ไหนๆก็มีคนบอกว่าน่าสนใจแล้ว(น่าสนมั้ยไม่รู้ ตีความเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่ามีคนอยากอ่านค่ะ ฮ่าๆๆๆ) ก็เลยคิดว่าคงเขียนไล่ย้อนหลังไปตั้งแต่ที่มาที่ไป จนถึงวันแรกที่มาถึงที่นี่เลยน่าจะเข้าท่า ฮี่ๆๆๆ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม...
หลายคนคงสงสัยว่าเรามาทำอะไรที่นี่ เราเป็นนักเรียนค่ะ มาเรียนโรงเรียนบัลเล่ต์ที่นี่...อย่า!! อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นสาวผอมเพรียวหุ่นงาม เต้นเทพเหมือนหลุดออกมาจากเรื่อง Black Swan เพราะเราเพิ่งจะเริ่มเรียนบัลเล่ต์จริงๆก่อนมาที่นี่แค่สองเดือนเท่านั้น แถมเรียนแค่อาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมง ก็แปลว่าได้เรียนไปแค่ 8ชั่วโมงก่อนจะมา และที่น่าอนาถกว่าคือ ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเรียนเต้นใดๆมาก่อนทั้งสิ้น!!!
ทีนี้ก็คงสงสัยกันต่อ ว่าแล้วทำไมหล่อนเลือกจะมาเรียนบัลเล่ต์ แทนที่จะเรียนภาษา(ซึ่งทรมานสังขารน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด)
คือว่า...สารภาพแบบไม่อายว่า อยากเล่นละครเพลงค่ะ จริงๆนะ อยากเล่นละครเพลง มันก็ต้องเต้นได้ มูฟเม้นท์สวย เราเรียนร้องเพลงมาสี่ห้าปี ก็เลยคิดว่า เอาน่ะ ก่อนจะแก่จนสังขารไม่ไหว ขอลองเรียนให้ครบมันซักตั้ง เผื่อว่าจะได้ขึ้นไปอยู่บนเวที แถวหลังๆกะเค้าบ้าง ก็เลยลองดู
ผลน่ะหรือคะ...เคยเห็นลิงโดนมดกัดแล้วกระโดดยิกๆๆ เกาแกรกๆ ดิ้นไปดิ้นมาไหมคะ...น่านล่ะ แบบนั้นเลย
ทีนี้ เราก็เลยตามล่าหาโรงเรียน จนเจอที่นี่ ซึ่งหลังจากส่งอีเมลด้วยภาษาอังกฤษง่อยๆมาสามสี่ฉบับ ก็ได้ข้อสรุปจากไดเรคเตอร์โรงเรียนว่า มาได้ ที่นี่มีคลาสที่เป็น Very beginner ballet เธอเรียนได้แน่นอน ไม่ต้องกังวล เราก็โป๊ะเชะ จัดไป เงินทำงานมาช่วงนึง บวกกับที่แม่ไปกู้มาช่วยโปะแต่งบัญชีจนดูเป็นผู้เป็นคน ข้าวเรื่องขั้นตอตการขอวีซ่าที่ทำแบบมึนๆ ในที่สุด หลังจากสองเดือนผ่านไปเราก็ได้วีซ่านักเรียนมาอยู่ในมือเรียบร้อย
....มิถุนายน 2013
เราออกเดินทางจากสนามบินตอนช่วงสี่ห้าทุ่ม ก่อนไปก็นัดกับเพื่อนที่อยู่ที่โน่น ใช้นามสมมติว่า นางสาว น. คือเราก็นัดแนะกับนางไว้เรียบร้อยว่า เดี๋ยวแกมารับชั้นนะ ส่งตารางให้นะว่าบินกี่โมง ถึงกี่โมง ไฟลท์ไหน เทอร์มินัลไหน
เราไปด้วยแอร์ญี่ปุ่น ก็ได้แวะที่โตเกียวประมาณ50นาที ซึ่งแค่เดินจากเกทนึงไปรอที่เกทนึง ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว เหลือ5นาที เอ้ามีไวไฟฟรีนี่นา เช็คหน่อยละกันว่ายังไง
รู้ไหมคะว่ามีข้อความอะไรส่งมา...
ตึ่งตึ๊ง...เสียงไลน์ดังขึ้น เปิดดู ได้ข้อความจากนางสาว น. ว่า "...กูมีออดิชั่นตอนเที่ยง คงไม่ไปรับอะนะ นั่งแท็กซี่ไปบ้านเองละกัน"
เปรี้ยง...เหมือนโดนอะไรฟาดหน้า คือ...นั่นนิวยอร์คนะคะเธอ ไม่ใช่หัวลำโพง ฉันจะได้ไปถูก ="= และเนื่องจากเราหาบ้านเองจากเอเจนซี่ ไม่ใช่บ้านคนไทยด้วย ทำให้ไม่มีคำแนะนำใดๆทั้งสิ้น เราก็กะว่าจะลากคุณเธอไปด้วยกัน อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าไม่เดินหลงทางเหวออยู่คนเดียวในเมืองที่ไม่คุ้นเคย เมืองใหญ่ คนเยอะ มีเพื่อนที่ภาษาดีๆช่วยสักคน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะโหดร้ายเท่าตัวคนเดียว...แล้วนี่อะไร!!!
ที่ปวดใจกว่านั้นคือ คุณนายบอกว่ามีออดิชั่นเที่ยง...แต่เครื่องฉันลงตั้งกะเจ็ดโมงเช้านะเฟ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ด้วยความตกใจ ก็รีบส่งข้อความตอบกลับไปว่า ไม่ได้นะเฟ้ย แกต้องมารับนะ ไม่งั้นชั้นตายแน่ บลาๆๆ แต่คุณเธอก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เราเองก็แอบด่าอยู่ในใจว่า เธอมีคอมม่อนเซ้นท์บ้างมั้ยเนี่ย ฉันอยู่บนเครื่องบิน ฉันจะเปิดไลน์แชทกับเธอได้ยังไงมิทราบยะ หา!!!!
และแล้ว เราก็ต้องไปขึ้นเครื่อง โดยไร้คำตอบใดๆจากนาง...
อีก13ชั่วโมงถัดมา ชะนีน้อยก็มีถึงนิวยอร์คโดยสวัสดิภาพ ผ่าน ตม. มาได้พร้อมกับคำแซวจากคุณเจ้าหน้าที่ว่า มาเรียนบัลเล่ต์หรอ ไหนเต้นให้ดูหน่อยสิ ก็กะว่าจะโชว์เสต็ปลิงเกาเห็บอันเป็นเสต็ปประจำตัวแล้ว แต่ฮีบอกขึ้นมาก่อนว่า ผมล้อเล่นนนนน เมื่อเห็นว่าเราตั้งท่าจะทำจริงๆ ฮ่าๆ
ออกมาด้านนอก คนมารอรับเยอะพอสมควร แต่มารับคนอื่น...เรามองซ้ายมองขวา หวังว่าจะเห็นนางสาว น. ก็ไม่มีแม้แต่เงา ก็เลย เอาวะ รออีกสักหน่อย ที่นี่ดันไม่มีไวไฟฟรีให้ด้วย มีแต่อะไรก็ไม่รู้ต้องเสียตังค์ ไม่เอา ฉันะไม่ยอมจ่าย เดี๋ยวเพื่อนฉันต้องมาเสะ!!
ในที่สุด...สองชั่วโมงผ่านไป
...........
.....................
..........................
.....................................
.................................................
...มันก็ไม่มาจริงๆ ฮืออออออออ
ตอนนั้นเราเริ่มสติแตก เอาไงดีล่ะทีนี้ เอาวะ สุดท้ายก็ยอมใช้ไวไฟเสียเงิน เพื่อนจะส่งไปจิกเพื่อนว่าหล่อนอยู่ที่ไหน
...ไม่มีคำตอบใดๆ และเื่มื่อโทรไลน์ไปจิก ก็ไม่มีคนรับ...
ตอนนั้นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ...ชั้นเลิกคบหล่อนแน่ โกรธ (ใครไม่โกรธบ้างล่ะค้าาาา)
สุดท้ายเราก็ติดต่อเพื่อนฝรั่งที่รู้จักกันในเฟสบุ๊คเพื่อนได้คนนึง ซึ่งตอนนั้นฮีอยู่ชิคาโก้ ไปเล่นดนตรี ฮีชื่อเบน ซึ่งเราเรียกเล่นๆว่าน้องเบนจ๊ะ (เบนจ๊ะมิน) เบนจ๊ะก็เลยขอเบอร์เจ้าของบ้าน โทรไปประสานงา เอ้ย ประสานงานให้ว่าบ้านอยู่แถวไหน อะไรยังไง และบอกให้เราเดินออกมาด้านนอก ขึ้นแท็กซี่สีเหลือง ต้องสีเหลืองเท่านั้นนะ ใครมาชวนไปด้วยอย่าใจง่ายตามไปเด็ดขาด ขึ้นรถ แล้วก็เอาที่อยู่นี่ให้คนขับ ตามนั้นนะ...ถึงแล้วโทรบอกด้วย
ว่ไงว่ากัน เราลากกระเป๋าเดินทางยักษ์มรดกจากพี่และครู เป้เน่าหนึ่งใบ และกระเป๋าคอม เดินโซซัดโซเซไปเรียกแท็กซี่(ต้องสีเหลืองเท่านั้นนะ อย่าลืม!!)
พอขึ้นรถ คนขับเป็นพี่มืดตัวอ้วน เราก็เอาที่อยู่บ้านให้แกไป แกก็ทำหน้ามึน แล้วถามเราว่า ยูพอจะรู้ปะว่ามันอยู่ตรงไหน??
ขอบคุณมาก เราก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาเนี่ย ทำไงดีฟะ แงๆ
...คนขับเห็นเราทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เลยรีบปลอบ บอกเอ้ย ใจเย็นๆ เอางี้ เราขับไปบรูคลินก่อน ระหว่านี้ไอจะถามจากเพื่อนไอให้ แล้วแกก็โทรถามทางเพื่อนให้จริงๆ จนได้พิกัดที่แน่นอนแล้ว แกเลยบอกว่า เอาล่ะ มิส ผมได้พิกัดแล้ว สบายใจได้ อย่าร้องไห้ๆ แล้วแกก็หัวเราะกั้กๆ แล้วบอกเราว่าเรากำลังจะไปทางไหน ซึ่งเราก็ทำหน้ายิ้มเอ๋อ ฟังออกมั่งไม่ออกมั่ง พยักหน้าเออออไปกะแก จนอีกยี่สิบนาทีถัดมา แกก็พาเรามาจอดตรงหน้าตึก สิริรวมค่าแท็กซี่ 55$ เราเลยให้แกไป60 เพราะแกอุคส่าห์ช่วยเราแบกกระเป๋ามาจนถึงหน้าประตูตึกเลยทีเดียวเชียว
เข้าตึกมา เดินไปขึ้นลิฟต์ ห้องเราอยู่ชั้น5 ไม่ต้องถามความทุลักทุเล เพราะไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมดจริงๆค่ะ คิดสภาพคนที่ต้องใช้วิชาเส้าหลินเอาเท้ายันประตูไว้ข้างนึง และมือเอื้อมไปลากกระเป๋าเข้าลิฟต์ดูเองเถิด ว่ามันอุบาทว์ขนาดไหน โชคดี(อีกแล้ว)ที่มีคนเดินผ่านมาพอดี เลยมาช่วยขนยัดเข้าไปจนสำเร็จในที่สุด และในที่สุดเราก้มาถึงห้องอย่างปลอดภัยในเวลาเกือบ11โมง (อย่าลืมว่าเครื่องลงตอนเจ็ดโมงเช้า ฮือๆๆ)
เจ้าของบ้านเป้นคุณยายแก่ๆหน่อย ท่าทางใจดี ต้องใช้เครื่องมือพยุงเวลาเดิน แกก็มาแนะนำนู่นนี่นั่นในบ้าน อะไรที่ใช้ได้ อะไรที่ใช้ไม่ได้ ที่วางของ ห้องเรา ห้องใหญ่มากกกก และสวยมากกกกก เห็นแล้วหลงรักเลย เพราะเราเองไม่เคยมีห้องส่วนตัวมาก่อน พอมีกะเค้าเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาเนาะ
เราจัดแจงต่อเน็ต สักพักเดียว ตอนกำลังรื้อกระเป๋า แม่นางสาว น.ตัวดีก็โทรไลน์เข้ามาทันที
น. : เฮ้ย กูออดิชั่นเสร็จแล้วว่ะ
เรา : (ยังโกรธอยู่) เหรอ แล้วไงอะ
น. : หูยยย เซ็งมาก รู้งี้ไปรับเมิงดีกว่า ออดิชั่นโคตรห่วยแตกเลย ถึงบ้านยังวะ
เรา : อือ ชั้นถึงบ้านแล้ว
น. : เออ ดีๆ กูต้องไปละ ไว้เดี๋ยวนัดกันทีหลังละกัน
เรา : เออ พาชั้นไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ด้วย
นางสาว น. รับปากแล้วก็วางสายไป เราก็เลยจัดห้องต่อจนเสร็จในเวลาบ่ายสองโมงเศษๆ และแน่นอน สลบเหมือด!!!
สวัสดี นิวยอร์ค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อาจจะดูไม่มีอะไรมาก แต่ขอบอกเลยค่ะ ณ เวลานั้นนี่ทำอะไรไม่ถูกจริงๆนะ และในนาทีนั้นเอง เราก็ตระหนักขึ้นมาข้อนึงเลยว่า...ชีวิตที่นี่ต้องมีอะไรให้ลุ้นจนตัวโก่งหัวทิ่มอีกแน่ๆ คนที่ภาษาก็ไม่ค่อยเอาอ่าว เซ่อซ่าซุ่มซ่าม มีอย่างเดียวคือบ้าเลือดมากพอที่จะแบกของ ทุ่มเงินจนหมดตูดเพื่อมาผจญภัยแบบนี้โดยที่ยังไม่รู้เลยว่ารุ่งนี้จะมีอะไรรอเราอยู่
แล้วเดี๋ยวครั้งหน้าเราจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ ว่าละแวกบ้าน แถวๆที่เราอยู่มันเป้นยังไง และผู้คนรอบๆตัว ซึ่งอาจจะมีตัวละครเยอะหน่อยสำหรับชีวิตเราที่นี่ แต่ไม่เป้นไรค่ะ ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ(หวังว่าจะตามอ่านกันน๊า) เดี๋ยวก็จะค่อยๆจำได้เอง
ตอนนี้ดึกมากแล้ว (ตีหนึ่งจะครึ่งแล้วค่ะ) เราก็ขอจบการเปิดฉากผจญภัยแบบล้มลุกคลุกฝุ่นไว้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะเอาเรื่องสนุกๆมานินทา เอ้ย เล่าให้ฟังอีกค่า
ปล. ขออภัยเรื่องสรรพนามด้วยนะคะ อันนี้เขียนตามที่ใช้จริงทุกประการค่า และอาจใช้คำพูดที่ใช้จนเคยปากบ้าง อย่าถือสากันเน้อ ^^"
มาแล้วค่าาาาาาา เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: Welcome to New York!!!
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม...
หลายคนคงสงสัยว่าเรามาทำอะไรที่นี่ เราเป็นนักเรียนค่ะ มาเรียนโรงเรียนบัลเล่ต์ที่นี่...อย่า!! อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นสาวผอมเพรียวหุ่นงาม เต้นเทพเหมือนหลุดออกมาจากเรื่อง Black Swan เพราะเราเพิ่งจะเริ่มเรียนบัลเล่ต์จริงๆก่อนมาที่นี่แค่สองเดือนเท่านั้น แถมเรียนแค่อาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมง ก็แปลว่าได้เรียนไปแค่ 8ชั่วโมงก่อนจะมา และที่น่าอนาถกว่าคือ ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยเรียนเต้นใดๆมาก่อนทั้งสิ้น!!!
ทีนี้ก็คงสงสัยกันต่อ ว่าแล้วทำไมหล่อนเลือกจะมาเรียนบัลเล่ต์ แทนที่จะเรียนภาษา(ซึ่งทรมานสังขารน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด)
คือว่า...สารภาพแบบไม่อายว่า อยากเล่นละครเพลงค่ะ จริงๆนะ อยากเล่นละครเพลง มันก็ต้องเต้นได้ มูฟเม้นท์สวย เราเรียนร้องเพลงมาสี่ห้าปี ก็เลยคิดว่า เอาน่ะ ก่อนจะแก่จนสังขารไม่ไหว ขอลองเรียนให้ครบมันซักตั้ง เผื่อว่าจะได้ขึ้นไปอยู่บนเวที แถวหลังๆกะเค้าบ้าง ก็เลยลองดู
ผลน่ะหรือคะ...เคยเห็นลิงโดนมดกัดแล้วกระโดดยิกๆๆ เกาแกรกๆ ดิ้นไปดิ้นมาไหมคะ...น่านล่ะ แบบนั้นเลย
ทีนี้ เราก็เลยตามล่าหาโรงเรียน จนเจอที่นี่ ซึ่งหลังจากส่งอีเมลด้วยภาษาอังกฤษง่อยๆมาสามสี่ฉบับ ก็ได้ข้อสรุปจากไดเรคเตอร์โรงเรียนว่า มาได้ ที่นี่มีคลาสที่เป็น Very beginner ballet เธอเรียนได้แน่นอน ไม่ต้องกังวล เราก็โป๊ะเชะ จัดไป เงินทำงานมาช่วงนึง บวกกับที่แม่ไปกู้มาช่วยโปะแต่งบัญชีจนดูเป็นผู้เป็นคน ข้าวเรื่องขั้นตอตการขอวีซ่าที่ทำแบบมึนๆ ในที่สุด หลังจากสองเดือนผ่านไปเราก็ได้วีซ่านักเรียนมาอยู่ในมือเรียบร้อย
....มิถุนายน 2013
เราออกเดินทางจากสนามบินตอนช่วงสี่ห้าทุ่ม ก่อนไปก็นัดกับเพื่อนที่อยู่ที่โน่น ใช้นามสมมติว่า นางสาว น. คือเราก็นัดแนะกับนางไว้เรียบร้อยว่า เดี๋ยวแกมารับชั้นนะ ส่งตารางให้นะว่าบินกี่โมง ถึงกี่โมง ไฟลท์ไหน เทอร์มินัลไหน
เราไปด้วยแอร์ญี่ปุ่น ก็ได้แวะที่โตเกียวประมาณ50นาที ซึ่งแค่เดินจากเกทนึงไปรอที่เกทนึง ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว เหลือ5นาที เอ้ามีไวไฟฟรีนี่นา เช็คหน่อยละกันว่ายังไง
รู้ไหมคะว่ามีข้อความอะไรส่งมา...
ตึ่งตึ๊ง...เสียงไลน์ดังขึ้น เปิดดู ได้ข้อความจากนางสาว น. ว่า "...กูมีออดิชั่นตอนเที่ยง คงไม่ไปรับอะนะ นั่งแท็กซี่ไปบ้านเองละกัน"
เปรี้ยง...เหมือนโดนอะไรฟาดหน้า คือ...นั่นนิวยอร์คนะคะเธอ ไม่ใช่หัวลำโพง ฉันจะได้ไปถูก ="= และเนื่องจากเราหาบ้านเองจากเอเจนซี่ ไม่ใช่บ้านคนไทยด้วย ทำให้ไม่มีคำแนะนำใดๆทั้งสิ้น เราก็กะว่าจะลากคุณเธอไปด้วยกัน อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าไม่เดินหลงทางเหวออยู่คนเดียวในเมืองที่ไม่คุ้นเคย เมืองใหญ่ คนเยอะ มีเพื่อนที่ภาษาดีๆช่วยสักคน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะโหดร้ายเท่าตัวคนเดียว...แล้วนี่อะไร!!!
ที่ปวดใจกว่านั้นคือ คุณนายบอกว่ามีออดิชั่นเที่ยง...แต่เครื่องฉันลงตั้งกะเจ็ดโมงเช้านะเฟ้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ด้วยความตกใจ ก็รีบส่งข้อความตอบกลับไปว่า ไม่ได้นะเฟ้ย แกต้องมารับนะ ไม่งั้นชั้นตายแน่ บลาๆๆ แต่คุณเธอก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เราเองก็แอบด่าอยู่ในใจว่า เธอมีคอมม่อนเซ้นท์บ้างมั้ยเนี่ย ฉันอยู่บนเครื่องบิน ฉันจะเปิดไลน์แชทกับเธอได้ยังไงมิทราบยะ หา!!!!
และแล้ว เราก็ต้องไปขึ้นเครื่อง โดยไร้คำตอบใดๆจากนาง...
อีก13ชั่วโมงถัดมา ชะนีน้อยก็มีถึงนิวยอร์คโดยสวัสดิภาพ ผ่าน ตม. มาได้พร้อมกับคำแซวจากคุณเจ้าหน้าที่ว่า มาเรียนบัลเล่ต์หรอ ไหนเต้นให้ดูหน่อยสิ ก็กะว่าจะโชว์เสต็ปลิงเกาเห็บอันเป็นเสต็ปประจำตัวแล้ว แต่ฮีบอกขึ้นมาก่อนว่า ผมล้อเล่นนนนน เมื่อเห็นว่าเราตั้งท่าจะทำจริงๆ ฮ่าๆ
ออกมาด้านนอก คนมารอรับเยอะพอสมควร แต่มารับคนอื่น...เรามองซ้ายมองขวา หวังว่าจะเห็นนางสาว น. ก็ไม่มีแม้แต่เงา ก็เลย เอาวะ รออีกสักหน่อย ที่นี่ดันไม่มีไวไฟฟรีให้ด้วย มีแต่อะไรก็ไม่รู้ต้องเสียตังค์ ไม่เอา ฉันะไม่ยอมจ่าย เดี๋ยวเพื่อนฉันต้องมาเสะ!!
ในที่สุด...สองชั่วโมงผ่านไป
...........
.....................
..........................
.....................................
.................................................
...มันก็ไม่มาจริงๆ ฮืออออออออ
ตอนนั้นเราเริ่มสติแตก เอาไงดีล่ะทีนี้ เอาวะ สุดท้ายก็ยอมใช้ไวไฟเสียเงิน เพื่อนจะส่งไปจิกเพื่อนว่าหล่อนอยู่ที่ไหน
...ไม่มีคำตอบใดๆ และเื่มื่อโทรไลน์ไปจิก ก็ไม่มีคนรับ...
ตอนนั้นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ...ชั้นเลิกคบหล่อนแน่ โกรธ (ใครไม่โกรธบ้างล่ะค้าาาา)
สุดท้ายเราก็ติดต่อเพื่อนฝรั่งที่รู้จักกันในเฟสบุ๊คเพื่อนได้คนนึง ซึ่งตอนนั้นฮีอยู่ชิคาโก้ ไปเล่นดนตรี ฮีชื่อเบน ซึ่งเราเรียกเล่นๆว่าน้องเบนจ๊ะ (เบนจ๊ะมิน) เบนจ๊ะก็เลยขอเบอร์เจ้าของบ้าน โทรไปประสานงา เอ้ย ประสานงานให้ว่าบ้านอยู่แถวไหน อะไรยังไง และบอกให้เราเดินออกมาด้านนอก ขึ้นแท็กซี่สีเหลือง ต้องสีเหลืองเท่านั้นนะ ใครมาชวนไปด้วยอย่าใจง่ายตามไปเด็ดขาด ขึ้นรถ แล้วก็เอาที่อยู่นี่ให้คนขับ ตามนั้นนะ...ถึงแล้วโทรบอกด้วย
ว่ไงว่ากัน เราลากกระเป๋าเดินทางยักษ์มรดกจากพี่และครู เป้เน่าหนึ่งใบ และกระเป๋าคอม เดินโซซัดโซเซไปเรียกแท็กซี่(ต้องสีเหลืองเท่านั้นนะ อย่าลืม!!)
พอขึ้นรถ คนขับเป็นพี่มืดตัวอ้วน เราก็เอาที่อยู่บ้านให้แกไป แกก็ทำหน้ามึน แล้วถามเราว่า ยูพอจะรู้ปะว่ามันอยู่ตรงไหน??
ขอบคุณมาก เราก็ไม่รู้ เพิ่งจะมาเนี่ย ทำไงดีฟะ แงๆ
...คนขับเห็นเราทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เลยรีบปลอบ บอกเอ้ย ใจเย็นๆ เอางี้ เราขับไปบรูคลินก่อน ระหว่านี้ไอจะถามจากเพื่อนไอให้ แล้วแกก็โทรถามทางเพื่อนให้จริงๆ จนได้พิกัดที่แน่นอนแล้ว แกเลยบอกว่า เอาล่ะ มิส ผมได้พิกัดแล้ว สบายใจได้ อย่าร้องไห้ๆ แล้วแกก็หัวเราะกั้กๆ แล้วบอกเราว่าเรากำลังจะไปทางไหน ซึ่งเราก็ทำหน้ายิ้มเอ๋อ ฟังออกมั่งไม่ออกมั่ง พยักหน้าเออออไปกะแก จนอีกยี่สิบนาทีถัดมา แกก็พาเรามาจอดตรงหน้าตึก สิริรวมค่าแท็กซี่ 55$ เราเลยให้แกไป60 เพราะแกอุคส่าห์ช่วยเราแบกกระเป๋ามาจนถึงหน้าประตูตึกเลยทีเดียวเชียว
เข้าตึกมา เดินไปขึ้นลิฟต์ ห้องเราอยู่ชั้น5 ไม่ต้องถามความทุลักทุเล เพราะไม่สามารถบรรยายออกมาได้หมดจริงๆค่ะ คิดสภาพคนที่ต้องใช้วิชาเส้าหลินเอาเท้ายันประตูไว้ข้างนึง และมือเอื้อมไปลากกระเป๋าเข้าลิฟต์ดูเองเถิด ว่ามันอุบาทว์ขนาดไหน โชคดี(อีกแล้ว)ที่มีคนเดินผ่านมาพอดี เลยมาช่วยขนยัดเข้าไปจนสำเร็จในที่สุด และในที่สุดเราก้มาถึงห้องอย่างปลอดภัยในเวลาเกือบ11โมง (อย่าลืมว่าเครื่องลงตอนเจ็ดโมงเช้า ฮือๆๆ)
เจ้าของบ้านเป้นคุณยายแก่ๆหน่อย ท่าทางใจดี ต้องใช้เครื่องมือพยุงเวลาเดิน แกก็มาแนะนำนู่นนี่นั่นในบ้าน อะไรที่ใช้ได้ อะไรที่ใช้ไม่ได้ ที่วางของ ห้องเรา ห้องใหญ่มากกกก และสวยมากกกกก เห็นแล้วหลงรักเลย เพราะเราเองไม่เคยมีห้องส่วนตัวมาก่อน พอมีกะเค้าเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดาเนาะ
เราจัดแจงต่อเน็ต สักพักเดียว ตอนกำลังรื้อกระเป๋า แม่นางสาว น.ตัวดีก็โทรไลน์เข้ามาทันที
น. : เฮ้ย กูออดิชั่นเสร็จแล้วว่ะ
เรา : (ยังโกรธอยู่) เหรอ แล้วไงอะ
น. : หูยยย เซ็งมาก รู้งี้ไปรับเมิงดีกว่า ออดิชั่นโคตรห่วยแตกเลย ถึงบ้านยังวะ
เรา : อือ ชั้นถึงบ้านแล้ว
น. : เออ ดีๆ กูต้องไปละ ไว้เดี๋ยวนัดกันทีหลังละกัน
เรา : เออ พาชั้นไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ด้วย
นางสาว น. รับปากแล้วก็วางสายไป เราก็เลยจัดห้องต่อจนเสร็จในเวลาบ่ายสองโมงเศษๆ และแน่นอน สลบเหมือด!!!
สวัสดี นิวยอร์ค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อาจจะดูไม่มีอะไรมาก แต่ขอบอกเลยค่ะ ณ เวลานั้นนี่ทำอะไรไม่ถูกจริงๆนะ และในนาทีนั้นเอง เราก็ตระหนักขึ้นมาข้อนึงเลยว่า...ชีวิตที่นี่ต้องมีอะไรให้ลุ้นจนตัวโก่งหัวทิ่มอีกแน่ๆ คนที่ภาษาก็ไม่ค่อยเอาอ่าว เซ่อซ่าซุ่มซ่าม มีอย่างเดียวคือบ้าเลือดมากพอที่จะแบกของ ทุ่มเงินจนหมดตูดเพื่อมาผจญภัยแบบนี้โดยที่ยังไม่รู้เลยว่ารุ่งนี้จะมีอะไรรอเราอยู่
แล้วเดี๋ยวครั้งหน้าเราจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ ว่าละแวกบ้าน แถวๆที่เราอยู่มันเป้นยังไง และผู้คนรอบๆตัว ซึ่งอาจจะมีตัวละครเยอะหน่อยสำหรับชีวิตเราที่นี่ แต่ไม่เป้นไรค่ะ ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ(หวังว่าจะตามอ่านกันน๊า) เดี๋ยวก็จะค่อยๆจำได้เอง
ตอนนี้ดึกมากแล้ว (ตีหนึ่งจะครึ่งแล้วค่ะ) เราก็ขอจบการเปิดฉากผจญภัยแบบล้มลุกคลุกฝุ่นไว้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะเอาเรื่องสนุกๆมานินทา เอ้ย เล่าให้ฟังอีกค่า
ปล. ขออภัยเรื่องสรรพนามด้วยนะคะ อันนี้เขียนตามที่ใช้จริงทุกประการค่า และอาจใช้คำพูดที่ใช้จนเคยปากบ้าง อย่าถือสากันเน้อ ^^"