ที่นั่งประจำของนวินดา อยู่ค่อนไปทางด้านหลังของห้อง ค่อนไปทางหน้าต่าง ซึ่งเกิดจากตอนที่จัดที่นั่งเรียนครั้งแรก อาจารย์ประจำชั้น ให้นักเรียนเข้าแถวเรียนตามลำดับความสูง แล้วทะยอยกันเข้าไปเลือกที่นั่งจากด้านหน้าไปด้านหลัง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นวินดาออกจะพอใจ เพราะมันเป็นมุมที่สงบและไม่ต้องสุงสิงกับใครมากนัก มันเหมือนวงจรไก่กับไข่ นวินดาเป็นคนสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มแย้มบ่อยนัก ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าคุยกับนวินดา ยิ่งไม่มีใครกล้าคุยกับนวินดา นวินดาก็ยิ่งเงียบและไม่สุงสิงกับใครเข้าไปอีก
ห้องเรียนของพวกคุณ ๆ ก็คงจะมีเหมือนกัน นักเรียนที่ช่างยิ้มแย้ม และสดใสตลอดเวลา ใคร ๆ ก็อยากคุยด้วย และอยากคบหา แม้แต่ห้องม.5/15 หรือที่เรียกกันว่าห้องคิงอย่างนี้ ก็มีนันท์นภัส หรือนัทตี้ ที่เป็นสาวป็อบปูลาร์ตลอดเวลา หน้าตาเธอสวยน่ารักแบบคม ๆ แต่สิ่งที่โดดเด่นของเธอก็คือ แม้แต่เวลาที่เธอนั่งเฉย ๆ รอเปลี่ยนคาบเรียน เธอก็มีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้าเสมอ ไม่แปลกใจที่หนุ่ม ๆ ทั้งจากในห้องเรียนเดียวกัน และห้องเรียนอื่น ๆ จะผลัดเปลี่ยนกันมาเรียกร้องความสนใจจากเธอตลอดเวลา แล้วใครที่บอกว่า “เด็กเนิร์ด” ไม่รู้จักวิธีบริหารเสน่ห์ ล่ะก็ นวินดาอยากบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดผิดถนัดเลยล่ะ
“กบจ๋า เรายังทำการบ้านพุทธศาสนฯไม่เสร็จเลยอ่า เรายืมดูเป็นแนวนิดนึงดี่....”เสียงนัทตี้อ้อนกบ ซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของนวินดาดังมาใกล้ ๆ ในความคิดของนวินดาแล้วการบ้านวิชานี้มันไม่ได้มีอะไรเลยนะ เมื่อเทียบกับวิชาหลักอื่น ๆ เธอนั่งทำเองภายในช่วงพักสิบนาทีนี้ แถมตอนเข้าคาบเรียนอีกนิดหน่อยก่อนอาจารย์จะเดินมาถึง ก็น่าจะทำเสร็จ แต่นี่ล่ะ วิธีบริหารเสน่ห์ของเธอ
กบนั่งอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะส่งการบ้านให้เธอดูแบบงง ๆ นัทตี้ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง จนกบเองรู้สึกว่าคงเสียมารยาท ถ้าไม่ตอบสนองอะไร จึงยิ้มตอบไปแบบแห้ง ๆ หลังจากที่นัทตี้เดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว นายกบก็หันมาคุยกับนวินดาสีหน้าตื่น
“ยัยเฉย นัทตี้มาขอยืมการบ้านเราอีกแล้วอ่ะ”
“อืม แล้วไง”
“แล้วไงเหรอ? ดาวเด่นยังงั้น 'ไมเค้าต้องมายืมเราด้วยอ่ะ เฉยว่าเค้าคิดไรกับเราป่าว” สีหน้าของกบยามนี้ตื่นเต้นสุด ๆ
แถวบ้านเค้าเรียกว่าบริหารเสน่ห์ไง นายกบเอ๊ย เอาแต่เรียนหนังสือ ไม่รู้จักดูละเม็งละครบ้างหรือไงนะ
“ไม่รู้สิ เราไม่ใช่เค้านี่”เธอเลือกที่จะไม่ออกความเห็น เพราะมันหมิ่นเหม่ว่าจะกลายเป็นการใส่ไฟเพื่อนร่วมชั้น “แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกเราว่าเฉย หืม? ชื่อเล่นเราก็มี”
“ก็มันเหมาะกับหน้าเธอนี่นา” กบตอบหน้าตาเฉย “ถ้าไม่ใช่ว่าเรารู้จักกับเธอตั้งแต่เด็ก บ้านก็อยู่ใกล้กัน พ่อแม่ก็รู้จักกัน เราก็คงไม่กล้ามาคุยกับเธอหรอก รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”
กบเดินกลับไปประจำที่นั่ง ก่อนที่จะถึงเวลาเรียนคาบต่อไป ทิ้งให้นวินดานั่งครุ่นคิดต่ออยู่เงียบ ๆ เธอรู้ตัวและยอมรับในสิ่งที่กบพูด แต่เธอเองไม่เคยคิดว่าความหน้าเฉยของเธอจะเป็นปัญหานัก จนกระทั่งเพื่อนในวัยเด็กคนนี้พูดขึ้นมานี่แหละ
น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นวินดาคิดว่า เธอคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอไม่คาดว่าภายในระยะเวลาอันสั้น เธอจะเปลี่ยนจากยัยเฉย เป็นสาวร่าเริงแจ่มใสอย่างนัทตี้ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อย เธอควรจะดูเป็นมิตรมากกว่านี้ ในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เธอก็ต้องมีสังคมให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในภายภาคหน้า
ปัญหาใหญ่คือ เธอจะเปลี่ยนตัวเองได้อย่างไรหนอ
เย็นวันนั้น เธอนำเรื่องนี้ไปตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ชื่อดังซึ่งแยกห้องตั้งกระทู้ไว้เป็นประเภทต่าง ๆอย่างชัดเจน เธอเลือกตั้งกระทู้ในห้องหนึ่งที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่น น่าแปลกเหมือนกันที่เธอเลือกที่จะนำเรื่องนี้ไปลงในเว็บไซต์ แทนที่จะปรึกษากับคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด และรู้จักเธอมาแต่เล็กแต่น้อย ซึ่งได้แก่ พ่อที่เป็นนักวิจัยพันธุวิศวกรรมที่วัน ๆ ทำงานอยู่แต่กับเซลล์ และดีเอนเอ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นที่แท้จริงของเธอ ส่วนแม่เป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดมหาวิทยาลัย อาชีพที่อยู่แต่ในสถานที่ซึ่งจำกัดการใช้เสียง อีกคนคือน้องชายชื่ออาร์ที่อายุห่างกับเธอ 5 ปี ตอนนี้สนใจแต่การอ่านหนังสือสอบเข้ามัธยมต้น เขาคงยังไม่เข้าใจปัญหาของพี่สาวคนนี้
นวินดาเคยสงสัยว่า พ่อกับแม่ตกหลุมรักและแต่งงานกันด้วยการสื่อสารแบบไหน ถ้าโทรจิตรมีอยู่จริง เธอคิดว่าพ่อกับแม่คงสื่อสารกันด้วยวิธีนี้ ซึ่งถ้าพ่อแม่เธอสามารถโทรจิตรได้ เธอก็อยากได้ความสามารถนี้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ มันไม่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวันยุคนี้ ว่าแล้วเธอก็ตั้งอกตั้งใจพิมพ์ข้อความลงไปในคอมพิวเตอร์
'หัวข้อกระทู้ : ทำยังไงถึงจะเป็นคนที่เพื่อน ๆ กล้าเข้าหา
หัวข้อกระทู้ฟังดูแปลก ๆ มั้ย คือเรามีปัญหาว่า เราเป็นคนหน้าเฉย ไม่ใช่ว่าเราหงุดหงิด หรือไม่สนใจอะไรนะ แต่แค่เราไม่ใช่คนคุยเก่ง ยิ้มเก่ง ร่าเริงแจ่มใส ….' เธอเลือกที่จะไม่เปิดเผยในกระทู้ว่า เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเธอไม่อยากให้ใครมามีอคติ การพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัว จึงค่อย ๆ พิมพ์ไม่ให้แสดงเพศสภาพออกมาในประโยคมากเกินไป
'เราเป็นของเราแบบนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้เราคิดว่า มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เรายังมีเพื่อนที่คุยกับเราอยู่ เราช่วยงานกลุ่มใน....'เธอชะงักอย่างลังเลอีกรอบ เธอควรจะเปิดเผยตัวเองแค่ไหน ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ ช่างมันสิ ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเป็นเรา '...ในห้องเรียนเสมอ ใครให้เราทำกิจกรรมอะไร เราไม่เคยเกี่ยงงอน เราร่วมมือในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย เพียงแต่คนจะไม่ค่อยกล้าเดินมาขอความร่วมมือจากเรา ซึ่งก็คงเป็นเพราะ หน้าเราเฉยนี่แหละ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่า เพื่อนที่คุยกับเราเริ่มจะทนเราไม่ได้ ซึ่งถ้าเราไม่มีเพื่อนคนนี้แล้ว เราคง....' คงอะไรดีล่ะ ถ้ากบระอาที่จะคุยกับเธอ จะเกิดอะไรขึ้น '...คงแย่
'ลองเข้ามาแสดงความคิดเห็นหน่อยนะ เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้จะแค่ทีละเล็กละน้อยก็เถอะ
'เจ้าของกระทู้ : นิ่งสนิท ศิษย์หน้าเฉย'
เธออมยิ้มกับล็อกอินชื่อตัวเองตอนตั้งกระทู้ ชื่อนี้กบเป็นคนตั้งให้ตอนที่มาช่วยเธอสมัครสมาชิกเข้าเว็บไซต์นี้ ดูเหมือนตอนนั้นภาพยนต์เรื่องแสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้ากำลังฉายอยู่ แล้วกบก็ชอบเรื่องนี้เอามาก ๆ เธอเองไม่รู้เหมือนกันว่าจะตั้งชื่ออะไร จึงตามใจเพื่อน ไม่คิดเลยว่า ตอนนี้เธอต้องมาหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้
คลิก...เธอกดไปที่ปุ่มส่งข้อความ ระหว่างที่รอคำตอบ คงใช้เวลาสักพัก เท่าที่เธอเคยเข้าเว็บไซต์นี้ คนตอบกระทู้จะมีมาก หลังจากช่วงสองสามทุ่มไปแล้ว เข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมปกติของพวกนักท่องอินเตอร์เน็ต เธอจึงยังมีเวลาอีกราว 1 ชั่วโมง เธอปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลงไปทานอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัว ขึ้นมาทำการบ้านบนห้องซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เป็นแบบฝึกหัดวิชาเคมีว่าด้วยเรื่องของสูตรโครงสร้างอินทรีย์เคมี และการเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาระหว่างหมู่คาร์บอกซิลิก และ ด่าง
ถ้าแค่คนเราสร้างความสัมพันธ์กันได้ง่าย ๆ เหมือนปฏิกิริยาระหว่างกรดกับด่าง เธอก็คงไม่เดือดร้อนเรื่องการเข้าสังคมขนาดนี้
นวินดาสะบัดหน้าเหมือนพยายามสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวตัวเอง แม้แต่ตัวเองยังคิดว่าพิลึกที่คิดเรื่องแบบนี้ออกมาเชื่อมโยงกันได้ จากนั้นจึงเดินกลับไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง กดไปดูกระทู้ที่ตนตั้งไว้ แล้วก็พบว่าตอนนี้มีเข้ามา 5 ความคิดเห็น ได้แต่หวังว่าจะมีอะไรเข้าท่าบ้าง
'ความคิดเห็นที่ 1 :
เริ่มจากลองหัดยิ้มหน้ากระจกดีมั้ยคะ ฝึกยิ้มให้ชิน ยิ้มให้สวย ๆ เวลามีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้น เราจะได้ยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติไงคะ – หนูหิ่นบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ'
'ความคิดเห็นที่ 2 :
ลองหัดทำอะไรใหม่ ๆ มั้ย เรียนร้องเพลงก็ได้ จะได้กล้าแสดงออก – พี่ชาตรี' นวินดาทำหน้ามุ่ยกับความคิดเห็นนี้ มันคงจะจริงในทางทฤษฎี แต่ไม่ง่ายเลยในทางปฏิบัติ ความคิดเห็นแรกฟังดูเป็นไปได้มากกว่า โชคดีนักหนาที่พ่อแม่ของเธอสอนให้เธอรู้จักดูแลสุขภาพช่องปาก อย่างน้อยฟันของเธอขาวสะอาดและเรียงตัวสวยงามดี
'ความคิดเห็นที่ 3 :
ลองพูดกับตัวเองหน้ากระจกดูก่อน ชวนตัวเองคุยอะไรงี้ - สมาชิกหมายเลข xxxxxx'
'ความคิดเห็นที่ 4 :
เราไม่เคยเจอแฮะ คนหน้าเฉย ไม่รู้จะให้คำตอบยังไง' นวินดาแสดงอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ด้วยการถอนหายใจพรืด ถ้าไม่รู้จะตอบยังไง จะเข้ามาตอบให้เปลืองเนื้อที่กระทู้ทำไม
'ความคิดเห็นที่ 5 :
ดีใจนะครับ ที่คุณจขกท.รู้ว่าเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของคุณและพยายามแก้ไข
ตอนนี้คุณมีเพื่อนที่พอจะคุยได้กี่คนครับ....' เธอหยุดคิด ตอนนี้นึกออกอยู่คนเดียว 'ผมว่าคุณลองเริ่มจากเพื่อนคนนี้ก่อนก็ได้ ลองชวนคุยในเรื่องอื่น ๆ บ้าง....' เรื่องอะไรดีล่ะเนี่ย วัน ๆ ก็คุยกันแต่เรื่องลมฟ้าอากาศ เรื่องเรียน แล้วก็เรื่องแม่นัทตี้ 'ให้เขาช่วยวิจารณ์ท่าทางของคุณตอนที่คุย แล้วคุณก็จะได้แก้ไขท่าทางที่ทำให้คนไม่กล้ามาคุยกับคุณไงครับ หรือจะลองคุยกับผมก็ได้นะ ^^ - Mr.Eleven'
นวินดาเริ่มรู้สึกท้อ จาก 5 ความคิดเห็นนี้ มีที่เธอเห็นว่าพอจะเข้าท่าจริง ๆ ก็แค่การฝึกยิ้มแค่นั้นเอง แต่เธอคิดว่ามันน้อยไปหน่อย นี่เธอต้องเข้าคอร์สจิตวิทยาวัยรุ่นหรือเปล่าเนี่ย
หน้าตาเฉย
ห้องเรียนของพวกคุณ ๆ ก็คงจะมีเหมือนกัน นักเรียนที่ช่างยิ้มแย้ม และสดใสตลอดเวลา ใคร ๆ ก็อยากคุยด้วย และอยากคบหา แม้แต่ห้องม.5/15 หรือที่เรียกกันว่าห้องคิงอย่างนี้ ก็มีนันท์นภัส หรือนัทตี้ ที่เป็นสาวป็อบปูลาร์ตลอดเวลา หน้าตาเธอสวยน่ารักแบบคม ๆ แต่สิ่งที่โดดเด่นของเธอก็คือ แม้แต่เวลาที่เธอนั่งเฉย ๆ รอเปลี่ยนคาบเรียน เธอก็มีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้าเสมอ ไม่แปลกใจที่หนุ่ม ๆ ทั้งจากในห้องเรียนเดียวกัน และห้องเรียนอื่น ๆ จะผลัดเปลี่ยนกันมาเรียกร้องความสนใจจากเธอตลอดเวลา แล้วใครที่บอกว่า “เด็กเนิร์ด” ไม่รู้จักวิธีบริหารเสน่ห์ ล่ะก็ นวินดาอยากบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดผิดถนัดเลยล่ะ
“กบจ๋า เรายังทำการบ้านพุทธศาสนฯไม่เสร็จเลยอ่า เรายืมดูเป็นแนวนิดนึงดี่....”เสียงนัทตี้อ้อนกบ ซึ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของนวินดาดังมาใกล้ ๆ ในความคิดของนวินดาแล้วการบ้านวิชานี้มันไม่ได้มีอะไรเลยนะ เมื่อเทียบกับวิชาหลักอื่น ๆ เธอนั่งทำเองภายในช่วงพักสิบนาทีนี้ แถมตอนเข้าคาบเรียนอีกนิดหน่อยก่อนอาจารย์จะเดินมาถึง ก็น่าจะทำเสร็จ แต่นี่ล่ะ วิธีบริหารเสน่ห์ของเธอ
กบนั่งอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะส่งการบ้านให้เธอดูแบบงง ๆ นัทตี้ฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง จนกบเองรู้สึกว่าคงเสียมารยาท ถ้าไม่ตอบสนองอะไร จึงยิ้มตอบไปแบบแห้ง ๆ หลังจากที่นัทตี้เดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว นายกบก็หันมาคุยกับนวินดาสีหน้าตื่น
“ยัยเฉย นัทตี้มาขอยืมการบ้านเราอีกแล้วอ่ะ”
“อืม แล้วไง”
“แล้วไงเหรอ? ดาวเด่นยังงั้น 'ไมเค้าต้องมายืมเราด้วยอ่ะ เฉยว่าเค้าคิดไรกับเราป่าว” สีหน้าของกบยามนี้ตื่นเต้นสุด ๆ
แถวบ้านเค้าเรียกว่าบริหารเสน่ห์ไง นายกบเอ๊ย เอาแต่เรียนหนังสือ ไม่รู้จักดูละเม็งละครบ้างหรือไงนะ
“ไม่รู้สิ เราไม่ใช่เค้านี่”เธอเลือกที่จะไม่ออกความเห็น เพราะมันหมิ่นเหม่ว่าจะกลายเป็นการใส่ไฟเพื่อนร่วมชั้น “แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกเราว่าเฉย หืม? ชื่อเล่นเราก็มี”
“ก็มันเหมาะกับหน้าเธอนี่นา” กบตอบหน้าตาเฉย “ถ้าไม่ใช่ว่าเรารู้จักกับเธอตั้งแต่เด็ก บ้านก็อยู่ใกล้กัน พ่อแม่ก็รู้จักกัน เราก็คงไม่กล้ามาคุยกับเธอหรอก รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”
กบเดินกลับไปประจำที่นั่ง ก่อนที่จะถึงเวลาเรียนคาบต่อไป ทิ้งให้นวินดานั่งครุ่นคิดต่ออยู่เงียบ ๆ เธอรู้ตัวและยอมรับในสิ่งที่กบพูด แต่เธอเองไม่เคยคิดว่าความหน้าเฉยของเธอจะเป็นปัญหานัก จนกระทั่งเพื่อนในวัยเด็กคนนี้พูดขึ้นมานี่แหละ
น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นวินดาคิดว่า เธอคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอไม่คาดว่าภายในระยะเวลาอันสั้น เธอจะเปลี่ยนจากยัยเฉย เป็นสาวร่าเริงแจ่มใสอย่างนัทตี้ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อย เธอควรจะดูเป็นมิตรมากกว่านี้ ในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เธอก็ต้องมีสังคมให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในภายภาคหน้า
ปัญหาใหญ่คือ เธอจะเปลี่ยนตัวเองได้อย่างไรหนอ
เย็นวันนั้น เธอนำเรื่องนี้ไปตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ชื่อดังซึ่งแยกห้องตั้งกระทู้ไว้เป็นประเภทต่าง ๆอย่างชัดเจน เธอเลือกตั้งกระทู้ในห้องหนึ่งที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่น น่าแปลกเหมือนกันที่เธอเลือกที่จะนำเรื่องนี้ไปลงในเว็บไซต์ แทนที่จะปรึกษากับคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด และรู้จักเธอมาแต่เล็กแต่น้อย ซึ่งได้แก่ พ่อที่เป็นนักวิจัยพันธุวิศวกรรมที่วัน ๆ ทำงานอยู่แต่กับเซลล์ และดีเอนเอ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นที่แท้จริงของเธอ ส่วนแม่เป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดมหาวิทยาลัย อาชีพที่อยู่แต่ในสถานที่ซึ่งจำกัดการใช้เสียง อีกคนคือน้องชายชื่ออาร์ที่อายุห่างกับเธอ 5 ปี ตอนนี้สนใจแต่การอ่านหนังสือสอบเข้ามัธยมต้น เขาคงยังไม่เข้าใจปัญหาของพี่สาวคนนี้
นวินดาเคยสงสัยว่า พ่อกับแม่ตกหลุมรักและแต่งงานกันด้วยการสื่อสารแบบไหน ถ้าโทรจิตรมีอยู่จริง เธอคิดว่าพ่อกับแม่คงสื่อสารกันด้วยวิธีนี้ ซึ่งถ้าพ่อแม่เธอสามารถโทรจิตรได้ เธอก็อยากได้ความสามารถนี้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ มันไม่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวันยุคนี้ ว่าแล้วเธอก็ตั้งอกตั้งใจพิมพ์ข้อความลงไปในคอมพิวเตอร์
'หัวข้อกระทู้ : ทำยังไงถึงจะเป็นคนที่เพื่อน ๆ กล้าเข้าหา
หัวข้อกระทู้ฟังดูแปลก ๆ มั้ย คือเรามีปัญหาว่า เราเป็นคนหน้าเฉย ไม่ใช่ว่าเราหงุดหงิด หรือไม่สนใจอะไรนะ แต่แค่เราไม่ใช่คนคุยเก่ง ยิ้มเก่ง ร่าเริงแจ่มใส ….' เธอเลือกที่จะไม่เปิดเผยในกระทู้ว่า เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเธอไม่อยากให้ใครมามีอคติ การพิมพ์ตัวอักษรแต่ละตัว จึงค่อย ๆ พิมพ์ไม่ให้แสดงเพศสภาพออกมาในประโยคมากเกินไป
'เราเป็นของเราแบบนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้เราคิดว่า มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เรายังมีเพื่อนที่คุยกับเราอยู่ เราช่วยงานกลุ่มใน....'เธอชะงักอย่างลังเลอีกรอบ เธอควรจะเปิดเผยตัวเองแค่ไหน ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ ช่างมันสิ ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเป็นเรา '...ในห้องเรียนเสมอ ใครให้เราทำกิจกรรมอะไร เราไม่เคยเกี่ยงงอน เราร่วมมือในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย เพียงแต่คนจะไม่ค่อยกล้าเดินมาขอความร่วมมือจากเรา ซึ่งก็คงเป็นเพราะ หน้าเราเฉยนี่แหละ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่า เพื่อนที่คุยกับเราเริ่มจะทนเราไม่ได้ ซึ่งถ้าเราไม่มีเพื่อนคนนี้แล้ว เราคง....' คงอะไรดีล่ะ ถ้ากบระอาที่จะคุยกับเธอ จะเกิดอะไรขึ้น '...คงแย่
'ลองเข้ามาแสดงความคิดเห็นหน่อยนะ เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้จะแค่ทีละเล็กละน้อยก็เถอะ
'เจ้าของกระทู้ : นิ่งสนิท ศิษย์หน้าเฉย'
เธออมยิ้มกับล็อกอินชื่อตัวเองตอนตั้งกระทู้ ชื่อนี้กบเป็นคนตั้งให้ตอนที่มาช่วยเธอสมัครสมาชิกเข้าเว็บไซต์นี้ ดูเหมือนตอนนั้นภาพยนต์เรื่องแสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้ากำลังฉายอยู่ แล้วกบก็ชอบเรื่องนี้เอามาก ๆ เธอเองไม่รู้เหมือนกันว่าจะตั้งชื่ออะไร จึงตามใจเพื่อน ไม่คิดเลยว่า ตอนนี้เธอต้องมาหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้
คลิก...เธอกดไปที่ปุ่มส่งข้อความ ระหว่างที่รอคำตอบ คงใช้เวลาสักพัก เท่าที่เธอเคยเข้าเว็บไซต์นี้ คนตอบกระทู้จะมีมาก หลังจากช่วงสองสามทุ่มไปแล้ว เข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมปกติของพวกนักท่องอินเตอร์เน็ต เธอจึงยังมีเวลาอีกราว 1 ชั่วโมง เธอปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ ลงไปทานอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัว ขึ้นมาทำการบ้านบนห้องซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เป็นแบบฝึกหัดวิชาเคมีว่าด้วยเรื่องของสูตรโครงสร้างอินทรีย์เคมี และการเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาระหว่างหมู่คาร์บอกซิลิก และ ด่าง
ถ้าแค่คนเราสร้างความสัมพันธ์กันได้ง่าย ๆ เหมือนปฏิกิริยาระหว่างกรดกับด่าง เธอก็คงไม่เดือดร้อนเรื่องการเข้าสังคมขนาดนี้
นวินดาสะบัดหน้าเหมือนพยายามสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวตัวเอง แม้แต่ตัวเองยังคิดว่าพิลึกที่คิดเรื่องแบบนี้ออกมาเชื่อมโยงกันได้ จากนั้นจึงเดินกลับไปเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง กดไปดูกระทู้ที่ตนตั้งไว้ แล้วก็พบว่าตอนนี้มีเข้ามา 5 ความคิดเห็น ได้แต่หวังว่าจะมีอะไรเข้าท่าบ้าง
'ความคิดเห็นที่ 1 :
เริ่มจากลองหัดยิ้มหน้ากระจกดีมั้ยคะ ฝึกยิ้มให้ชิน ยิ้มให้สวย ๆ เวลามีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้น เราจะได้ยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติไงคะ – หนูหิ่นบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ'
'ความคิดเห็นที่ 2 :
ลองหัดทำอะไรใหม่ ๆ มั้ย เรียนร้องเพลงก็ได้ จะได้กล้าแสดงออก – พี่ชาตรี' นวินดาทำหน้ามุ่ยกับความคิดเห็นนี้ มันคงจะจริงในทางทฤษฎี แต่ไม่ง่ายเลยในทางปฏิบัติ ความคิดเห็นแรกฟังดูเป็นไปได้มากกว่า โชคดีนักหนาที่พ่อแม่ของเธอสอนให้เธอรู้จักดูแลสุขภาพช่องปาก อย่างน้อยฟันของเธอขาวสะอาดและเรียงตัวสวยงามดี
'ความคิดเห็นที่ 3 :
ลองพูดกับตัวเองหน้ากระจกดูก่อน ชวนตัวเองคุยอะไรงี้ - สมาชิกหมายเลข xxxxxx'
'ความคิดเห็นที่ 4 :
เราไม่เคยเจอแฮะ คนหน้าเฉย ไม่รู้จะให้คำตอบยังไง' นวินดาแสดงอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ด้วยการถอนหายใจพรืด ถ้าไม่รู้จะตอบยังไง จะเข้ามาตอบให้เปลืองเนื้อที่กระทู้ทำไม
'ความคิดเห็นที่ 5 :
ดีใจนะครับ ที่คุณจขกท.รู้ว่าเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนของคุณและพยายามแก้ไข
ตอนนี้คุณมีเพื่อนที่พอจะคุยได้กี่คนครับ....' เธอหยุดคิด ตอนนี้นึกออกอยู่คนเดียว 'ผมว่าคุณลองเริ่มจากเพื่อนคนนี้ก่อนก็ได้ ลองชวนคุยในเรื่องอื่น ๆ บ้าง....' เรื่องอะไรดีล่ะเนี่ย วัน ๆ ก็คุยกันแต่เรื่องลมฟ้าอากาศ เรื่องเรียน แล้วก็เรื่องแม่นัทตี้ 'ให้เขาช่วยวิจารณ์ท่าทางของคุณตอนที่คุย แล้วคุณก็จะได้แก้ไขท่าทางที่ทำให้คนไม่กล้ามาคุยกับคุณไงครับ หรือจะลองคุยกับผมก็ได้นะ ^^ - Mr.Eleven'
นวินดาเริ่มรู้สึกท้อ จาก 5 ความคิดเห็นนี้ มีที่เธอเห็นว่าพอจะเข้าท่าจริง ๆ ก็แค่การฝึกยิ้มแค่นั้นเอง แต่เธอคิดว่ามันน้อยไปหน่อย นี่เธอต้องเข้าคอร์สจิตวิทยาวัยรุ่นหรือเปล่าเนี่ย