-หน้าเปิดสี
-เริ่มมากคุณฟุมิโอะก็คิดขึ้นมาว่า ได้เวลาการตัดสินอาหารของโจอิจิโร่แล้ว ส่วนเมงุมิก็คิดว่าอาหารที่เขาทำในงานเลี้ยงเมื่อวานก็ยอดเยี่ยมและน่าตกใจมาก และในการแข่งขันครั้งนี้เขาจะทำอาหารแบบไหนออกมากัน
-ด้านอิชิกิเองก็ดีใจที่จะได้ทานอาหารของรุ่นพี่ที่เป็นสิบสุดยอด ซึ่งคุณฟุมิโอะก็คุยว่าโจอิจิโร่มักทำอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาหารจานนี้เองก็ด้วย น่าจะเป็นอะไรที่แปลกแล้วก็วิเศษมาก ซึ่งโจอิจิโร่ที่วางจานพร้อมเสิร์ฟก็บอกให้ทุกคนลองมาทาน"ราเม็ง"สูตรพิเศษของเขาดู พอรู้ว่าทำแค่ราเม็งก็ถึงกับทำหน้าตกใจกันหมด แม้แต่โซมะเองก็ด้วย
(ที่ญี่ปุ่น ราเม็งเป็นของกินพื้นๆไม่ต่างอะไรจากก๋วยเตี๋ยวบ้านเรานั้นแหละ(เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนตกใจ เพราะไม่คิดว่าโจอิจิโร่จะทำอาหารพื้นๆแบบนี้ออกมา) แถมส่วนใหญ่นิยมทานเป็นมื้อดึกและไม่นิยมทานเป็นมื้อเช้าสักเท่าไร)
-เมงุมิพอมองไปที่ราเม็งก็พบว่าซุปมันขุ่นขลักจนเธอต้องถอยหนี ด้านอิชิกิเองก็คิดว่า มีบางที่เหมือนกันที่กินราเม็งเป็นอาหารเช้า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นราเม็งแบบเบาๆกับซุปอาหารทะเลที่ค่อนข้างใส สำหรับเมงุมิจังที่อดนอนกับคุณฟูมิโอะที่แก่แล้ว อาหารจานนี้แถมเป็นมื้อเช้านับว่าหนักเกินไปมาก ซึ่งคุณฟูมิโอะก็ชี้นิ้วต่อว่าโจอิจิโร่ พร้อมบอกว่าแกเองก็เป็นแบบนี้เสมอเลย ไอ้จานที่เหนือความคาดหมายแบบนี้เพลาๆบ้างเถอะ
-แถมคุณฟุมิโอะยังบอกอีกว่า เพราะทำแต่อาหารประหลาดๆแปลกๆแบบนี้ไม่เว้นแม้แต่ตอนแข่งโชคุเงคิไง ถึงได้แพ้ให้กับของง่ายๆธรรมดาๆตั้งหลายรอบ ซึ่งโจอิจิโร่ก็ยิ้มพร้อมกับบอกว่าทำให้นึกถึงความหลังเลยแฮะ ด้านเมงุมิเองแม้จะเห็นว่าซุปมันขุ่นมากๆแต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมา ซึ่งคุณฟุมิโอะเองก็ตกใจแล้วบอกว่า ก็จริง งั้นมาเริ่มตัดสินกันดีกว่า ว่าแล้วทุกคนก็เริ่มลงมือชิมทันที
-พอทานแล้วเมงุมิก็แปลกใจที่ตัวเองทานได้ ก่อนจะรู้ตัวว่าเส้นนี้นวดใส่ผิวส้มยูซุเข้าไปด้วยทำให้มีกลิ่นหอมสดชื่น ด้านคุณฟูมิโอะเองก็บอกว่าเส้นค่อนข้างหนามาก แต่ทำไมตัวเธอถึงคีบกินเอาเรื่อยๆจนหยุดไม่ได้ละเนี่ย!!
-หลังจากกินแล้วคุณฟูมิโอะก็รู้ว่าซุปนี้มาจากน้ำเต้าหู้ผสมกับมิโซะ แต่ทำไมสีมันถึงได้ขุ่นและรสชาติลุ่มลึกแบบนี้ ซึ่งโจอิจิโร่ก็บอกว่าเขาใส่"รากบอนจักรพรรดิ"ลงไปผสมด้วย นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ซุปมีสีขุ่น
(บอนเป็นพืชตระกูลเดียวกับเผือก แต่ไม่ค่อยนิยมเอามาทำอาหารเท่าไรเพราะบอนจะมีสองแบบคือบอนหวานกับบอนคันถ้าเกิดเก็บหัวบอนคันมาทานแล้วจะมีมีอาการคันคอ ส่วนรากบอนจักรพรรดิ หรือ 海老芋 เป็นบอนพันธ์ของญี่ปุ่นแล้วก็จีน ที่ญี่ปุ่นเอามาใช้ในการปรุงอาหารเมนูโบราณหรือไม่ก็เก่าแก่ รากบอนมีสรรพคุณในการแก้เจ็บคอ กับช่วยแก้ท้องเสียได้)
-เมงุมิพอกินๆไปก็รู้สึกร่างกายเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น ซึ่งอิชิกิก็บอกว่าเป็นผลมาจากกระเทียมและขิงสับใน"น้ำมันงา"ที่ใส่เข้าไป แถมรสหวานนุ่มจากน้ำเต้าหู้ยังช่วยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย ซึ่งคุณฟูมิโอะก็บอกว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอก เครื่องของราเม็งชามนี้เองก็ยังมี"รากบัว"หั่นบางๆกับ"หญ้าเจ้าชู้"ที่ถูกนำไปทอดจนสีสวย และยังมีแครอทกับ"เทอนิป"ที่ถูกนำไปย่างบนเตาถ่านและปรุงรสด้วยเกลือหินจนรสหวานของผักออกมาเข้ากับเกลือจนได้ที่ เหมือนกับการตกแต่งของอาหารฝรั่งเศษที่ของตกแต่งทั้งหมดจะช่วยเพิ่มพูนเสริมรสชาติให้อาหารจานนั้นเด่นขึ้นมา และจุดเด่นของจานนี้ก็คือ"เทปเป"หรือถั่วหมักราอาหารขึ้นชื่อของอินโดนีเซีย ที่นำเอาถั่วเหลืองไปหมักในใบชบาหรือใบตองจนได้ที่ เป็นอาหารที่นิยมในอินโดนีเซียมากกว่า400ปี
(น้ำมันงากับรากบัวคงจะรู้ๆกัน ส่วนหญ้าเจ้าชู้เป็นสมุนไพรครับ ปกติมักเอารากมาใช้ทำยาหรืออาหาร ส่วนเทอนิปเป็นพืชตระกูลหัวคล้ายแครอทแต่ออกรสหวานกว่ามาก มักใช้ในอาหารฝรั่ง ส่วนเทปเปผมขอยกไปอธิบายในย่อหน้าข้างล่าง)
-ซึ่งเมงุมิพอลองชิมแล้วก็บอกว่ามันรสชาติคล้ายกับหมูอบที่ใช้ใส่ในราเมงตามปกติเลย โจอิจิโร่เลยเสริมว่า มันเป็นอาหารของพวกพระที่ถือศีลไม่ทานเนื้อสัตว์ คนกินมังสวิรัติรวมถึงคนที่ทานอาหารเจกินกัน ซึ่งรอบนี้เขาดัดแปลงโดยการเพิ่มซีอิ้วกับสาเกเข้าไปเพื่อให้มันมีรสใกล้เคียงกับเทริยากิดู ส่วนอิชิกิก็บอกว่าน้ำซุปที่ใช้นี้หรือว่าจะเป็น"น้ำซุปนักพรต"ซึ่งโจอิจิโร่ก็บอกว่าใช่ ซุปนักพรตคือน้ำซุปที่ทำให้พระกินเลยต้องปราศจากเนื้อสัตว์ ซึ่งซุปนี้เขาใช้เห็ดชิตาเกะกับคอมบุในการสร้างรสชาติ ก่อนจะเล่าว่า ตัวเขาเดินทางไปหลายๆที่และซุปกับราเมนจานนี้ก็เป็นอาหารที่ได้ไอเดียมาจากอาหารที่เขาคิดขึ้นให้พระสงค์ที่เขาเจอระหว่างทางสามารถกินได้อย่างเพลิดเพลิน(โผล่ออกมาในตอนแรกของเรื่องโซมะ)
(เทปเป ก็อย่างที่เรื่องบรรยายไป โดยส่วนตัวผมเคยกินอยู่ครั้งหนึ่งครับ เป็นเทปเปทอด ผมว่ารสชาติเหมือนนัตเก็ตไก่ ใครสนใจอยากลองทานลองไปหาตามร้านอาหารอินโดนีเซียในตัวเมืองดูนะครับ น่าจะมีเสิร์ฟอยู่บ้าง)
-ซึ่งคุณฟุมิโอะก็คิดขึ้นได้ว่า การใช้คอมบุกับชิตาเกะสองอย่างนั้นจะทำให้ได้รสอูมามิจากตามธรรมชาติ ทดแทนซุปดาชิที่ใช้ในอาหารญี่ปุ่นหรือในราเมนไปได้เลย ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณฟูมิโอะนึกขึ้นได้ว่า ราเมนจานนี้สร้างความอร่อยได้โดยไม่ต้องมีเนื้อสัตว์หรือปลาเลยยังงั้นรึ โจอิจิโร่เลยบอกว่า เป็นเรื่องง่ายถ้าจะสร้างความอร่อยโดยใช้เนื้อสัตว์ เพราะงั้นไม่คิดว่า"ราเมนที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบไร้เนื้อสัตว์"จานนี้เป็นของที่น่าสนใจบ้างเลยเหรอ? ได้ยินแบบนั้นคุณฟูมิโอะก็ถึงกับทึ่ง ที่โจอิจิโร่สร้างอาหารที่อร่อยและมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ได้โดยใช้แค่ถั่วเหลืองกับผักเท่านั้น
-ซึ่งคุณฟูมิโอะเองก็ยังคิดต่อว่า เป็นจานที่เต็มไปด้วยความรู้และไอเดียมากมายจริงๆ เหมือนกับเป็นอาหารที่ถ่ายทอดชีวิตของพ่อครัวที่เดินทางไปตามที่ต่างๆรอบโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งทั้งสามคนทานก็ยิ่งรู้สึกถึงความอร่อยที่มากขึ้น แถมการเต็มไปด้วยผักและของที่ย่อยง่ายดีต่อสุขภาพก็ทำให้ทุกๆคนรู้สึกราวกับว่าตัวเองเด็กลงเรื่อยๆ
-รีแอคชั่นประจำตอน โซมะออกมาตบมุขว่าคุณฟูมิโอะจะย้อนวัยมากเกินไปแล้ว!
-หลังจากทานเสร็จคุณฟูมิโอะที่หน้าเปล่งปลั่งจนโซมะรู้สึกสยองก็บอกว่าจะเริ่มการตัดสินแล้ว (โซมะดีใจที่ลิงที่เห็นเมื้อกี้เป็นแค่จินตนาการของเขาเองเท่านั้น) ซึ่งในที่สุดทั้งสามคนก็ได้เวลาโหวตเลือกจานที่คิดว่าดีที่สุด ซึ่งดูเหมือนเมงุมิจะดูลังเลใจนิดหน่อยก่อนที่ผลการตัดสินจะออกมาเป็น...
ผู้ชนะคือ "โจอิจิโร่"!!!
โจอิจิโร่ - แค่ของพื้นๆน่ะ!
-ซึ่งโซมะก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะปลดผ้าคาดหัวออก ซึ่งอิชิกิก็เข้ามาคุยกับโซมะแล้วบอกว่า จานของโซมะก็ดีแต่ยังมีจุดหนึ่งที่เขาไม่พอใจอยู่ นั่นก็คือเรื่องที่เขาพึ่งกลับมาจากการทำงานในไร่ตอนเช้า อิชิกิคิดว่าถ้าตัวเองได้กินจานที่มีพลังหนักแน่นมากกว่านี้ก็คงจะดี
-ซึ่งโซมะเองก็รู้สึกตัว ว่าเขาทำอาหารตามความต้องการก็จริงแต่ยังมีพลังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับอาหารของพ่อเขานอกจากจะทำตามโจทย์แล้วยังมีความหนักแน่นมีความแปลกใหม่และเพิ่มพลังให้กับทุกคนเข้าไปอีก แถมเขายังคิดตื้นเกินไปเรื่องสภาพร่างกายของคนที่พึ่งตื่นนอน คุณฟูมิโอะกับเมงุมิน่ะใช่ แต่รุ่นพี่อิชิกิที่ตื่นมาทำงานร่างกายกระปรี้กระเปร่าแล้ว น่าจะเหมาะกับอาหารที่หนักท้องให้พลังงานมากกว่าให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย ด้านคุณฟูมิโอะเองก็คิดว่า ไม่ใช่อาหารของโซมะจะไม่ดีแต่เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้วเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของทั้งสองคน เรียกได้ว่ารอบนี้โจอิจิโร่เอาชนะไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้านโจอิจิโร่ก็เข้ามาคุยกับโซมะก่อนจะเอ่ยว่า ยังไงก็รู้สึกว่าโซมะโตขึ้นหน่อยเหมือนกัน แอปเปิลรีซอสโต้เองก็เป็นอาหารที่น่าสนใจนะ
-ก่อนจะพูดว่า การคัดเลือกฤดูใบไม้ร่วงของโทสึกิเป็นเวทีที่ต่างจากที่โซมะเคยได้ประสบมาทั้งหมด เพราะงั้นอย่าพึ่งแพ้ให้ใครจนกว่าจะกลับมาแพ้ให้พ่ออีกรอบละ! ซึ่งคุณฟูมิโอะที่แอบดูอยู่ก็ยิ้มในการให้กำลังใจของพ่อลูกคู่นี้
-ก่อนที่หลังปลอบแล้วโจอิจิโร่จะแหย่ไปว่า เท่านี้โซมะก็แพ้ครั้งที่490แล้วนะ ซึ่งโซมะก็โต้ไปว่าครั้งหน้าเขาจะไม่แพ้แน่ ก่อนจะเขียนบันทึกเก็บไว้(ทำทั้งพ่อทั้งลูก) ทำให้เมงุมิแอบคิดว่าโซมะบันทึกแบบนั้นตลอดเลยทำให้จำได้สินะ ส่วนคุณฟูมิโอะก็คอมเมนทร์ว่าพ่อลูกนี้เหมือนกันเปี้ยบ ก่อนจะเริ่มนึกว่าโซมะไม่ว่าจะแพ้สักกี่ครั้งก็ยังไม่เสียความมุ่งมั่นไป เธอจะพยามให้ได้แบบโซมะ ว่าแล้วเธอก็บอกโซมะว่า การคัดเลือกที่จะถึงนี้เธอจะพยามให้เต็มที่
-ถึงแม้เธอจะกลัวอยู่บ้างแต่เธอก็จะพยามทำให้ดีที่สุด ก่อนที่โซมะจะเอ่ยว่ามาพยามด้วยกันเถอะ! ซึ่งในตอนนั้นเอง จดหมายเกี่ยวกับรายละเอียดของการประกวดก็ถูกส่งมาถึงหอโพลาห์สตาร์!?
จบตอน
เป็นตอนที่เขียนเพลินมากๆ แล้วต้องเปิดอ้างอิงเยอะพอสมควรด้วย แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเหมือนกัน(ตอนนี้ชักเริ่มทึ่งในตัวอาจารย์ยูโตะคนเขียนขึ้นเรื่อยๆแล้ว) แถมเรียกได้ว่าเตี่ยโซมะเองก็ทำอาหารเขากับบรรยากาศกินเจ ช่วงนี้พอดีอีก สำหรับตอนหน้าคงจะเปิดเผยวิธีการคัดเลือกรวมถึงหัวข้ออาหาร จะเป็นยังไงก็ต้องติดตามกันนะครับ!
<Spoil> ยอดนักปรุงโซมะ (Shokugeki no Souma) 43 -พ่อครัวผู้ท่องไปมาหลายหมื่นลี้-
-หน้าเปิดสี
-เริ่มมากคุณฟุมิโอะก็คิดขึ้นมาว่า ได้เวลาการตัดสินอาหารของโจอิจิโร่แล้ว ส่วนเมงุมิก็คิดว่าอาหารที่เขาทำในงานเลี้ยงเมื่อวานก็ยอดเยี่ยมและน่าตกใจมาก และในการแข่งขันครั้งนี้เขาจะทำอาหารแบบไหนออกมากัน
-ด้านอิชิกิเองก็ดีใจที่จะได้ทานอาหารของรุ่นพี่ที่เป็นสิบสุดยอด ซึ่งคุณฟุมิโอะก็คุยว่าโจอิจิโร่มักทำอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาหารจานนี้เองก็ด้วย น่าจะเป็นอะไรที่แปลกแล้วก็วิเศษมาก ซึ่งโจอิจิโร่ที่วางจานพร้อมเสิร์ฟก็บอกให้ทุกคนลองมาทาน"ราเม็ง"สูตรพิเศษของเขาดู พอรู้ว่าทำแค่ราเม็งก็ถึงกับทำหน้าตกใจกันหมด แม้แต่โซมะเองก็ด้วย
(ที่ญี่ปุ่น ราเม็งเป็นของกินพื้นๆไม่ต่างอะไรจากก๋วยเตี๋ยวบ้านเรานั้นแหละ(เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนตกใจ เพราะไม่คิดว่าโจอิจิโร่จะทำอาหารพื้นๆแบบนี้ออกมา) แถมส่วนใหญ่นิยมทานเป็นมื้อดึกและไม่นิยมทานเป็นมื้อเช้าสักเท่าไร)
-เมงุมิพอมองไปที่ราเม็งก็พบว่าซุปมันขุ่นขลักจนเธอต้องถอยหนี ด้านอิชิกิเองก็คิดว่า มีบางที่เหมือนกันที่กินราเม็งเป็นอาหารเช้า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นราเม็งแบบเบาๆกับซุปอาหารทะเลที่ค่อนข้างใส สำหรับเมงุมิจังที่อดนอนกับคุณฟูมิโอะที่แก่แล้ว อาหารจานนี้แถมเป็นมื้อเช้านับว่าหนักเกินไปมาก ซึ่งคุณฟูมิโอะก็ชี้นิ้วต่อว่าโจอิจิโร่ พร้อมบอกว่าแกเองก็เป็นแบบนี้เสมอเลย ไอ้จานที่เหนือความคาดหมายแบบนี้เพลาๆบ้างเถอะ
-แถมคุณฟุมิโอะยังบอกอีกว่า เพราะทำแต่อาหารประหลาดๆแปลกๆแบบนี้ไม่เว้นแม้แต่ตอนแข่งโชคุเงคิไง ถึงได้แพ้ให้กับของง่ายๆธรรมดาๆตั้งหลายรอบ ซึ่งโจอิจิโร่ก็ยิ้มพร้อมกับบอกว่าทำให้นึกถึงความหลังเลยแฮะ ด้านเมงุมิเองแม้จะเห็นว่าซุปมันขุ่นมากๆแต่กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมา ซึ่งคุณฟุมิโอะเองก็ตกใจแล้วบอกว่า ก็จริง งั้นมาเริ่มตัดสินกันดีกว่า ว่าแล้วทุกคนก็เริ่มลงมือชิมทันที
-พอทานแล้วเมงุมิก็แปลกใจที่ตัวเองทานได้ ก่อนจะรู้ตัวว่าเส้นนี้นวดใส่ผิวส้มยูซุเข้าไปด้วยทำให้มีกลิ่นหอมสดชื่น ด้านคุณฟูมิโอะเองก็บอกว่าเส้นค่อนข้างหนามาก แต่ทำไมตัวเธอถึงคีบกินเอาเรื่อยๆจนหยุดไม่ได้ละเนี่ย!!
-หลังจากกินแล้วคุณฟูมิโอะก็รู้ว่าซุปนี้มาจากน้ำเต้าหู้ผสมกับมิโซะ แต่ทำไมสีมันถึงได้ขุ่นและรสชาติลุ่มลึกแบบนี้ ซึ่งโจอิจิโร่ก็บอกว่าเขาใส่"รากบอนจักรพรรดิ"ลงไปผสมด้วย นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ซุปมีสีขุ่น
(บอนเป็นพืชตระกูลเดียวกับเผือก แต่ไม่ค่อยนิยมเอามาทำอาหารเท่าไรเพราะบอนจะมีสองแบบคือบอนหวานกับบอนคันถ้าเกิดเก็บหัวบอนคันมาทานแล้วจะมีมีอาการคันคอ ส่วนรากบอนจักรพรรดิ หรือ 海老芋 เป็นบอนพันธ์ของญี่ปุ่นแล้วก็จีน ที่ญี่ปุ่นเอามาใช้ในการปรุงอาหารเมนูโบราณหรือไม่ก็เก่าแก่ รากบอนมีสรรพคุณในการแก้เจ็บคอ กับช่วยแก้ท้องเสียได้)
-เมงุมิพอกินๆไปก็รู้สึกร่างกายเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น ซึ่งอิชิกิก็บอกว่าเป็นผลมาจากกระเทียมและขิงสับใน"น้ำมันงา"ที่ใส่เข้าไป แถมรสหวานนุ่มจากน้ำเต้าหู้ยังช่วยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย ซึ่งคุณฟูมิโอะก็บอกว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอก เครื่องของราเม็งชามนี้เองก็ยังมี"รากบัว"หั่นบางๆกับ"หญ้าเจ้าชู้"ที่ถูกนำไปทอดจนสีสวย และยังมีแครอทกับ"เทอนิป"ที่ถูกนำไปย่างบนเตาถ่านและปรุงรสด้วยเกลือหินจนรสหวานของผักออกมาเข้ากับเกลือจนได้ที่ เหมือนกับการตกแต่งของอาหารฝรั่งเศษที่ของตกแต่งทั้งหมดจะช่วยเพิ่มพูนเสริมรสชาติให้อาหารจานนั้นเด่นขึ้นมา และจุดเด่นของจานนี้ก็คือ"เทปเป"หรือถั่วหมักราอาหารขึ้นชื่อของอินโดนีเซีย ที่นำเอาถั่วเหลืองไปหมักในใบชบาหรือใบตองจนได้ที่ เป็นอาหารที่นิยมในอินโดนีเซียมากกว่า400ปี
(น้ำมันงากับรากบัวคงจะรู้ๆกัน ส่วนหญ้าเจ้าชู้เป็นสมุนไพรครับ ปกติมักเอารากมาใช้ทำยาหรืออาหาร ส่วนเทอนิปเป็นพืชตระกูลหัวคล้ายแครอทแต่ออกรสหวานกว่ามาก มักใช้ในอาหารฝรั่ง ส่วนเทปเปผมขอยกไปอธิบายในย่อหน้าข้างล่าง)
-ซึ่งเมงุมิพอลองชิมแล้วก็บอกว่ามันรสชาติคล้ายกับหมูอบที่ใช้ใส่ในราเมงตามปกติเลย โจอิจิโร่เลยเสริมว่า มันเป็นอาหารของพวกพระที่ถือศีลไม่ทานเนื้อสัตว์ คนกินมังสวิรัติรวมถึงคนที่ทานอาหารเจกินกัน ซึ่งรอบนี้เขาดัดแปลงโดยการเพิ่มซีอิ้วกับสาเกเข้าไปเพื่อให้มันมีรสใกล้เคียงกับเทริยากิดู ส่วนอิชิกิก็บอกว่าน้ำซุปที่ใช้นี้หรือว่าจะเป็น"น้ำซุปนักพรต"ซึ่งโจอิจิโร่ก็บอกว่าใช่ ซุปนักพรตคือน้ำซุปที่ทำให้พระกินเลยต้องปราศจากเนื้อสัตว์ ซึ่งซุปนี้เขาใช้เห็ดชิตาเกะกับคอมบุในการสร้างรสชาติ ก่อนจะเล่าว่า ตัวเขาเดินทางไปหลายๆที่และซุปกับราเมนจานนี้ก็เป็นอาหารที่ได้ไอเดียมาจากอาหารที่เขาคิดขึ้นให้พระสงค์ที่เขาเจอระหว่างทางสามารถกินได้อย่างเพลิดเพลิน(โผล่ออกมาในตอนแรกของเรื่องโซมะ)
(เทปเป ก็อย่างที่เรื่องบรรยายไป โดยส่วนตัวผมเคยกินอยู่ครั้งหนึ่งครับ เป็นเทปเปทอด ผมว่ารสชาติเหมือนนัตเก็ตไก่ ใครสนใจอยากลองทานลองไปหาตามร้านอาหารอินโดนีเซียในตัวเมืองดูนะครับ น่าจะมีเสิร์ฟอยู่บ้าง)
-ซึ่งคุณฟุมิโอะก็คิดขึ้นได้ว่า การใช้คอมบุกับชิตาเกะสองอย่างนั้นจะทำให้ได้รสอูมามิจากตามธรรมชาติ ทดแทนซุปดาชิที่ใช้ในอาหารญี่ปุ่นหรือในราเมนไปได้เลย ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ทำให้คุณฟูมิโอะนึกขึ้นได้ว่า ราเมนจานนี้สร้างความอร่อยได้โดยไม่ต้องมีเนื้อสัตว์หรือปลาเลยยังงั้นรึ โจอิจิโร่เลยบอกว่า เป็นเรื่องง่ายถ้าจะสร้างความอร่อยโดยใช้เนื้อสัตว์ เพราะงั้นไม่คิดว่า"ราเมนที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบไร้เนื้อสัตว์"จานนี้เป็นของที่น่าสนใจบ้างเลยเหรอ? ได้ยินแบบนั้นคุณฟูมิโอะก็ถึงกับทึ่ง ที่โจอิจิโร่สร้างอาหารที่อร่อยและมีเอกลักษณ์ขนาดนี้ได้โดยใช้แค่ถั่วเหลืองกับผักเท่านั้น
-ซึ่งคุณฟูมิโอะเองก็ยังคิดต่อว่า เป็นจานที่เต็มไปด้วยความรู้และไอเดียมากมายจริงๆ เหมือนกับเป็นอาหารที่ถ่ายทอดชีวิตของพ่อครัวที่เดินทางไปตามที่ต่างๆรอบโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งทั้งสามคนทานก็ยิ่งรู้สึกถึงความอร่อยที่มากขึ้น แถมการเต็มไปด้วยผักและของที่ย่อยง่ายดีต่อสุขภาพก็ทำให้ทุกๆคนรู้สึกราวกับว่าตัวเองเด็กลงเรื่อยๆ
-รีแอคชั่นประจำตอน โซมะออกมาตบมุขว่าคุณฟูมิโอะจะย้อนวัยมากเกินไปแล้ว!
-หลังจากทานเสร็จคุณฟูมิโอะที่หน้าเปล่งปลั่งจนโซมะรู้สึกสยองก็บอกว่าจะเริ่มการตัดสินแล้ว (โซมะดีใจที่ลิงที่เห็นเมื้อกี้เป็นแค่จินตนาการของเขาเองเท่านั้น) ซึ่งในที่สุดทั้งสามคนก็ได้เวลาโหวตเลือกจานที่คิดว่าดีที่สุด ซึ่งดูเหมือนเมงุมิจะดูลังเลใจนิดหน่อยก่อนที่ผลการตัดสินจะออกมาเป็น...
ผู้ชนะคือ "โจอิจิโร่"!!!
โจอิจิโร่ - แค่ของพื้นๆน่ะ!
-ซึ่งโซมะก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะปลดผ้าคาดหัวออก ซึ่งอิชิกิก็เข้ามาคุยกับโซมะแล้วบอกว่า จานของโซมะก็ดีแต่ยังมีจุดหนึ่งที่เขาไม่พอใจอยู่ นั่นก็คือเรื่องที่เขาพึ่งกลับมาจากการทำงานในไร่ตอนเช้า อิชิกิคิดว่าถ้าตัวเองได้กินจานที่มีพลังหนักแน่นมากกว่านี้ก็คงจะดี
-ซึ่งโซมะเองก็รู้สึกตัว ว่าเขาทำอาหารตามความต้องการก็จริงแต่ยังมีพลังไม่มากพอ เมื่อเทียบกับอาหารของพ่อเขานอกจากจะทำตามโจทย์แล้วยังมีความหนักแน่นมีความแปลกใหม่และเพิ่มพลังให้กับทุกคนเข้าไปอีก แถมเขายังคิดตื้นเกินไปเรื่องสภาพร่างกายของคนที่พึ่งตื่นนอน คุณฟูมิโอะกับเมงุมิน่ะใช่ แต่รุ่นพี่อิชิกิที่ตื่นมาทำงานร่างกายกระปรี้กระเปร่าแล้ว น่าจะเหมาะกับอาหารที่หนักท้องให้พลังงานมากกว่าให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย ด้านคุณฟูมิโอะเองก็คิดว่า ไม่ใช่อาหารของโซมะจะไม่ดีแต่เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้วเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนของทั้งสองคน เรียกได้ว่ารอบนี้โจอิจิโร่เอาชนะไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้านโจอิจิโร่ก็เข้ามาคุยกับโซมะก่อนจะเอ่ยว่า ยังไงก็รู้สึกว่าโซมะโตขึ้นหน่อยเหมือนกัน แอปเปิลรีซอสโต้เองก็เป็นอาหารที่น่าสนใจนะ
-ก่อนจะพูดว่า การคัดเลือกฤดูใบไม้ร่วงของโทสึกิเป็นเวทีที่ต่างจากที่โซมะเคยได้ประสบมาทั้งหมด เพราะงั้นอย่าพึ่งแพ้ให้ใครจนกว่าจะกลับมาแพ้ให้พ่ออีกรอบละ! ซึ่งคุณฟูมิโอะที่แอบดูอยู่ก็ยิ้มในการให้กำลังใจของพ่อลูกคู่นี้
-ก่อนที่หลังปลอบแล้วโจอิจิโร่จะแหย่ไปว่า เท่านี้โซมะก็แพ้ครั้งที่490แล้วนะ ซึ่งโซมะก็โต้ไปว่าครั้งหน้าเขาจะไม่แพ้แน่ ก่อนจะเขียนบันทึกเก็บไว้(ทำทั้งพ่อทั้งลูก) ทำให้เมงุมิแอบคิดว่าโซมะบันทึกแบบนั้นตลอดเลยทำให้จำได้สินะ ส่วนคุณฟูมิโอะก็คอมเมนทร์ว่าพ่อลูกนี้เหมือนกันเปี้ยบ ก่อนจะเริ่มนึกว่าโซมะไม่ว่าจะแพ้สักกี่ครั้งก็ยังไม่เสียความมุ่งมั่นไป เธอจะพยามให้ได้แบบโซมะ ว่าแล้วเธอก็บอกโซมะว่า การคัดเลือกที่จะถึงนี้เธอจะพยามให้เต็มที่
-ถึงแม้เธอจะกลัวอยู่บ้างแต่เธอก็จะพยามทำให้ดีที่สุด ก่อนที่โซมะจะเอ่ยว่ามาพยามด้วยกันเถอะ! ซึ่งในตอนนั้นเอง จดหมายเกี่ยวกับรายละเอียดของการประกวดก็ถูกส่งมาถึงหอโพลาห์สตาร์!?
จบตอน
เป็นตอนที่เขียนเพลินมากๆ แล้วต้องเปิดอ้างอิงเยอะพอสมควรด้วย แต่ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเหมือนกัน(ตอนนี้ชักเริ่มทึ่งในตัวอาจารย์ยูโตะคนเขียนขึ้นเรื่อยๆแล้ว) แถมเรียกได้ว่าเตี่ยโซมะเองก็ทำอาหารเขากับบรรยากาศกินเจ ช่วงนี้พอดีอีก สำหรับตอนหน้าคงจะเปิดเผยวิธีการคัดเลือกรวมถึงหัวข้ออาหาร จะเป็นยังไงก็ต้องติดตามกันนะครับ!