ท้องฟ้าเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยามบ่ายในขณะนั้น แดงฉานราวกับถูกสาดด้วยสายโลหิต เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงพายุใหญ่ที่กำลังจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า
ในขณะที่ท้องทะเลอันปั่นป่วนไปด้วยกระแสคลื่น เหล่าเรือรบโรมันโบราณนับร้อยก็กำลังลอยละล่องโยกไหวไปมาราวกับฝูงปลาที่ผุดขึ้นมาโลดแล่นบนผิวน้ำ แลเห็นใบพายขนาดใหญ่มากมายของเรือแต่ละลำนั้นวาดว่ายเป็นจังหวะราวกับครีบของปลาที่โบกพัดสะบัดพลิ้ว
บนเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นจ่าฝูงของกองเรือรบโรมันอันเกรียงไกรนี้...
เดมิเซียส แม่ทัพผู้องอาจสง่างามในขุดนักรบโรมันอันดุดันน่าเกรงขาม เดินออกมาที่ดาดฟ้าเรือ ซึ่งขณะนั้น เหล่าบรรดานายทหารหลายคนกำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่
นายทหารทั้งมวลทำความเคารพเดมิเซียสอย่างนอบน้อม ก่อนที่สตาร์ตัส ผู้เป็นมือขวาได้เข้ารายงานสถานการณ์ต่างๆให้ผู้บังคับบัญชาของตนทราบ
" คาดว่าจะมีพายุใหญ่ อาจเป็นอุปสรรคให้การเดินทางล่าช้าไปอีก "
เดมิเซียสยกมือขึ้นลูบคางพลางว่า
" รักษาระดับความเร็ว แล้วเกาะกลุ่มกันไว้ ส่งสัญญาณให้เรือทุกลำเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน "
กล่าวจบ แม่ทัพผู้ห้าวหาญหันไปมองนายทหารหนุ่มรูปหล่อผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักพลางเอ่ย
" เอริออส เข้ามาข้างในหน่อย "
เดมิเซียสว่าพลางก็เดินกลับเข้าไปภายในห้องพักของตนโดยมีเอริออส นายทหารหนุ่มหุ่นล่ำเดินตามมาติดๆ โดยไม่รู้เลยว่าสตาร์ตัสเหลือบมองเอริออสด้วยแววตาแห่งความริษยา
เมื่อทั้งสองเข้าสู่ห้องอันมิดชิดเอริออสได้หันไปปิดประตู เดมิเซียสก็หยุดยืนจังก้าอยู่กลางห้อง พลางจ้องมองเอริออสด้วยสายตาอันกรุ้มกริ่ม
ฝ่ายเอริออสเองก็ดั่งรู้เป็นนัย เขาเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับผู้บังคับบัญชาของตนก่อนที่เดมิเซียสจะยกมือขึ้นลูบไล้เรียวคางและใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกน้องผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ แม้เพียงบุรุษด้วยกันยังยามจะหักห้ามความรู้สึกผิดแผกนั้นได้
เอริออสถูกรั้งใบหน้าเข้าหาแม่ทัพผู้องอาจ ก่อนที่เรียวปากอันบางเบาจะถูกตระโบมพรมจูบอย่างดุดันจากเดมิเซียสผู้เถื่อนดิบราวกับสีห์ราชผู้คุโชนไปด้วยเพลิงสวาทที่เผาผลาญ
เรือนกายอันกำยำและกล้าแกร่งภายใต้ชุดเสื้อเกราะนักรบโรมันอันเทอะทะและหนักอึ้งนั้นกอดก่ายโอบกระชับกันอย่างหนักหน่วงพลางต่างช่วยกันปลดเปลื้องเครื่องพันธนาการร่างกายของกันและกันนั้นออกอย่างรวดเร็วจนแผ่นอกอันกำยำสมชายชาตรีนั้นปรากฏแก่สายตา
ลีลารักของเดมิเซียสนั้นสร้างฝันอันบรรเจิดให้บังเกิดขึ้นแก่เอริออสอย่างซ่านกระสัน จนกายาแห่งชายฉกรรจ์ทั้งสองนั้นสั่นสะท้านตอบรับเป็นจังหวะกันอย่างต่อเนื่องไปตามครรลอง ในขณะที่ภายนอกห้องแห่งนั้น สถานการณ์อันคับขันก็ได้เริ่มอุบัติขึ้น
เกลียวพายุอันกรรโชกแรงได้โหมกระหน่ำใส่กองเรือรบอันเกรียงไกรจนแลเห็นลำเรือนับร้อยโยกไหวโครงเครงไปมาอย่างน่ากลัว ซึ่งท้องฟ้าในพลานั้นก็ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำสนิทและกระแสลมก็โหมกระพือพัดแรงขึ้นทุกขณะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่าย ตรงกันข้าม กลับดูจะยิ่งดุดันแข็งกร้าวราวเทพเจ้าพิโรธ
สายฟ้าฟาดฟันลงมาหลายสาย ซึ่งหลังจากนั้น หยาดฝนมากมายก็เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เรือทุกลำก็ยังคงแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ถาโถมนั้นต่อไปโดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับสถานการณ์ที่ประสบเลยแม้แต่น้อย
หากแต่บนรือแม่ทัพนั้น นาริอุส ผู้เป็นนายทหารมือซ้ายแห่งเดมิเซียสได้วิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ หมายเข้ารายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หากแต่เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของแม่ทัพ เขากลับถูกสตาร์ตัสผู้เป็นมือขวาข้าขวางไว้พลางกระซิบว่า
" อยากตายรึเจ้า มิรู้หรือว่ากำลังอยู่กับเอริออส "
" แต่พายุเริ่มหนักขึ้น จำเป็นต้องรายงาน "
" รอไปก่อน สถานการณ์ยังควบคุมได้ "
สตาร์ตัสเสียงแข็งใส่ ยังผลให้นาริอุสต้องถอยจากมาด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ภายในห้องพักของแม่ทัพเดมิเซียสนั้น...
กิจกรรมสวาทแห่งชายฉกรรจ์ดำเนินมาจนสิ้นสุดและทั้งสองต่างก็นอนกอดก่ายกันอยู่บนที่นอนภายใต้ผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์ผืนใหญ่ ในขณะที่ลำเรือก็โครงเครงโยกไหวขึ้นลงไปมาไม่หยุดหย่อน และเสียงฝนฟ้าอันคึกคะนองก็กระหน่ำซัดอย่างไม่ยั้ง ซึ่งเพลานั้น เสียงนาริอุส ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับการเคาะประตูห้อง
" ท่านแม่ทัพ เรือเราจมลงไปกว่าครึ่งแล้วขอรับ "
เดมิเซียสได้ยินดังนั้นก็พลันลืมตารีบกระโจนลากผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่คลุมกายลงจากที่นอนไป เผยให้เห็นร่างกายอันเปล่าเปลือยของเอริออสที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ ซึ่งพักหนึ่ง เอริออสก็รีบหันไปฉวยเสื้อผ้ามาสวมใส่ก่อนติดตามเดมิเซียส ออกไปโดยไม่ชักช้า
บนดาดฟ้าเรืออันฉุกละหุกและสับสนวุ่นวายไปด้วยบรรดานายทหารที่กำลังสั่งการลูกเรือ...
แม่ทัพเดมิเซียสผู้องอาจ ภายใต้ผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์ผืนใหญ่ที่โบกสะบัดกระพือพัดตามแรงลมพายุ กำลังบัญชาการหล่าทหารทั้งมวลในกองทัพด้วยความเข้มแข็งและสติปัญญาอันชาญฉลาดล้ำลึกเพื่อให้ไพร่พลฝ่าผ่านสถานการณ์วิกฤติอันเลวร้ายและสุดหฤโหดในครั้งนี้ไปให้จงได้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าภัยพิบัติที่บังเกิดขึ้นนั้นจะเหนือความคาดหมายและเกินขีดจำกัดที่จะควบคุมได้เสียแล้ว
เกลียวคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้รือรบหลายลำพุ่งข้าชนกันเองจนอับปางลง และบรรดาไพร่พลทหารหาญก็ลอยคอจมหายไปในมหาสมุทร บ้างก็ได้รับการช่วยเหลือจากเรือลำอื่นๆ ในขณะที่เรือบางลำกลับกิดเพลิงไหม้จนเหล่าลูกเรือต้องกระวีกระวาดกันดับไฟให้วุ่นวายไปหมด
- - - - - - - - -
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น...
แม่ทัพเดมิเซียส ในชุดนักรบโรมันเดินออกมาจากห้องพักบนเรือบัญชาการพลางทอดสายตามองสภาพท้องทะเลอันสงบราบเรียบและท้องฟ้าอันปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆหมอก
ฝูงนกนางนวลโผผินบินร่อนผ่านบรรดาเรือรบเพียงไม่กี่ลำที่เหลือรอดจากพายุร้ายเมื่อคืนนี้อย่างช้าๆ และสง่างาม ซึ่งเดมิเซียสเองก็มองดูเหล่าทหารหาญมากมายที่กำลังปฏิบัติกิจวัตรในยามเช้าและซ่อมแซมเรือทีชำรุดด้วยจิตใจอันขุ่นมัว
สตาร์ตัสและนาริอุสเข้ารายงานความเสียหายของเรือและไพร่พล ซึ่งผลจากพายุที่กระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ทำให้สูญเสียชีวิตทหารไปกว่าพันนาย และเรือรบก็จมและเสียหายไปเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเสบียงและน้ำบริสุทธิ์ที่มีอยู่ก็เหลือน้อยเต็มทน จนอาจไม่เพียงพอกับไพร่พลทั้งหมด ซึ่งหากจะเดินทางกลับสู่กรุงโรมในครานี้ เห็นทีต้องเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างแน่นอน
เดมิเซียสได้ประชุมบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า จะต้องเดินทางต่อ ถึงแม้จะเสี่ยงกับการขาดแคลนเสบียงก็ตาม
กองเรือรบโรมันเริ่มเคลื่อนออกจากตำแหน่งที่อยู่นั้นไปอย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจุดหมายคือกรุงโรมนั้น จะอยู่อีกไกลลิบ แต่ถึงกระนั้น บรรดาไพร่พลที่หลงเหลืออยู่ก็ยังมีขวัญและกำลังใจดี ไม่ได้ย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามแต่อย่างใด เนื่องจากทหารทุกนายได้ผ่านสมรภูมิอันดุเดือดกันมาแล้วอย่างโชกโชน
จนกระทั่งในที่สุด เมื่อนาริอุสได้ส่องกล้องและพบเห็นกลุ่มควันสีขาวโชยคลุ้งขึ้นจากผิวทะเลที่สุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เขาจึงรีบเข้ารายงานต่อเดมิเซียสด้วยความตื่นเต้น ซึ่งนาริอุสก็ส่งกล้องให้แม่ทัพหนุ่มผู้นั้น
" คาดว่าจะเป็นควันจากปล่องภูเขาไฟ "
นาริอุสกล่าวจบ เดมิเซียสจึงว่า
" ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี เราอาจมีความหวัง "
แม่ทัพผู้องอาจออกคำสั่งให้มุ่งหน้าสู่จุดที่เป็นต้นกำเนิดของกลุ่มควันสีขาวแห่งนั้นในทันที ซึ่งภายหลังจากที่ฝีพายของเรือทุกลำเร่งรีบจ้วงพายจ้ำ ในไม่ช้า ภาพของเกาะแห่งหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา ยังความตื่นเต้นยินดีให้แก่เหล่าทหารทั้งมวลยิ่งนัก
- - - - - - - - -
บ่ายวันนั้น...
กองเรือรบโรมันจอดกระจายกันอยู่ที่ชายฝั่งใกล้เกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นส่งควันสีขาวโชยคลุ้งขึ้นมาไม่ขาดสาย ราวกับเป็นสัญญาณเตือนภัยอะไรบางอย่าง
เดมีเซียสได้นำไพร่พลกึ่งหนึ่งขึ้นบกเพื่อตั้งค่ายอยู่ใกล้ชายหาด ส่วนกำลังอีกครึ่งหนึ่งให้อยู่บนเรือ โดยมีเอริออสเป็นผู้ดูแล ก่อนจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งออกสำรวจบนเกาะ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีคนอาศัยอยู่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะกองทหารโรมันของแม่ทัพเดมิเซียสได้ปะทะเข้ากับชาวพื้นเมืองของเกาะแห่งนี้ และโรมันเป็นฝ่ายได้ชัย หากแต่ทางเดมิเซียสได้บอกกับชาวเกาะว่ามิได้ประสงค์จะทำร้าย หากเพียงแต่ต้องการเสบียงอาหารและน้ำเพื่อกลับกรุงโรมเท่านั้น
บรรดาชาวเกาะ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รีบพาเดมิเซียสและผู้ติดตามไปยังวังของเจ้าของเกาะในทันที ซึ่งเมื่อแม่ทัพโรมันและนายทหารติดตามได้เดินทางมาถึงถานที่ดังกล่าว พวกเขาก็ถึงกับตะลึงงันที่ได้เห็นเมืองอันใหญ่โตโมฬารตระการตา เต็มไปด้วยหอรบและกำแพงอันแน่นหนาราวกับจะป้องกันการรุกรานจากอริราชศัตรู
เดมิเซียสและบรรดาผู้ติดตามได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติอยู่ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่าอลังการที่ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดา จนพวกเขาทั้งหลายถึงกับทึ่งและนิ่งอึงจนพูดอะไรไม่ออก
" ไม่น่าเชื่อว่าเกาะเล็กๆเช่นนี้จะมีทรัพย์สมบัติมหาศาล "
นาริอุสกระซิบกับสตาร์ตัส ซึ่งตาร์ตัสก็ทอดายตามองไปรอบๆด้วยความละโมบพลางว่า
" น่าจะมีมากกว่านี้อีก "
ครู่ใหญ่ องครักษ์แห่งเจ้าเกาะก็มาบอกว่า พระราชาของพวกเขากำลังเสด็จมาแล้ว ซึ่งนายทหารโรมันทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติพลางทอดสายตาไปยังด้านในสุดแห่งท้องพระโรง ซึ่งบัดนั้น มีชายหนุ่มร่างสูงสันทัด ในชุดเครื่องทรงอย่างกษัตริย์อันงามสง่าได้เดินออกมาแล้วนั่งบนบัลลังก์
เหล่านายทหารโรมันทั้งมวลต่างก้มศีรษะน้อมคำนับ ก่อนนั่งลง เหลือเพียงแม่ทัพเดมิเซียสเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งอึงอยู่กับที่ ซึ่งเพลานั้น ดวงตาทั้งคู่ของเดมิเซียสนั้นกลับจ้องมองไปที่พระราชาของเกาะแห่งนี้อย่างไม่วางตา เนื่องจากว่าพระพักตร์แห่งพระราชาพระองค์นั้นช่างงดงามมีเสน่ห์น่าหลงใหล และดึงดูดใจแม่ทัพเดมิเซียสอย่างมาก ซึ่งเดมิเซียสเองก็โปรยยิ้มพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้
" ขอถวายพระพรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระองค์ เดมิเซียส แม่ทัพแห่งกองเรือรบโรมัน เนื่องจากเหตุพายุเมื่อคืนนี้ ได้ทำให้พวกข้าพระองค์สูญเสียเรือ ไพร่พล เสบียงอาหารและน้ำไปเป็นจำนวนมาก จนไม่อาจเดินทางกลับกรุงโรมอย่างปลอดภัยได้ จึงใคร่ขอพระราชานุเคราะห์จากพระองค์ในครั้งนี้ "
พระราชาทรงยิ้มตอบ ก่อนมีพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันนุ่มลึกดูอบอุ่น
" เรารู้สึกยินดีมาก ที่จะได้ให้ความช่วยเหลือแก่ท่านและกองทัพโรมัน ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดก็ขอเชิญบอกกับองค์รักษ์ของเราได้ เราจะจัดการให้ทุกสิ่ง และตอนนี้ ขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนกันก่อน ในคืนนี้เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกท่าน "
- - - - - - - - -
กลางดึก ภายในงานเลี้ยงต้อนรับกองทัพของเดมิเซียส
บรรดานายทหารทั้งมวลต่างอิ่มหนำสำราญและสนุกสนานไปกับการรื่นเริงที่พระราชาทรงพระราชทานให้ ทุกคนต่างดื่มกินกันจนเมามาย ซึ่งเดมิเซียสเองก็รู้สึกเป็นสุขอย่างเหลือล้น ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระราชาผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และมีพระอารมณ์ขัน จนทำให้แม่ทัพผู้องอาจนั้นถึงกับลืมเอริออสผู้เป็นนายทหารผู้รู้ใจไปเลย ซึ่งในขณะนั้น เอริออสก็ถูกทิ้งให้อยู่เดียวดายบนเรือบัญชาการที่จอดทอดสมออยู่กลางทะเล ห่างจากเกาะแห่งนั้นไปไม่ไกลนัก
เอริออสออกจากห้องพักมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พลางทอดสายตาออกไปยังภูเขาไฟกลางเกาะซึ่งยังคงปล่อยกลุ่มควันสีขาวขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีทีท่าว่าจะดับลงเสียง่ายๆ
[ เรื่องสั้นแนววาย - แฟนตาซี ] :: ลาวาพยาบาท :: เขียนโดย ด๋ง
ในขณะที่ท้องทะเลอันปั่นป่วนไปด้วยกระแสคลื่น เหล่าเรือรบโรมันโบราณนับร้อยก็กำลังลอยละล่องโยกไหวไปมาราวกับฝูงปลาที่ผุดขึ้นมาโลดแล่นบนผิวน้ำ แลเห็นใบพายขนาดใหญ่มากมายของเรือแต่ละลำนั้นวาดว่ายเป็นจังหวะราวกับครีบของปลาที่โบกพัดสะบัดพลิ้ว
บนเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นจ่าฝูงของกองเรือรบโรมันอันเกรียงไกรนี้...
เดมิเซียส แม่ทัพผู้องอาจสง่างามในขุดนักรบโรมันอันดุดันน่าเกรงขาม เดินออกมาที่ดาดฟ้าเรือ ซึ่งขณะนั้น เหล่าบรรดานายทหารหลายคนกำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่
นายทหารทั้งมวลทำความเคารพเดมิเซียสอย่างนอบน้อม ก่อนที่สตาร์ตัส ผู้เป็นมือขวาได้เข้ารายงานสถานการณ์ต่างๆให้ผู้บังคับบัญชาของตนทราบ
" คาดว่าจะมีพายุใหญ่ อาจเป็นอุปสรรคให้การเดินทางล่าช้าไปอีก "
เดมิเซียสยกมือขึ้นลูบคางพลางว่า
" รักษาระดับความเร็ว แล้วเกาะกลุ่มกันไว้ ส่งสัญญาณให้เรือทุกลำเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน "
กล่าวจบ แม่ทัพผู้ห้าวหาญหันไปมองนายทหารหนุ่มรูปหล่อผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักพลางเอ่ย
" เอริออส เข้ามาข้างในหน่อย "
เดมิเซียสว่าพลางก็เดินกลับเข้าไปภายในห้องพักของตนโดยมีเอริออส นายทหารหนุ่มหุ่นล่ำเดินตามมาติดๆ โดยไม่รู้เลยว่าสตาร์ตัสเหลือบมองเอริออสด้วยแววตาแห่งความริษยา
เมื่อทั้งสองเข้าสู่ห้องอันมิดชิดเอริออสได้หันไปปิดประตู เดมิเซียสก็หยุดยืนจังก้าอยู่กลางห้อง พลางจ้องมองเอริออสด้วยสายตาอันกรุ้มกริ่ม
ฝ่ายเอริออสเองก็ดั่งรู้เป็นนัย เขาเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับผู้บังคับบัญชาของตนก่อนที่เดมิเซียสจะยกมือขึ้นลูบไล้เรียวคางและใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกน้องผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ แม้เพียงบุรุษด้วยกันยังยามจะหักห้ามความรู้สึกผิดแผกนั้นได้
เอริออสถูกรั้งใบหน้าเข้าหาแม่ทัพผู้องอาจ ก่อนที่เรียวปากอันบางเบาจะถูกตระโบมพรมจูบอย่างดุดันจากเดมิเซียสผู้เถื่อนดิบราวกับสีห์ราชผู้คุโชนไปด้วยเพลิงสวาทที่เผาผลาญ
เรือนกายอันกำยำและกล้าแกร่งภายใต้ชุดเสื้อเกราะนักรบโรมันอันเทอะทะและหนักอึ้งนั้นกอดก่ายโอบกระชับกันอย่างหนักหน่วงพลางต่างช่วยกันปลดเปลื้องเครื่องพันธนาการร่างกายของกันและกันนั้นออกอย่างรวดเร็วจนแผ่นอกอันกำยำสมชายชาตรีนั้นปรากฏแก่สายตา
ลีลารักของเดมิเซียสนั้นสร้างฝันอันบรรเจิดให้บังเกิดขึ้นแก่เอริออสอย่างซ่านกระสัน จนกายาแห่งชายฉกรรจ์ทั้งสองนั้นสั่นสะท้านตอบรับเป็นจังหวะกันอย่างต่อเนื่องไปตามครรลอง ในขณะที่ภายนอกห้องแห่งนั้น สถานการณ์อันคับขันก็ได้เริ่มอุบัติขึ้น
เกลียวพายุอันกรรโชกแรงได้โหมกระหน่ำใส่กองเรือรบอันเกรียงไกรจนแลเห็นลำเรือนับร้อยโยกไหวโครงเครงไปมาอย่างน่ากลัว ซึ่งท้องฟ้าในพลานั้นก็ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำสนิทและกระแสลมก็โหมกระพือพัดแรงขึ้นทุกขณะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่าย ตรงกันข้าม กลับดูจะยิ่งดุดันแข็งกร้าวราวเทพเจ้าพิโรธ
สายฟ้าฟาดฟันลงมาหลายสาย ซึ่งหลังจากนั้น หยาดฝนมากมายก็เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เรือทุกลำก็ยังคงแล่นฝ่าเกลียวคลื่นที่ถาโถมนั้นต่อไปโดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับสถานการณ์ที่ประสบเลยแม้แต่น้อย
หากแต่บนรือแม่ทัพนั้น นาริอุส ผู้เป็นนายทหารมือซ้ายแห่งเดมิเซียสได้วิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ หมายเข้ารายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หากแต่เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของแม่ทัพ เขากลับถูกสตาร์ตัสผู้เป็นมือขวาข้าขวางไว้พลางกระซิบว่า
" อยากตายรึเจ้า มิรู้หรือว่ากำลังอยู่กับเอริออส "
" แต่พายุเริ่มหนักขึ้น จำเป็นต้องรายงาน "
" รอไปก่อน สถานการณ์ยังควบคุมได้ "
สตาร์ตัสเสียงแข็งใส่ ยังผลให้นาริอุสต้องถอยจากมาด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ภายในห้องพักของแม่ทัพเดมิเซียสนั้น...
กิจกรรมสวาทแห่งชายฉกรรจ์ดำเนินมาจนสิ้นสุดและทั้งสองต่างก็นอนกอดก่ายกันอยู่บนที่นอนภายใต้ผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์ผืนใหญ่ ในขณะที่ลำเรือก็โครงเครงโยกไหวขึ้นลงไปมาไม่หยุดหย่อน และเสียงฝนฟ้าอันคึกคะนองก็กระหน่ำซัดอย่างไม่ยั้ง ซึ่งเพลานั้น เสียงนาริอุส ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับการเคาะประตูห้อง
" ท่านแม่ทัพ เรือเราจมลงไปกว่าครึ่งแล้วขอรับ "
เดมิเซียสได้ยินดังนั้นก็พลันลืมตารีบกระโจนลากผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่คลุมกายลงจากที่นอนไป เผยให้เห็นร่างกายอันเปล่าเปลือยของเอริออสที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ ซึ่งพักหนึ่ง เอริออสก็รีบหันไปฉวยเสื้อผ้ามาสวมใส่ก่อนติดตามเดมิเซียส ออกไปโดยไม่ชักช้า
บนดาดฟ้าเรืออันฉุกละหุกและสับสนวุ่นวายไปด้วยบรรดานายทหารที่กำลังสั่งการลูกเรือ...
แม่ทัพเดมิเซียสผู้องอาจ ภายใต้ผ้าห่มสีขาวบริสุทธิ์ผืนใหญ่ที่โบกสะบัดกระพือพัดตามแรงลมพายุ กำลังบัญชาการหล่าทหารทั้งมวลในกองทัพด้วยความเข้มแข็งและสติปัญญาอันชาญฉลาดล้ำลึกเพื่อให้ไพร่พลฝ่าผ่านสถานการณ์วิกฤติอันเลวร้ายและสุดหฤโหดในครั้งนี้ไปให้จงได้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าภัยพิบัติที่บังเกิดขึ้นนั้นจะเหนือความคาดหมายและเกินขีดจำกัดที่จะควบคุมได้เสียแล้ว
เกลียวคลื่นที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้รือรบหลายลำพุ่งข้าชนกันเองจนอับปางลง และบรรดาไพร่พลทหารหาญก็ลอยคอจมหายไปในมหาสมุทร บ้างก็ได้รับการช่วยเหลือจากเรือลำอื่นๆ ในขณะที่เรือบางลำกลับกิดเพลิงไหม้จนเหล่าลูกเรือต้องกระวีกระวาดกันดับไฟให้วุ่นวายไปหมด
- - - - - - - - -
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น...
แม่ทัพเดมิเซียส ในชุดนักรบโรมันเดินออกมาจากห้องพักบนเรือบัญชาการพลางทอดสายตามองสภาพท้องทะเลอันสงบราบเรียบและท้องฟ้าอันปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆหมอก
ฝูงนกนางนวลโผผินบินร่อนผ่านบรรดาเรือรบเพียงไม่กี่ลำที่เหลือรอดจากพายุร้ายเมื่อคืนนี้อย่างช้าๆ และสง่างาม ซึ่งเดมิเซียสเองก็มองดูเหล่าทหารหาญมากมายที่กำลังปฏิบัติกิจวัตรในยามเช้าและซ่อมแซมเรือทีชำรุดด้วยจิตใจอันขุ่นมัว
สตาร์ตัสและนาริอุสเข้ารายงานความเสียหายของเรือและไพร่พล ซึ่งผลจากพายุที่กระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ทำให้สูญเสียชีวิตทหารไปกว่าพันนาย และเรือรบก็จมและเสียหายไปเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเสบียงและน้ำบริสุทธิ์ที่มีอยู่ก็เหลือน้อยเต็มทน จนอาจไม่เพียงพอกับไพร่พลทั้งหมด ซึ่งหากจะเดินทางกลับสู่กรุงโรมในครานี้ เห็นทีต้องเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างแน่นอน
เดมิเซียสได้ประชุมบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า จะต้องเดินทางต่อ ถึงแม้จะเสี่ยงกับการขาดแคลนเสบียงก็ตาม
กองเรือรบโรมันเริ่มเคลื่อนออกจากตำแหน่งที่อยู่นั้นไปอย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจุดหมายคือกรุงโรมนั้น จะอยู่อีกไกลลิบ แต่ถึงกระนั้น บรรดาไพร่พลที่หลงเหลืออยู่ก็ยังมีขวัญและกำลังใจดี ไม่ได้ย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามแต่อย่างใด เนื่องจากทหารทุกนายได้ผ่านสมรภูมิอันดุเดือดกันมาแล้วอย่างโชกโชน
จนกระทั่งในที่สุด เมื่อนาริอุสได้ส่องกล้องและพบเห็นกลุ่มควันสีขาวโชยคลุ้งขึ้นจากผิวทะเลที่สุดขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เขาจึงรีบเข้ารายงานต่อเดมิเซียสด้วยความตื่นเต้น ซึ่งนาริอุสก็ส่งกล้องให้แม่ทัพหนุ่มผู้นั้น
" คาดว่าจะเป็นควันจากปล่องภูเขาไฟ "
นาริอุสกล่าวจบ เดมิเซียสจึงว่า
" ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี เราอาจมีความหวัง "
แม่ทัพผู้องอาจออกคำสั่งให้มุ่งหน้าสู่จุดที่เป็นต้นกำเนิดของกลุ่มควันสีขาวแห่งนั้นในทันที ซึ่งภายหลังจากที่ฝีพายของเรือทุกลำเร่งรีบจ้วงพายจ้ำ ในไม่ช้า ภาพของเกาะแห่งหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา ยังความตื่นเต้นยินดีให้แก่เหล่าทหารทั้งมวลยิ่งนัก
- - - - - - - - -
บ่ายวันนั้น...
กองเรือรบโรมันจอดกระจายกันอยู่ที่ชายฝั่งใกล้เกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นส่งควันสีขาวโชยคลุ้งขึ้นมาไม่ขาดสาย ราวกับเป็นสัญญาณเตือนภัยอะไรบางอย่าง
เดมีเซียสได้นำไพร่พลกึ่งหนึ่งขึ้นบกเพื่อตั้งค่ายอยู่ใกล้ชายหาด ส่วนกำลังอีกครึ่งหนึ่งให้อยู่บนเรือ โดยมีเอริออสเป็นผู้ดูแล ก่อนจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งออกสำรวจบนเกาะ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีคนอาศัยอยู่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะกองทหารโรมันของแม่ทัพเดมิเซียสได้ปะทะเข้ากับชาวพื้นเมืองของเกาะแห่งนี้ และโรมันเป็นฝ่ายได้ชัย หากแต่ทางเดมิเซียสได้บอกกับชาวเกาะว่ามิได้ประสงค์จะทำร้าย หากเพียงแต่ต้องการเสบียงอาหารและน้ำเพื่อกลับกรุงโรมเท่านั้น
บรรดาชาวเกาะ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ รีบพาเดมิเซียสและผู้ติดตามไปยังวังของเจ้าของเกาะในทันที ซึ่งเมื่อแม่ทัพโรมันและนายทหารติดตามได้เดินทางมาถึงถานที่ดังกล่าว พวกเขาก็ถึงกับตะลึงงันที่ได้เห็นเมืองอันใหญ่โตโมฬารตระการตา เต็มไปด้วยหอรบและกำแพงอันแน่นหนาราวกับจะป้องกันการรุกรานจากอริราชศัตรู
เดมิเซียสและบรรดาผู้ติดตามได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติอยู่ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่าอลังการที่ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดา จนพวกเขาทั้งหลายถึงกับทึ่งและนิ่งอึงจนพูดอะไรไม่ออก
" ไม่น่าเชื่อว่าเกาะเล็กๆเช่นนี้จะมีทรัพย์สมบัติมหาศาล "
นาริอุสกระซิบกับสตาร์ตัส ซึ่งตาร์ตัสก็ทอดายตามองไปรอบๆด้วยความละโมบพลางว่า
" น่าจะมีมากกว่านี้อีก "
ครู่ใหญ่ องครักษ์แห่งเจ้าเกาะก็มาบอกว่า พระราชาของพวกเขากำลังเสด็จมาแล้ว ซึ่งนายทหารโรมันทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติพลางทอดสายตาไปยังด้านในสุดแห่งท้องพระโรง ซึ่งบัดนั้น มีชายหนุ่มร่างสูงสันทัด ในชุดเครื่องทรงอย่างกษัตริย์อันงามสง่าได้เดินออกมาแล้วนั่งบนบัลลังก์
เหล่านายทหารโรมันทั้งมวลต่างก้มศีรษะน้อมคำนับ ก่อนนั่งลง เหลือเพียงแม่ทัพเดมิเซียสเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งอึงอยู่กับที่ ซึ่งเพลานั้น ดวงตาทั้งคู่ของเดมิเซียสนั้นกลับจ้องมองไปที่พระราชาของเกาะแห่งนี้อย่างไม่วางตา เนื่องจากว่าพระพักตร์แห่งพระราชาพระองค์นั้นช่างงดงามมีเสน่ห์น่าหลงใหล และดึงดูดใจแม่ทัพเดมิเซียสอย่างมาก ซึ่งเดมิเซียสเองก็โปรยยิ้มพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้
" ขอถวายพระพรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระองค์ เดมิเซียส แม่ทัพแห่งกองเรือรบโรมัน เนื่องจากเหตุพายุเมื่อคืนนี้ ได้ทำให้พวกข้าพระองค์สูญเสียเรือ ไพร่พล เสบียงอาหารและน้ำไปเป็นจำนวนมาก จนไม่อาจเดินทางกลับกรุงโรมอย่างปลอดภัยได้ จึงใคร่ขอพระราชานุเคราะห์จากพระองค์ในครั้งนี้ "
พระราชาทรงยิ้มตอบ ก่อนมีพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันนุ่มลึกดูอบอุ่น
" เรารู้สึกยินดีมาก ที่จะได้ให้ความช่วยเหลือแก่ท่านและกองทัพโรมัน ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดก็ขอเชิญบอกกับองค์รักษ์ของเราได้ เราจะจัดการให้ทุกสิ่ง และตอนนี้ ขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนกันก่อน ในคืนนี้เราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกท่าน "
- - - - - - - - -
กลางดึก ภายในงานเลี้ยงต้อนรับกองทัพของเดมิเซียส
บรรดานายทหารทั้งมวลต่างอิ่มหนำสำราญและสนุกสนานไปกับการรื่นเริงที่พระราชาทรงพระราชทานให้ ทุกคนต่างดื่มกินกันจนเมามาย ซึ่งเดมิเซียสเองก็รู้สึกเป็นสุขอย่างเหลือล้น ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระราชาผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และมีพระอารมณ์ขัน จนทำให้แม่ทัพผู้องอาจนั้นถึงกับลืมเอริออสผู้เป็นนายทหารผู้รู้ใจไปเลย ซึ่งในขณะนั้น เอริออสก็ถูกทิ้งให้อยู่เดียวดายบนเรือบัญชาการที่จอดทอดสมออยู่กลางทะเล ห่างจากเกาะแห่งนั้นไปไม่ไกลนัก
เอริออสออกจากห้องพักมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พลางทอดสายตาออกไปยังภูเขาไฟกลางเกาะซึ่งยังคงปล่อยกลุ่มควันสีขาวขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีทีท่าว่าจะดับลงเสียง่ายๆ