เมื่อวานไปดูหนังเรื่อง “รักโง่ๆ” ของปุ๊ก พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในฐานะเพื่อนที่วิ่งไล่เตะกันมา (มันวิ่งไล่เตะผม และผมวิ่งหนีมัน) และได้เห็นความรักและทุ่มเทของมันที่อยากจะทำหนัง (และเรียนหนังในช่วงเวลาที่การเรียนหนัง-ไม่ได้ฟู่ฟ่า เป็นเทรนด์ เป็นกระแส-เหมือนอย่างทุกวันนี้ และอันที่จริง มันดูเป็นเรื่องของคนจนตรอกและสิ้นคิด) ผมก็อยากจะให้หนังเรื่องนี้ของมันประสบความสำเร็จ หรืออย่างน้อย ก็ไม่เจ็บตัว เพื่อว่ามันจะได้ทำหนังต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็แอบคิดเผื่อว่าถ้าหากหนังมันเกิดออกมาเห่ยและห่วย ในฐานะเพื่อนและในฐานะของนักวิจารณ์ ก็คงจะเงียบๆเฉยๆไป
พูดแบบไม่ต้องอ้อมค้อม และไม่ต้องมาอวยกันให้ขวยเขินต่อหน้าธารกำนัล หนังเรื่องนี้ไม่เพอร์เฟ็คท์ และมีข้อให้ติดๆขัดๆอยู่พอสมควร แต่อย่างหนึ่งที่ผมเชื่อมือมันก็คือ มันเป็นคนทำหนังมาหลายเรื่องทีเดียว เท่าที่จำได้ ย้อนกลับไปถึงหนังเรื่อง “วิถีคนกล้า” ของพี่หง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท มาจนถึง “คู่กรรม”, “ไอ้ฟัก”, “มะหมา” และยังเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังที่ผมรักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง “แสงศตวรรษ” ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ด้วยประสบการณ์และวุฒิภาวะที่เข้มข้นและจัดจ้านแบบนี้ มัน(ควร)จะต้องมีมาตรฐานของมัน และไม่มีทางปล่อยให้หนังของตัวเอง ‘ยางแตก’ หรือ ‘สะดุดขาตัวเอง’ หรือทำอะไรที่สร้างความอับอายขายหน้าหรือเป็นรอยด่างพร้อยให้กับเครดิตของตัวเอง
ตามเนื้อผ้า “รักโง่ๆ” ก็เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่มีสูตรสำเร็จและทิศทางการเดินเรื่องที่พวกเราในฐานะคนดูเหยียบย่ำกันมาจนทะลุปรุโปร่ง และเกือบจะไม่หลงเหลืออะไรที่ท้าทาย แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้พาตัวเองไปติดอยู่ในกับดักของ ‘ขนบและธรรมเนียมปฏิบัติ’ ของหนังแนวนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น และหาทางไปต่อได้อย่างฉลาด แต่ละเรื่องย่อยๆ 4-5 เรื่องที่เรียงร้อย-พัฒนาตัวเองไปอย่างน่าสนใจ เป็นตัวของตัวเอง และที่พิเศษมากๆก็คือ คนทำหนัง (อันหมายถึงผู้กำกับและคนเขียนบท) ‘รู้ตัวเอง’ ดีว่ากำลังทำหนังที่มีความสุ่มเสี่ยงกับการโดนกล่าวหาว่าน้ำเน่า ซ้ำซากจำเจ เลี่ยน โอเวอร์ ซึ่งหลายสถานการณ์ก็เอื้ออำนวยให้ถูกวินิจฉัยเช่นนั้น (เช่น ฉากความรักในสนามบิน) แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันสามารถเอาตัวรอดไปได้ และด้วยความราบรื่นซะด้วย และโดยที่ผู้ชมไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดในแง่ของสติปัญญา
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากๆก็คือ หนังทำให้เรานึกไม่ออก เดาไม่ถูกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เรียงร้อย มันจะไปลงเอยอย่างไร ในสภาพเช่นใด ทั้งๆที่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีทางออกอยู่ซักกี่ทาง
อ้อ แล้วก็อารมณ์ขันของหนังเรื่องนี้ สำหรับผม มุขของมันไม่ใช่ระเบิดลูกใหญ่มากๆ แต่มันซุ่มโจมตีคนดูได้ในช่วงเผลอหลายตอนเหลือเกิน และความ cynical หรือเย้ยหยัน-ดันของมัน-ก็ทำให้นี่ไม่ใช่หนังที่ใครจะตั้งข้อกล่าวหาคนทำว่าเป็นพวกโลกสวย และมองไม่เห็นความจริง
อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการแสดง ส่วนหนึ่ง-คนทำหนังก็เอาไม่อยู่หรือดึงออกมาไม่ได้เหมือนกัน แต่สำหรับคนที่โดดเด่น อย่างเช่น ยิปซีที่รับบทไผ่ หรือธิติรัตน์ โรจน์แสงรัตน์ที่รับบทพริกแกง แอ็คติ้งของพวกเธอก็ช่วยทำให้หนังสว่างไสวขึ้นมาในพริบตา
กล่าวโดยสรุป นี่ไม่ได้เป็นแค่หนังโรแมนติกคอมเมดี้อีกเรื่อง แต่มัน extraordinary มากๆในแนวทางของมัน และผมดีใจที่ตัวเองไม่ต้องทำอย่างที่แอบคิดไว้ตอนต้น นั่นคือชัทดาวน์ระบบการสื่อสารของตัวเองในกรณีที่มันออกมาเห่ยและห่วย และด่าหนังให้มันฟังเป็นการส่วนตัว
ประวิทย์ แต่งอักษร
http://pwttas.wordpress.com/2013/10/07/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B9%86-%E0%B8%9E-%E0%B8%A8-2556-short-comments/
^
^
^
^
::::::::::
อ่านแล้วแม้จะโดนสปอยล์ไปบ้างแต่ก็ทำให้เกิดอารมณ์อยากดูขึ้นมาได้
งานนี้คงต้องยอมเสียตังให้แล้วสินะ :::::::::::::::::::::::::::
“รักโง่ๆ” (พ.ศ.2556) short comments
พูดแบบไม่ต้องอ้อมค้อม และไม่ต้องมาอวยกันให้ขวยเขินต่อหน้าธารกำนัล หนังเรื่องนี้ไม่เพอร์เฟ็คท์ และมีข้อให้ติดๆขัดๆอยู่พอสมควร แต่อย่างหนึ่งที่ผมเชื่อมือมันก็คือ มันเป็นคนทำหนังมาหลายเรื่องทีเดียว เท่าที่จำได้ ย้อนกลับไปถึงหนังเรื่อง “วิถีคนกล้า” ของพี่หง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท มาจนถึง “คู่กรรม”, “ไอ้ฟัก”, “มะหมา” และยังเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังที่ผมรักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง “แสงศตวรรษ” ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ด้วยประสบการณ์และวุฒิภาวะที่เข้มข้นและจัดจ้านแบบนี้ มัน(ควร)จะต้องมีมาตรฐานของมัน และไม่มีทางปล่อยให้หนังของตัวเอง ‘ยางแตก’ หรือ ‘สะดุดขาตัวเอง’ หรือทำอะไรที่สร้างความอับอายขายหน้าหรือเป็นรอยด่างพร้อยให้กับเครดิตของตัวเอง
ตามเนื้อผ้า “รักโง่ๆ” ก็เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่มีสูตรสำเร็จและทิศทางการเดินเรื่องที่พวกเราในฐานะคนดูเหยียบย่ำกันมาจนทะลุปรุโปร่ง และเกือบจะไม่หลงเหลืออะไรที่ท้าทาย แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้พาตัวเองไปติดอยู่ในกับดักของ ‘ขนบและธรรมเนียมปฏิบัติ’ ของหนังแนวนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น และหาทางไปต่อได้อย่างฉลาด แต่ละเรื่องย่อยๆ 4-5 เรื่องที่เรียงร้อย-พัฒนาตัวเองไปอย่างน่าสนใจ เป็นตัวของตัวเอง และที่พิเศษมากๆก็คือ คนทำหนัง (อันหมายถึงผู้กำกับและคนเขียนบท) ‘รู้ตัวเอง’ ดีว่ากำลังทำหนังที่มีความสุ่มเสี่ยงกับการโดนกล่าวหาว่าน้ำเน่า ซ้ำซากจำเจ เลี่ยน โอเวอร์ ซึ่งหลายสถานการณ์ก็เอื้ออำนวยให้ถูกวินิจฉัยเช่นนั้น (เช่น ฉากความรักในสนามบิน) แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันสามารถเอาตัวรอดไปได้ และด้วยความราบรื่นซะด้วย และโดยที่ผู้ชมไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดในแง่ของสติปัญญา
อีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากๆก็คือ หนังทำให้เรานึกไม่ออก เดาไม่ถูกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เรียงร้อย มันจะไปลงเอยอย่างไร ในสภาพเช่นใด ทั้งๆที่เอาเข้าจริงๆแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีทางออกอยู่ซักกี่ทาง
อ้อ แล้วก็อารมณ์ขันของหนังเรื่องนี้ สำหรับผม มุขของมันไม่ใช่ระเบิดลูกใหญ่มากๆ แต่มันซุ่มโจมตีคนดูได้ในช่วงเผลอหลายตอนเหลือเกิน และความ cynical หรือเย้ยหยัน-ดันของมัน-ก็ทำให้นี่ไม่ใช่หนังที่ใครจะตั้งข้อกล่าวหาคนทำว่าเป็นพวกโลกสวย และมองไม่เห็นความจริง
อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการแสดง ส่วนหนึ่ง-คนทำหนังก็เอาไม่อยู่หรือดึงออกมาไม่ได้เหมือนกัน แต่สำหรับคนที่โดดเด่น อย่างเช่น ยิปซีที่รับบทไผ่ หรือธิติรัตน์ โรจน์แสงรัตน์ที่รับบทพริกแกง แอ็คติ้งของพวกเธอก็ช่วยทำให้หนังสว่างไสวขึ้นมาในพริบตา
กล่าวโดยสรุป นี่ไม่ได้เป็นแค่หนังโรแมนติกคอมเมดี้อีกเรื่อง แต่มัน extraordinary มากๆในแนวทางของมัน และผมดีใจที่ตัวเองไม่ต้องทำอย่างที่แอบคิดไว้ตอนต้น นั่นคือชัทดาวน์ระบบการสื่อสารของตัวเองในกรณีที่มันออกมาเห่ยและห่วย และด่าหนังให้มันฟังเป็นการส่วนตัว
ประวิทย์ แต่งอักษร
http://pwttas.wordpress.com/2013/10/07/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B9%86-%E0%B8%9E-%E0%B8%A8-2556-short-comments/
^
^
^
^
:::::::::: อ่านแล้วแม้จะโดนสปอยล์ไปบ้างแต่ก็ทำให้เกิดอารมณ์อยากดูขึ้นมาได้
งานนี้คงต้องยอมเสียตังให้แล้วสินะ :::::::::::::::::::::::::::