจะมีใครให้ข้อมูลเพิ่มยังไงหรือเปล่า หรือจะมีรูปมาประกวดกันบ้างมั้ย ... หวังว่าจะมีนะครับ
ปล. กะว่าต้องมีหลายคนไม่เก็ตแน่ๆ เรื่องการเปิดหน้ากล้องถ่ายรูป รวมทั้งว่าทำไมผมถึงเถียงอย่างหนักว่ามันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติจากแก๊ซไม่ได้ ก็เลยขอรบกวนให้ดุคลิปข่าวนี้ให้จบก่อน ก่อนจะโวยว่า "เอารูปแสงเลเซอร์มาให้ดูทำไม" เหมือนปีก่อนกันอีกครับ