“คำว่า 'แรง' คืออะไร เราคุ้นเคยกับคำนี้กันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้คำนิยามที่แท้จริงของมัน เราใช้แรงในการทำอะไรบ้าง .....” อาจารย์ชายวัยกลางสี่สิบปี หยุดเว้นจังหวะ เพื่อหวังว่า จะมีนักเรียนสักคนในห้อง ให้ความสนใจกับคำพูดของอาจารย์ และมีการโต้ตอบกลับมา แล้วในระหว่างที่อาจารย์กำลังจะหมดกำลังใจ และขยับจะบรรยายวิชาต่อนั้นเอง เสียงเด็กนักเรียนหญิง ผมยาวรวบไว้ตามระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งอาจารย์บรรณน่าจะคุ้นเคย ก็ตอบกลับมา
“ยกของค่ะ”
อาจารย์ชะงักเนื่องจากผิดจังหวะเล็กน้อย จึงว่าต่อ
“ซึ่งการที่ของมันเคลื่อนที่ได้ มันก็เกิดจากการที่มีแรงมากระทำให้มันเคลื่อนที่ไปนั่นเอง ซึ่งถ้าของมันหนักมาก พวกเธอก็ต้องใส่แรงให้มากขึ้น แต่ถ้าของมันเบา.....”
เนื้อหาวิชาฟิสิกส์ในชั่วโมงนั้น บรรยายต่อไปตามครรลองของมัน นักเรียนในห้องเรียนนั้น โดยมากก็พยายามจดเนื้อหาลงไปในหนังสือประกอบรายวิชาบ้าง สมุดจดงานของรายวิชาบ้าง มีเป็นส่วนน้อยที่นั่งนิ่ง ๆ ด้วยรู้สึกว่า ตัวเองเข้าใจเนื้อหาเหล่านี้มาแล้วล่วงหน้า ตัวผมเองนั้น ก็นั่งจดเท่าที่คิดว่าจำเป็นและจดทัน วิชานี้ก็ไม่เลวนักหรอก เนื้อหาส่วนมากเท่าที่ผ่านมาในเทอมนี้ จะเหมือนการนำเอาชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การเคลื่อนที่ของวัตถุ มาอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์อะไรบางอย่าง เพื่อจะให้เราคำนวณอะไรบางอย่างออกมา ผมว่ามันเข้าใจง่ายกว่าพวก โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ตั้งเยอะ
เสียงของสาวิตรีที่ตอบคำถามของอาจารย์ดูจะเป็นเรื่องปกติของห้องเรียนนี้เสียแล้ว แม้เธอจะเพิ่งสอบเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่นี่ไม่นานนัก ผิดกับนักเรียนหลาย ๆ คนในห้อง ที่ส่วนมากจะเรียนในโรงเรียนนี้มาตั้งแต่มัธยมต้น ไม่ใช่แค่วิชาฟิสิกส์ของอาจารย์บรรณเท่านั้น วิชาอื่น ๆ เธอก็ประพฤติตนเป็นนักเรียนดีเด่นให้อาจารย์มีกำลังใจในการสอนเสมอ ห้องเรียนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนที่คะแนนดี เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์แต่ละท่านพยายามสอน ทว่าโดยมากคร้านที่จะตอบอาจารย์เสียมากกว่า ก็ได้สาวิตรีนี่เอง ที่ตอบคำถามอาจารย์ ทำให้อาจารย์แต่ละท่านสบายใจว่า ได้บรรยากาศการสอนแบบปฏิสัมพันธ์แล้ว
ผ่านไปเกือบ ๆ ชั่วโมง เสียงกริ่งดังหมดคาบ เป็นช่วงเวลาพักย่อย นักเรียนวิ่งลงไปด้านล่างอาคารหาน้ำดื่มกินบ้าง หันไปคุยกับเพื่อนบ้าง เจ้าพสุเดินมาทักผม
“มองจนตาจะถลนออกมานอกเบ้าแล้วนะขอรับ คุณกามนิต”
ตามมาด้วยนายสุธน ซึ่งที่จริงผมอยากจะเรียกมันว่า “สุดทน”เหลือเกิน
“ที่จริงกามนิต เค้าต้องหลงวาสิฏฐีไม่ใช่เหรอว้า”
“กูไม่รู้ กูไม่ชอบภาษาไทย” ผมส่ายศีรษะและยักไหล่ด้วยความรำคาญ สาวิตรีนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าเยื้องไปประมาณทิศสิบสี่นาฬิกาของคลองสายตาผม หันหน้าไปคุยอะไรบางอย่างกับกรกช หน้าตาของเธอไม่ได้สวยสะดุดตาแบบกี้ ห้อง 8 สายศิลป์ ที่เป็นนักแสดงระดับนางเอกดาวรุ่งในขณะนี้ ทว่าโดยรวมมันดูนวลเนียนลงตัวแบบธรรมชาติ ซึ่งผมคิดว่า ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้ผมสนใจเธอ
“ไอ้เ-ี้ย ไม่ชอบภาษาไทย ตัวแทนประกวดเรียงความตอนม.ต้นเนี่ยนะ” สุธนยังไม่ยอมแพ้ “แล้วเป็นอะไรมากป่ะ หืม?...ถึงได้นั่งมองแม่อับดุลนั่นอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่เปิดเทอมมาจนจะสอบมิดเทอมอยู่รอมร่อเนี่ย”
“พวกกูรู้จักมาตั้งแต่เด็กนะเว้ย ทั้งเรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน ปากแข็งยังไงก็ปฏิเสธพวกกูไม่ได้หรอก สนใจเค้ามากกว่าแม่ดาราห้อง 8 ที่พวกห้องอื่นมันตามกันทั้งโรงเรียนซะอีก ทั้ง ๆ ที่เค้าเป็นนักเรียนสอบคัดเลือกเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน”
สมทบเป็นลูกคู่เลยนะไอ้พสุ...ไม่ไปเล่นตลกคาเฟ่ด้วยกันไปเลยล่ะ อ่อ...ลืมไป พวกมันก็หัวดีจนน่าเสียดายแทนประเทศไทยถ้าทำแบบนั้น
“กูว่าท่าทางเค้าเป็นคนดี” ผมพยายามตอบแบบเรียบ ๆ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน “คิดดูสิ ถ้าแต่ละคาบ เวลาพวกอาจารย์ถามอะไรมา ทุกคนเงียบ...ทั้ง ๆ ที่ก็ตอบคำถามกันได้ทุกคน พวกอาจารย์ก็ต้องตีหน้าเซ็งพูด ๆ ๆ ต่อไปเพื่อยัดเนื้อหาให้พวกเราเอาไปสอบ มันก็เป็นบรรยากาศแบบตอนที่พวกเราเรียนม.ต้น ก็มีเค้านี่แหละ ที่ช่วยพวกครูสร้างบรรยากาศการเรียน ก็แค่นั้นแหละที่กูสนใจ”
ดูเหมือนคู่หู “พสุธน” จะไม่ยอมเชื่อผมนัก หากแต่กริ่งดังขึ้นอีกครั้ง พักย่อยจบลง ตามด้วยวิชาคณิตศาสตร์ยาวรวดเดียวสองคาบ จนถึงช่วงพักเที่ยง
เหตุการณ์ก็ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ จนกระทั่งถึงเวลาสอบกลางภาค เรื่องแปลกของพวกเราก็คือ มักจะออกมาจากห้องสอบด้วยอาการเหมือนโลกเพิ่งถล่มลงไปต่อหน้า และคำพูดครวญครางทำนองว่า
“แย่อ่ะแก ทำไม่ได้เลย”
“โอยชั้นก็แย่อ่ะแก....จำสูตรไม่ได้”
“ไอ้เ-ี้ย ! กูลืมบวกหนึ่ง อ๊ากกก!!”
ฯลฯ
แต่สุดท้าย เวลาประกาศคะแนน ก็เห็นแต่ละคนได้เกิน 80 เปอร์เซนต์กันทุกที บางทีก็ท็อปด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกทำไม่ได้กันตรงไหน ผมไม่ได้ว่าแต่คนอื่นหรอกนะ ผมเองก็มีอารมณ์แบบนี้เหมือนกัน บรรดานักเรียนสายวิทยาศาสตร์ ห้องเกือบคิงอย่างพวกเรา มักเห็นคะแนนและเกรด เป็นเป้าหมายสูงสุดอย่างเดียวในชีวิต ที่ต้องทำให้ดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ในสังคมนี้ ผมคงไม่จาระไนคะแนนทุกวิชาไว้ในที่นี้ เอาเป็นว่าถ้าสอบกลางภาค คะแนนเต็ม 30 ผมได้คะแนนวิชาภาษาไทยอยู่ที่ 25 คะแนน ซึ่งต่ำที่สุดในทุกวิชา เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่า ผมไม่ค่อยชอบวิชานี้เท่าวิชาอื่น ๆ
เสียงหน้าห้อง (ฝากเนื้อฝากตัวสำหรับเรื่องสั้นออกสื่อเรื่องแรกนะ)
“ยกของค่ะ”
อาจารย์ชะงักเนื่องจากผิดจังหวะเล็กน้อย จึงว่าต่อ
“ซึ่งการที่ของมันเคลื่อนที่ได้ มันก็เกิดจากการที่มีแรงมากระทำให้มันเคลื่อนที่ไปนั่นเอง ซึ่งถ้าของมันหนักมาก พวกเธอก็ต้องใส่แรงให้มากขึ้น แต่ถ้าของมันเบา.....”
เนื้อหาวิชาฟิสิกส์ในชั่วโมงนั้น บรรยายต่อไปตามครรลองของมัน นักเรียนในห้องเรียนนั้น โดยมากก็พยายามจดเนื้อหาลงไปในหนังสือประกอบรายวิชาบ้าง สมุดจดงานของรายวิชาบ้าง มีเป็นส่วนน้อยที่นั่งนิ่ง ๆ ด้วยรู้สึกว่า ตัวเองเข้าใจเนื้อหาเหล่านี้มาแล้วล่วงหน้า ตัวผมเองนั้น ก็นั่งจดเท่าที่คิดว่าจำเป็นและจดทัน วิชานี้ก็ไม่เลวนักหรอก เนื้อหาส่วนมากเท่าที่ผ่านมาในเทอมนี้ จะเหมือนการนำเอาชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การเคลื่อนที่ของวัตถุ มาอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์อะไรบางอย่าง เพื่อจะให้เราคำนวณอะไรบางอย่างออกมา ผมว่ามันเข้าใจง่ายกว่าพวก โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ตั้งเยอะ
เสียงของสาวิตรีที่ตอบคำถามของอาจารย์ดูจะเป็นเรื่องปกติของห้องเรียนนี้เสียแล้ว แม้เธอจะเพิ่งสอบเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่นี่ไม่นานนัก ผิดกับนักเรียนหลาย ๆ คนในห้อง ที่ส่วนมากจะเรียนในโรงเรียนนี้มาตั้งแต่มัธยมต้น ไม่ใช่แค่วิชาฟิสิกส์ของอาจารย์บรรณเท่านั้น วิชาอื่น ๆ เธอก็ประพฤติตนเป็นนักเรียนดีเด่นให้อาจารย์มีกำลังใจในการสอนเสมอ ห้องเรียนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนที่คะแนนดี เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์แต่ละท่านพยายามสอน ทว่าโดยมากคร้านที่จะตอบอาจารย์เสียมากกว่า ก็ได้สาวิตรีนี่เอง ที่ตอบคำถามอาจารย์ ทำให้อาจารย์แต่ละท่านสบายใจว่า ได้บรรยากาศการสอนแบบปฏิสัมพันธ์แล้ว
ผ่านไปเกือบ ๆ ชั่วโมง เสียงกริ่งดังหมดคาบ เป็นช่วงเวลาพักย่อย นักเรียนวิ่งลงไปด้านล่างอาคารหาน้ำดื่มกินบ้าง หันไปคุยกับเพื่อนบ้าง เจ้าพสุเดินมาทักผม
“มองจนตาจะถลนออกมานอกเบ้าแล้วนะขอรับ คุณกามนิต”
ตามมาด้วยนายสุธน ซึ่งที่จริงผมอยากจะเรียกมันว่า “สุดทน”เหลือเกิน
“ที่จริงกามนิต เค้าต้องหลงวาสิฏฐีไม่ใช่เหรอว้า”
“กูไม่รู้ กูไม่ชอบภาษาไทย” ผมส่ายศีรษะและยักไหล่ด้วยความรำคาญ สาวิตรีนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าเยื้องไปประมาณทิศสิบสี่นาฬิกาของคลองสายตาผม หันหน้าไปคุยอะไรบางอย่างกับกรกช หน้าตาของเธอไม่ได้สวยสะดุดตาแบบกี้ ห้อง 8 สายศิลป์ ที่เป็นนักแสดงระดับนางเอกดาวรุ่งในขณะนี้ ทว่าโดยรวมมันดูนวลเนียนลงตัวแบบธรรมชาติ ซึ่งผมคิดว่า ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้ผมสนใจเธอ
“ไอ้เ-ี้ย ไม่ชอบภาษาไทย ตัวแทนประกวดเรียงความตอนม.ต้นเนี่ยนะ” สุธนยังไม่ยอมแพ้ “แล้วเป็นอะไรมากป่ะ หืม?...ถึงได้นั่งมองแม่อับดุลนั่นอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่เปิดเทอมมาจนจะสอบมิดเทอมอยู่รอมร่อเนี่ย”
“พวกกูรู้จักมาตั้งแต่เด็กนะเว้ย ทั้งเรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน ปากแข็งยังไงก็ปฏิเสธพวกกูไม่ได้หรอก สนใจเค้ามากกว่าแม่ดาราห้อง 8 ที่พวกห้องอื่นมันตามกันทั้งโรงเรียนซะอีก ทั้ง ๆ ที่เค้าเป็นนักเรียนสอบคัดเลือกเข้ามาใหม่ได้ไม่นาน”
สมทบเป็นลูกคู่เลยนะไอ้พสุ...ไม่ไปเล่นตลกคาเฟ่ด้วยกันไปเลยล่ะ อ่อ...ลืมไป พวกมันก็หัวดีจนน่าเสียดายแทนประเทศไทยถ้าทำแบบนั้น
“กูว่าท่าทางเค้าเป็นคนดี” ผมพยายามตอบแบบเรียบ ๆ ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน “คิดดูสิ ถ้าแต่ละคาบ เวลาพวกอาจารย์ถามอะไรมา ทุกคนเงียบ...ทั้ง ๆ ที่ก็ตอบคำถามกันได้ทุกคน พวกอาจารย์ก็ต้องตีหน้าเซ็งพูด ๆ ๆ ต่อไปเพื่อยัดเนื้อหาให้พวกเราเอาไปสอบ มันก็เป็นบรรยากาศแบบตอนที่พวกเราเรียนม.ต้น ก็มีเค้านี่แหละ ที่ช่วยพวกครูสร้างบรรยากาศการเรียน ก็แค่นั้นแหละที่กูสนใจ”
ดูเหมือนคู่หู “พสุธน” จะไม่ยอมเชื่อผมนัก หากแต่กริ่งดังขึ้นอีกครั้ง พักย่อยจบลง ตามด้วยวิชาคณิตศาสตร์ยาวรวดเดียวสองคาบ จนถึงช่วงพักเที่ยง
เหตุการณ์ก็ดำเนินไปในลักษณะเช่นนี้ จนกระทั่งถึงเวลาสอบกลางภาค เรื่องแปลกของพวกเราก็คือ มักจะออกมาจากห้องสอบด้วยอาการเหมือนโลกเพิ่งถล่มลงไปต่อหน้า และคำพูดครวญครางทำนองว่า
“แย่อ่ะแก ทำไม่ได้เลย”
“โอยชั้นก็แย่อ่ะแก....จำสูตรไม่ได้”
“ไอ้เ-ี้ย ! กูลืมบวกหนึ่ง อ๊ากกก!!”
ฯลฯ
แต่สุดท้าย เวลาประกาศคะแนน ก็เห็นแต่ละคนได้เกิน 80 เปอร์เซนต์กันทุกที บางทีก็ท็อปด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกทำไม่ได้กันตรงไหน ผมไม่ได้ว่าแต่คนอื่นหรอกนะ ผมเองก็มีอารมณ์แบบนี้เหมือนกัน บรรดานักเรียนสายวิทยาศาสตร์ ห้องเกือบคิงอย่างพวกเรา มักเห็นคะแนนและเกรด เป็นเป้าหมายสูงสุดอย่างเดียวในชีวิต ที่ต้องทำให้ดีเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ในสังคมนี้ ผมคงไม่จาระไนคะแนนทุกวิชาไว้ในที่นี้ เอาเป็นว่าถ้าสอบกลางภาค คะแนนเต็ม 30 ผมได้คะแนนวิชาภาษาไทยอยู่ที่ 25 คะแนน ซึ่งต่ำที่สุดในทุกวิชา เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่า ผมไม่ค่อยชอบวิชานี้เท่าวิชาอื่น ๆ