คุยกันด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
ต้องขอโทษเพื่อนๆทุกคนด้วยนะครับ  ถ้าใครกำลังลองอ่านต่อเรื่องของผมอยู่
ต้องขอโทษเพราะว่า ผมลืมครับ เพราะผมเลิกเล่นพันทิปไปพักใหญ่ๆเลย  เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา
เล่นแต่เฟสบุคซะส่วนมาก  ผมมาต่อจากกระทู้นี้ครับ
คุยกันด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/30540395
ใครที่ยังไม่ได้อ่านก็เข้าไปอ่านได้นะครับ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อเลยละกันครับ

          นอกจากนี้ชาวแฟลตแลนด์ที่อาศัยอยู่ในโลกแบบสองมิติจะมีความเข้าใจบรรยากาศของโลกสามมิติได้อย่างไร  การที่ชาวแฟลตแลนด์จะโพล่ขึ้นมาในดินแดนสองมิติไปยังดินแดนสามมิติและสามารถเข้าใจโลกสามมิติเลยได้หรือไม่นั้น  ในทางปฏิบัติยังคงมีปัญหาหลายอย่างด้วยกัน  เช่น  การที่จะโพล่ขึ้นมาจากแฟลตแลนด์ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีการ "ขึ้น" ในโลกสองมิติแฟลตแลนด์  และสามารถหากว่าจะทำได้  ชาวแฟลตแลนด์ก็ไม่อาจใช้ตาหรือการรับรู้แบบสองมิติเห็นมุมมองของโลกสามมิติ  ดังนั้นทางกายภาพชาวแฟลตแลนด์จึงไม่สามารถทำได้

          เช่นเดียวกัน  มนุษย์เราคงไม่อาจโพล่ขึ้นไปจากโลกแบบสามมิติเข้าไปสู่โลกอื่นๆ และหากสามารถทำได้  ก็ไม่แน่ว่าจะมองเห็นสิ่งต่างๆในโลกอื่นได้  แต่เราเองก็พยายามที่จะรับรู้และทำความเข้าใจโลกอื่นๆ  ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย  แต่ต้องไม่ลืมว่าอุปกรณ์ดังกล่าวถูกผลิตเพื่อใช้ในโลกสามมิติเท่านั้น  ดังนั้นการติดต่อสื่อสารจากโลกอื่นจึงเป็นไปได้ยากเช่นกัน

          หากเปรียบเทียบแบบนี้มนุษย์คงไม่ต่างจากชาวแฟลตแลนด์  เมื่อเราอยู่ในโลกสามมิติและปรากฏการณ์บางอย่างเช่น ผีหรือวิญญาณเมื่อเกิดขึ้น  ทำให้เราไม่สามารถรับรู้เช่นเดียวกับชาวแฟลตแลนด์เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสที่มีในโลกสามมิติ



          นั่นคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่เข้าใจปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นได้ยกเว้นบางครั้งเราก็สามารถรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นต้องการให้เรารับรู้  แต่การเข้าใจทั้งหมดกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก  การรับรู้และตีความเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกจำกัดด้วยการรับรู้ผ่านโลกสามมิติ  ทำให้เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าทำไม  และสิ่งต่างๆเหล่านี้มีผลต่อเราอย่างไร  และมาจากไหนและจะไปที่ใด

          แล้วเราจะเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร  หากปรากฏการ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานอกเหลือจากประสาทสัมผัสแบบสามมิติของเรา

         หากมีทฤษฎีบางอย่างสามารถอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้  วิธีการการค้นหาซึ่งความจริงของเราทุกวันนี้อาจไม่สามารถจะใช้ได้เลย  เช่น  เครื่องจับสัญญาณจากวิญญาณ  (EMF Meter)  หรือ  เครื่องอัดเสียงที่เกิดจากปรากฏการณ์อิเลกทรอนิกส์ (EVP recorder)  และอุปกรณ์อื่นที่เราใช้บันทึกในสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้น  เนื่องจากมันไม่สามารถทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์


เครื่องที่สามารถจับสัญญาณแปลกๆที่เชื่อว่าเป็นวิญญาณได้


          โอกาสที่จะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือความรับรู้เรา  จึงไม่ใช่การติดต่อทางกายภาพและประสาทสัมผัสในโลกสามมิติ  แต่เป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีร่วมกัน  นั่นคือจิตสำนึก (Consciousness)  หรือบางครั้งอาจเรียกว่ามิติที่สี่ก็ได้

          จิตสำนึกเป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่มนุษย์เองยังไม่เข้าใจอย่างชัดเจน  แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์บางท่านยังคิดว่าจิตสำนึกเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกของสมอง  ขณะที่บ้างเชื่อว่าจิตสำนึกมีอะไรที่มีความพิเศษมากกว่านั้น  นักค้นคว้าวิจัย  นักปรัชญา  หรือแม้กระทั้งนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักต่างสงสัยว่าจิตสำนึกอาจไม่ใช่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์เราเท่านั้น  แต่น่าจะมีอยู่อยู่ทั่วไปดำรงอยู่ทั่วแห่งหนทั่วทั้งจักรวาล  และแาจจะอยู่นอกจักรวาลของเราด้วยซ้ำ  หากใช้ประสบการณ์การรับรู้ผ่านจิตสำนึกแล้วบางทีชาวแฟลตแลนด์อาจจะเข้าใจต่อสภาวะที่เกิดขึ้นในดินแดนสามมิติ  ขณะเดียวกันมนุษย์เราก็คงเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ  ได้ดียิ่งขึ้นเช่นกัน

          แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะหมายความอย่างไร  เราจะสามารถใช้จิตสำนึกในการเข้าใจสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้อย่างไร  ในความเป็นจริง มนุษย์เราพยายามยกระดับความสามารถของจิตสำนึกว่าอย่างต่อเนื่องนับแต่โบราณกาลเป็นต้นมา  เช่น  พวกโยคี ชามาน  ฟากีร์  หรือผู้แสวงหาจิตวิญญาณในอารยธรรมต่างๆทั่วโลกต่างแสวงหาและพัฒนาจิตสำนึกเพื่อจะสามารถรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้จักได้ผ่านการทำสมาธิ  การใช้ยาในการปรับสภาวะจิตและวิธีการอื่นๆ

          กลุ่มผู้ทดลองกินยาที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ทางจิต  เช่นยาประเภท  Ayahuasca  ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทซึ่งมีสาร  Psychedelic Dimethyl Tryptamine (DMT)  มีรายงานว่าหลงัจากที่กินยาดังเกล่าได้สัมผัสปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในโลกเรา  แต่ว่าปัญหาก็คือจะรับประกันได้อย่างไรว่าประสบการณ์ทมี่เกิดขึ้นจากการกินยาจะไม่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากผลข้างเคียงของฤทธิ์ยา  ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอีกเหมือนกันที่จะเชื่อประสบการณ์ดังกล่าว  ขณะที่กลุ่มพวกร่างทรงต่างๆ ระหว่างที่พยายามกับดวงวิญญาณต่างๆ ผลที่ออกมายังคงไม่แน่นอน  บางข้อความที่สื่อสารระหว่างร่างทรงและวิญญาณก็มีความผิดพลาด  บางครั้งก็ถูกต้อง  ทำให้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการณ์ด้านจิตวิเคราะห์  ซึ่งไม่สามารถรับรองความสามารถทางจิตของร่างกาย (Psychic power)


หนังสือเกี่ยวกับยาหลอนประสาท DMT ซึ่งสามารถทำให้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้


          ครับ  เป็นอย่างไรกันบ้างกับการพายามอธิบายแนวคิดเรื่องเหนือธรรมชาติ  ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็เป็นเรื่องที่มนุษย์เราไม่อาจพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์  ด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่อาจตอบคำถามที่ค้างคาใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ  มีการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า  เพราะว่าเราอยู่คนละมิติกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เลยทำให้เราไม่สามารถเข้าใจกับปรากฏการณ์ดังกล่าวได้  ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเต่ากับปลา  เต่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสามารถอาศัยอยู่บนบกได้  แต่ปลาก็มีชีวิตอยู่แต่ในน้ำ สิ่งที่เต่าเห็นไม่สามารถอธิบายให้ปลาเข้าใจได้อย่างไร  การสัมผัสปรากฏการณ์คนละมิติคงจะคล้ายกัน    แม้ว่าอาจจะเห็นได้แต่ด้วยชุดอุปกรณ์หรืออวัยวะที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นในมิติที่ตนอยู่  ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นในมิติอื่นๆได้หรือไม่  ทำอย่างไรเพื่อที่จะรับรู้ได้  นักวิชาการฝรั่งที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลยเสนอว่างั้นเราควรพัฒนาจิตของเราให้สูงขึ้น  เพื่อที่จะสามารถรู้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตนสงสัย

          จะว่าไปแล้วสิ่งที่ฝรั่งเสนอนั้น  ก็เป็นสิ่งที่ตะวันออกเรามีมานานแสนนาน  ซึ่งก็คือการนั่งสมาธิในอินเดียก่อนที่พระพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้น  ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้พัฒนาแนวทางการบำเพ็ญตบะจนเกิดรูปฌาน และอรูปฌาน  จนรู้เห็นในสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่อาจได้เข้าใจได้มากมาย รวมไปถึงพระเกจิอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือในบ้านเราก็มีเรื่องราวเกร็ดต่างๆ  ที่ท่านประสบทางจิตและถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ฟัง เช่น  ผี  นางฟ้า  พญานาค  และเทวดาต่างๆ  ซึ่งท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้รู้ไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  พลอยจะกลายเป็นบ้าเป็นเสียอีกงพูดทางพระก็คงจะเรียกว่าอจินไตยนั่นเองไม่ทำให้หลุดพ้นจากทุกข์โศก  ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆขึ้นมา หากยังมัวลุ่มหลงและงมงายกับสิ่งเหล่านี้

          แต่อย่างว่าละครับ  มนุษย์เราเป็นพวกขี้สงสัย  เวลาผ่านมากี่ร้อยกี่พันปีก็ยังพยายามกันอยู่ตลอดเพื่อจะตอบปัญหาที่ตัวเองไม่เข้าใจ  และสุดท้ายก็วนเวียนกลับมาที่คำถามเดิม  คือ  คนเราเกิดมาทำไม  ตายแล้วไปไหน  นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ซึ่งก็คือคำถามเชิงอภิปรัชญา (Metaphysic)  นั่นเองครับ

จบแล้ว  เห้อกว่าจะจบ  เล่นเอาซะสมองบวม  แล้วติดตามต่อเรื่องไปละกันครับขอบคุณครับ

ฝากเพจที่เฟสบุคด้วยนะครับ

เพจ "เหนือธรรมชาติ" สิ่งลี้ลับที่หาคำตอบไม่ได้ เราจะลองมาอธบายในแง่ของวิทยาศาสตร์กัน
https://www.facebook.com/Supernaturalinsci

เพจ "โลกแห่งความจริง" เพจสำหรับชาววิทย์ ความรู้ต่างๆต่างทุกมุมโลก
https://www.facebook.com/Real.of.The.world

#By apisitsanook
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่