ต้องขอโทษเพื่อนๆทุกคนด้วยนะครับ ถ้าใครกำลังลองอ่านต่อเรื่องของผมอยู่
ต้องขอโทษเพราะว่า ผมลืมครับ เพราะผมเลิกเล่นพันทิปไปพักใหญ่ๆเลย เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา
เล่นแต่เฟสบุคซะส่วนมาก ผมมาต่อจากกระทู้นี้ครับ
คุยกันด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30540395
ใครที่ยังไม่ได้อ่านก็เข้าไปอ่านได้นะครับ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อเลยละกันครับ
นอกจากนี้ชาวแฟลตแลนด์ที่อาศัยอยู่ในโลกแบบสองมิติจะมีความเข้าใจบรรยากาศของโลกสามมิติได้อย่างไร การที่ชาวแฟลตแลนด์จะโพล่ขึ้นมาในดินแดนสองมิติไปยังดินแดนสามมิติและสามารถเข้าใจโลกสามมิติเลยได้หรือไม่นั้น ในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาหลายอย่างด้วยกัน เช่น การที่จะโพล่ขึ้นมาจากแฟลตแลนด์ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีการ "ขึ้น" ในโลกสองมิติแฟลตแลนด์ และสามารถหากว่าจะทำได้ ชาวแฟลตแลนด์ก็ไม่อาจใช้ตาหรือการรับรู้แบบสองมิติเห็นมุมมองของโลกสามมิติ ดังนั้นทางกายภาพชาวแฟลตแลนด์จึงไม่สามารถทำได้
เช่นเดียวกัน มนุษย์เราคงไม่อาจโพล่ขึ้นไปจากโลกแบบสามมิติเข้าไปสู่โลกอื่นๆ และหากสามารถทำได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นสิ่งต่างๆในโลกอื่นได้ แต่เราเองก็พยายามที่จะรับรู้และทำความเข้าใจโลกอื่นๆ ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ต้องไม่ลืมว่าอุปกรณ์ดังกล่าวถูกผลิตเพื่อใช้ในโลกสามมิติเท่านั้น ดังนั้นการติดต่อสื่อสารจากโลกอื่นจึงเป็นไปได้ยากเช่นกัน
หากเปรียบเทียบแบบนี้มนุษย์คงไม่ต่างจากชาวแฟลตแลนด์ เมื่อเราอยู่ในโลกสามมิติและปรากฏการณ์บางอย่างเช่น ผีหรือวิญญาณเมื่อเกิดขึ้น ทำให้เราไม่สามารถรับรู้เช่นเดียวกับชาวแฟลตแลนด์เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสที่มีในโลกสามมิติ
นั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เข้าใจปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นได้ยกเว้นบางครั้งเราก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นต้องการให้เรารับรู้ แต่การเข้าใจทั้งหมดกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก การรับรู้และตีความเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกจำกัดด้วยการรับรู้ผ่านโลกสามมิติ ทำให้เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าทำไม และสิ่งต่างๆเหล่านี้มีผลต่อเราอย่างไร และมาจากไหนและจะไปที่ใด
แล้วเราจะเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หากปรากฏการ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานอกเหลือจากประสาทสัมผัสแบบสามมิติของเรา
หากมีทฤษฎีบางอย่างสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ วิธีการการค้นหาซึ่งความจริงของเราทุกวันนี้อาจไม่สามารถจะใช้ได้เลย เช่น เครื่องจับสัญญาณจากวิญญาณ (EMF Meter) หรือ เครื่องอัดเสียงที่เกิดจากปรากฏการณ์อิเลกทรอนิกส์ (EVP recorder) และอุปกรณ์อื่นที่เราใช้บันทึกในสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้น เนื่องจากมันไม่สามารถทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
เครื่องที่สามารถจับสัญญาณแปลกๆที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณได้
โอกาสที่จะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือความรับรู้เรา จึงไม่ใช่การติดต่อทางกายภาพและประสาทสัมผัสในโลกสามมิติ แต่เป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีร่วมกัน นั่นคือจิตสำนึก (Consciousness) หรือบางครั้งอาจเรียกว่ามิติที่สี่ก็ได้
จิตสำนึกเป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่มนุษย์เองยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจน แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์บางท่านยังคิดว่าจิตสำนึกเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกของสมอง ขณะที่บ้างเชื่อว่าจิตสำนึกมีอะไรที่มีความพิเศษมากกว่านั้น นักค้นคว้าวิจัย นักปรัชญา หรือแม้กระทั้งนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักต่างสงสัยว่าจิตสำนึกอาจไม่ใช่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์เราเท่านั้น แต่น่าจะมีอยู่อยู่ทั่วไปดำรงอยู่ทั่วแห่งหนทั่วทั้งจักรวาล และแาจจะอยู่นอกจักรวาลของเราด้วยซ้ำ หากใช้ประสบการณ์การรับรู้ผ่านจิตสำนึกแล้วบางทีชาวแฟลตแลนด์อาจจะเข้าใจต่อสภาวะที่เกิดขึ้นในดินแดนสามมิติ ขณะเดียวกันมนุษย์เราก็คงเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะหมายความอย่างไร เราจะสามารถใช้จิตสำนึกในการเข้าใจสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้อย่างไร ในความเป็นจริง มนุษย์เราพยายามยกระดับความสามารถของจิตสำนึกว่าอย่างต่อเนื่องนับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา เช่น พวกโยคี ชามาน ฟากีร์ หรือผู้แสวงหาจิตวิญญาณในอารยธรรมต่างๆทั่วโลกต่างแสวงหาและพัฒนาจิตสำนึกเพื่อจะสามารถรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้จักได้ผ่านการทำสมาธิ การใช้ยาในการปรับสภาวะจิตและวิธีการอื่นๆ
กลุ่มผู้ทดลองกินยาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ทางจิต เช่นยาประเภท Ayahuasca ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทซึ่งมีสาร Psychedelic Dimethyl Tryptamine (DMT) มีรายงานว่าหลงัจากที่กินยาดังเกล่าได้สัมผัสปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโลกเรา แต่ว่าปัญหาก็คือจะรับประกันได้อย่างไรว่าประสบการณ์ทมี่เกิดขึ้นจากการกินยาจะไม่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากผลข้างเคียงของฤทธิ์ยา ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอีกเหมือนกันที่จะเชื่อประสบการณ์ดังกล่าว ขณะที่กลุ่มพวกร่างทรงต่างๆ ระหว่างที่พยายามกับดวงวิญญาณต่างๆ ผลที่ออกมายังคงไม่แน่นอน บางข้อความที่สื่อสารระหว่างร่างทรงและวิญญาณก็มีความผิดพลาด บางครั้งก็ถูกต้อง ทำให้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการณ์ด้านจิตวิเคราะห์ ซึ่งไม่สามารถรับรองความสามารถทางจิตของร่างกาย (Psychic power)
หนังสือเกี่ยวกับยาหลอนประสาท DMT ซึ่งสามารถทำให้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้
ครับ เป็นอย่างไรกันบ้างกับการพายามอธิบายแนวคิดเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็เป็นเรื่องที่มนุษย์เราไม่อาจพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่อาจตอบคำถามที่ค้างคาใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า เพราะว่าเราอยู่คนละมิติกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลยทำให้เราไม่สามารถเข้าใจกับปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเต่ากับปลา เต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสามารถอาศัยอยู่บนบกได้ แต่ปลาก็มีชีวิตอยู่แต่ในน้ำ สิ่งที่เต่าเห็นไม่สามารถอธิบายให้ปลาเข้าใจได้อย่างไร การสัมผัสปรากฏการณ์คนละมิติคงจะคล้ายกัน แม้ว่าอาจจะเห็นได้แต่ด้วยชุดอุปกรณ์หรืออวัยวะที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นในมิติที่ตนอยู่ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นในมิติอื่นๆได้หรือไม่ ทำอย่างไรเพื่อที่จะรับรู้ได้ นักวิชาการฝรั่งที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเสนอว่างั้นเราควรพัฒนาจิตของเราให้สูงขึ้น เพื่อที่จะสามารถรู้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตนสงสัย
จะว่าไปแล้วสิ่งที่ฝรั่งเสนอนั้น ก็เป็นสิ่งที่ตะวันออกเรามีมานานแสนนาน ซึ่งก็คือการนั่งสมาธิในอินเดียก่อนที่พระพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้น ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้พัฒนาแนวทางการบำเพ็ญตบะจนเกิดรูปฌาน และอรูปฌาน จนรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่อาจได้เข้าใจได้มากมาย รวมไปถึงพระเกจิอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือในบ้านเราก็มีเรื่องราวเกร็ดต่างๆ ที่ท่านประสบทางจิตและถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ฟัง เช่น ผี นางฟ้า พญานาค และเทวดาต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้รู้ไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พลอยจะกลายเป็นบ้าเป็นเสียอีกงพูดทางพระก็คงจะเรียกว่าอจินไตยนั่นเองไม่ทำให้หลุดพ้นจากทุกข์โศก ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆขึ้นมา หากยังมัวลุ่มหลงและงมงายกับสิ่งเหล่านี้
แต่อย่างว่าละครับ มนุษย์เราเป็นพวกขี้สงสัย เวลาผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีก็ยังพยายามกันอยู่ตลอดเพื่อจะตอบปัญหาที่ตัวเองไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็วนเวียนกลับมาที่คำถามเดิม คือ คนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ซึ่งก็คือคำถามเชิงอภิปรัชญา (Metaphysic) นั่นเองครับ
จบแล้ว เห้อกว่าจะจบ เล่นเอาซะสมองบวม แล้วติดตามต่อเรื่องไปละกันครับขอบคุณครับ
ฝากเพจที่เฟสบุคด้วยนะครับ
เพจ "เหนือธรรมชาติ" สิ่งลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ เราจะลองมาอธบายในแง่ของวิทยาศาสตร์กัน
https://www.facebook.com/Supernaturalinsci
เพจ "โลกแห่งความจริง" เพจสำหรับชาววิทย์ ความรู้ต่างๆต่างทุกมุมโลก
https://www.facebook.com/Real.of.The.world
#By apisitsanook
คุยกันด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนที่ 2
ต้องขอโทษเพราะว่า ผมลืมครับ เพราะผมเลิกเล่นพันทิปไปพักใหญ่ๆเลย เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา
เล่นแต่เฟสบุคซะส่วนมาก ผมมาต่อจากกระทู้นี้ครับ
คุยกันด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/30540395
ใครที่ยังไม่ได้อ่านก็เข้าไปอ่านได้นะครับ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อเลยละกันครับ
นอกจากนี้ชาวแฟลตแลนด์ที่อาศัยอยู่ในโลกแบบสองมิติจะมีความเข้าใจบรรยากาศของโลกสามมิติได้อย่างไร การที่ชาวแฟลตแลนด์จะโพล่ขึ้นมาในดินแดนสองมิติไปยังดินแดนสามมิติและสามารถเข้าใจโลกสามมิติเลยได้หรือไม่นั้น ในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาหลายอย่างด้วยกัน เช่น การที่จะโพล่ขึ้นมาจากแฟลตแลนด์ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีการ "ขึ้น" ในโลกสองมิติแฟลตแลนด์ และสามารถหากว่าจะทำได้ ชาวแฟลตแลนด์ก็ไม่อาจใช้ตาหรือการรับรู้แบบสองมิติเห็นมุมมองของโลกสามมิติ ดังนั้นทางกายภาพชาวแฟลตแลนด์จึงไม่สามารถทำได้
เช่นเดียวกัน มนุษย์เราคงไม่อาจโพล่ขึ้นไปจากโลกแบบสามมิติเข้าไปสู่โลกอื่นๆ และหากสามารถทำได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นสิ่งต่างๆในโลกอื่นได้ แต่เราเองก็พยายามที่จะรับรู้และทำความเข้าใจโลกอื่นๆ ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ต้องไม่ลืมว่าอุปกรณ์ดังกล่าวถูกผลิตเพื่อใช้ในโลกสามมิติเท่านั้น ดังนั้นการติดต่อสื่อสารจากโลกอื่นจึงเป็นไปได้ยากเช่นกัน
หากเปรียบเทียบแบบนี้มนุษย์คงไม่ต่างจากชาวแฟลตแลนด์ เมื่อเราอยู่ในโลกสามมิติและปรากฏการณ์บางอย่างเช่น ผีหรือวิญญาณเมื่อเกิดขึ้น ทำให้เราไม่สามารถรับรู้เช่นเดียวกับชาวแฟลตแลนด์เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสที่มีในโลกสามมิติ
นั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เข้าใจปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นได้ยกเว้นบางครั้งเราก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นต้องการให้เรารับรู้ แต่การเข้าใจทั้งหมดกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก การรับรู้และตีความเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกจำกัดด้วยการรับรู้ผ่านโลกสามมิติ ทำให้เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าทำไม และสิ่งต่างๆเหล่านี้มีผลต่อเราอย่างไร และมาจากไหนและจะไปที่ใด
แล้วเราจะเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หากปรากฏการ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานอกเหลือจากประสาทสัมผัสแบบสามมิติของเรา
หากมีทฤษฎีบางอย่างสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ วิธีการการค้นหาซึ่งความจริงของเราทุกวันนี้อาจไม่สามารถจะใช้ได้เลย เช่น เครื่องจับสัญญาณจากวิญญาณ (EMF Meter) หรือ เครื่องอัดเสียงที่เกิดจากปรากฏการณ์อิเลกทรอนิกส์ (EVP recorder) และอุปกรณ์อื่นที่เราใช้บันทึกในสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้น เนื่องจากมันไม่สามารถทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
โอกาสที่จะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือความรับรู้เรา จึงไม่ใช่การติดต่อทางกายภาพและประสาทสัมผัสในโลกสามมิติ แต่เป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีร่วมกัน นั่นคือจิตสำนึก (Consciousness) หรือบางครั้งอาจเรียกว่ามิติที่สี่ก็ได้
จิตสำนึกเป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่มนุษย์เองยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจน แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์บางท่านยังคิดว่าจิตสำนึกเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกของสมอง ขณะที่บ้างเชื่อว่าจิตสำนึกมีอะไรที่มีความพิเศษมากกว่านั้น นักค้นคว้าวิจัย นักปรัชญา หรือแม้กระทั้งนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักต่างสงสัยว่าจิตสำนึกอาจไม่ใช่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์เราเท่านั้น แต่น่าจะมีอยู่อยู่ทั่วไปดำรงอยู่ทั่วแห่งหนทั่วทั้งจักรวาล และแาจจะอยู่นอกจักรวาลของเราด้วยซ้ำ หากใช้ประสบการณ์การรับรู้ผ่านจิตสำนึกแล้วบางทีชาวแฟลตแลนด์อาจจะเข้าใจต่อสภาวะที่เกิดขึ้นในดินแดนสามมิติ ขณะเดียวกันมนุษย์เราก็คงเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะหมายความอย่างไร เราจะสามารถใช้จิตสำนึกในการเข้าใจสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้อย่างไร ในความเป็นจริง มนุษย์เราพยายามยกระดับความสามารถของจิตสำนึกว่าอย่างต่อเนื่องนับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา เช่น พวกโยคี ชามาน ฟากีร์ หรือผู้แสวงหาจิตวิญญาณในอารยธรรมต่างๆทั่วโลกต่างแสวงหาและพัฒนาจิตสำนึกเพื่อจะสามารถรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้จักได้ผ่านการทำสมาธิ การใช้ยาในการปรับสภาวะจิตและวิธีการอื่นๆ
กลุ่มผู้ทดลองกินยาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ทางจิต เช่นยาประเภท Ayahuasca ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทซึ่งมีสาร Psychedelic Dimethyl Tryptamine (DMT) มีรายงานว่าหลงัจากที่กินยาดังเกล่าได้สัมผัสปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโลกเรา แต่ว่าปัญหาก็คือจะรับประกันได้อย่างไรว่าประสบการณ์ทมี่เกิดขึ้นจากการกินยาจะไม่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากผลข้างเคียงของฤทธิ์ยา ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอีกเหมือนกันที่จะเชื่อประสบการณ์ดังกล่าว ขณะที่กลุ่มพวกร่างทรงต่างๆ ระหว่างที่พยายามกับดวงวิญญาณต่างๆ ผลที่ออกมายังคงไม่แน่นอน บางข้อความที่สื่อสารระหว่างร่างทรงและวิญญาณก็มีความผิดพลาด บางครั้งก็ถูกต้อง ทำให้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการณ์ด้านจิตวิเคราะห์ ซึ่งไม่สามารถรับรองความสามารถทางจิตของร่างกาย (Psychic power)
ครับ เป็นอย่างไรกันบ้างกับการพายามอธิบายแนวคิดเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็เป็นเรื่องที่มนุษย์เราไม่อาจพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่อาจตอบคำถามที่ค้างคาใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า เพราะว่าเราอยู่คนละมิติกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลยทำให้เราไม่สามารถเข้าใจกับปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเต่ากับปลา เต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสามารถอาศัยอยู่บนบกได้ แต่ปลาก็มีชีวิตอยู่แต่ในน้ำ สิ่งที่เต่าเห็นไม่สามารถอธิบายให้ปลาเข้าใจได้อย่างไร การสัมผัสปรากฏการณ์คนละมิติคงจะคล้ายกัน แม้ว่าอาจจะเห็นได้แต่ด้วยชุดอุปกรณ์หรืออวัยวะที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นในมิติที่ตนอยู่ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นในมิติอื่นๆได้หรือไม่ ทำอย่างไรเพื่อที่จะรับรู้ได้ นักวิชาการฝรั่งที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเสนอว่างั้นเราควรพัฒนาจิตของเราให้สูงขึ้น เพื่อที่จะสามารถรู้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตนสงสัย
จะว่าไปแล้วสิ่งที่ฝรั่งเสนอนั้น ก็เป็นสิ่งที่ตะวันออกเรามีมานานแสนนาน ซึ่งก็คือการนั่งสมาธิในอินเดียก่อนที่พระพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้น ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้พัฒนาแนวทางการบำเพ็ญตบะจนเกิดรูปฌาน และอรูปฌาน จนรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่อาจได้เข้าใจได้มากมาย รวมไปถึงพระเกจิอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือในบ้านเราก็มีเรื่องราวเกร็ดต่างๆ ที่ท่านประสบทางจิตและถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ฟัง เช่น ผี นางฟ้า พญานาค และเทวดาต่างๆ ซึ่งท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้รู้ไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พลอยจะกลายเป็นบ้าเป็นเสียอีกงพูดทางพระก็คงจะเรียกว่าอจินไตยนั่นเองไม่ทำให้หลุดพ้นจากทุกข์โศก ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆขึ้นมา หากยังมัวลุ่มหลงและงมงายกับสิ่งเหล่านี้
แต่อย่างว่าละครับ มนุษย์เราเป็นพวกขี้สงสัย เวลาผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีก็ยังพยายามกันอยู่ตลอดเพื่อจะตอบปัญหาที่ตัวเองไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็วนเวียนกลับมาที่คำถามเดิม คือ คนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ซึ่งก็คือคำถามเชิงอภิปรัชญา (Metaphysic) นั่นเองครับ
จบแล้ว เห้อกว่าจะจบ เล่นเอาซะสมองบวม แล้วติดตามต่อเรื่องไปละกันครับขอบคุณครับ
ฝากเพจที่เฟสบุคด้วยนะครับ
เพจ "เหนือธรรมชาติ" สิ่งลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ เราจะลองมาอธบายในแง่ของวิทยาศาสตร์กัน
https://www.facebook.com/Supernaturalinsci
เพจ "โลกแห่งความจริง" เพจสำหรับชาววิทย์ ความรู้ต่างๆต่างทุกมุมโลก
https://www.facebook.com/Real.of.The.world
#By apisitsanook