ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๗
อัลยานั่งอยู่บนบ้านต้นไม้ที่เกือบจะเรียกว่าบ้านได้จริงๆ เพราะหมู่เด่นกับหมอทศช่วยกันปีนขึ้นไปทำหลังคาและซ่อมแซมพื้นให้แข็งแรง พร้อมกับทำบันไดถาวร แถมด้วยเชือกเส้นเขื่องที่มัดไว้กับกิ่งไม้ใกล้ๆ อีก
“ไว้ให้ทาร์ซาน”
เขาตอบอารมณ์ดีเมื่อถูกถามว่าเชือกเส้นนี้มีไว้ทำไม
“นึกว่าเอาไว้ใช้เวลาอกหัก”
อ๊าย... มุกนี้คิดกันสดๆ เลยนะเนี่ย
“ผมเนี๊ย...ไปอกหักได้ยังไง แฟนก็ยังไม่มี”
“แหม รีบออกตัวเชียวนะ”
“นิดนึง”
บ้านต้นไม้ที่ทศพรรษตั้งใจปรับปรุงเพื่ออัลยา เพราะเห็นเธอชอบปีนขึ้นมาโทรศัพท์บนต้นไม้บ่อยๆ ทั้งที่ข้างล่างก็มีสัญญาณ (ถ้าเปิดเครื่องรับส่ง)
“นั่งสองคนได้ ไม่พัง”
มีแนะช่องทางให้อีก
“แล้วจะต้องนั่งสองคนทำไม... เกะกะ”
รับมุกกันเข้าไปสิ
“เอ๊า ก็เผื่ออยากจะสวีท”
“กะใครยะ”
“ก็...กับ เจ้าอินทนิลมั้ง”
นึกอะไรไม่ออกเลยเผลอบอกชื่อควาย...เถอะ ถ้าไม่ติดว่าเขินก็คงบอกชื่อพระเอกหนังดังๆ สักคนไป หรือไม่ก็ชื่อตัวเองเหมือนที่ใจคิด
“บ้า...”
สัมพันธภาพ มิตรภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ค่อยๆ พัฒนาตามระยะเวลาที่ได้รู้จัก การต่อปากต่อคำเริ่มเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ และดูเหมือนอัลยาจะไม่โกรธเขาหมือนกับคราวแรกๆ ที่โดนแกล้ง...
“กรงนี้ เป็นไก่ฟ้าหลังขาวจันทบูรณ์ เป็นสัตว์สงวนห้ามล่าเด็ดขาด ส่วนนี่ชะนีหน้าขาว นี่เป็นกรงเสือดาว และเจ้าตัวนี้เป็นงูเหลือม”
เขาแนะนำสัตว์ป่าในกรงที่อยู่ระหว่างการรักษาให้เธอฟัง และหวังว่ากลับหน่วยไปอย่างน้อยก็คงรู้ว่ามีสัตว์ป่าอีกหลายชนิดที่เป็นสัตว์สงวนควรรักษา โดยเฉพาะการมองเห็นความสำคัญของป่าไม้ เพื่อให้สัตว์ป่าเหล่านี้มีที่อยู่ที่อาศัย
“หา งูก็ป่วยเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องมีปัญหาสุขภาพเหมือนกันทั้งนั้นแหละ คนน่ะ ยังดีที่เวลาป่วย หรือไม่สบายยังสามารถบอกอาการได้ว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหน แต่สัตว์นี่เราจะไม่รู้เลยว่าเขาไม่สบาย นอกจากอาการที่เห็นชัดเจน หรือบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด สัตว์ป่าน่ะ ถ้าไม่เจ็บป่วยจนเดินไม่ไหวจริงๆ เค้าไม่ออกมาเพ่นพ่านให้คนเห็นหรอกนะคุณ”
“แล้วเวลาปลาป่วยล่ะคะ รู้ได้ยังไง”
“หือ? ถามเพราะอยากรู้จริงหรือยิงมุกเนี่ย”
“ก็อยากรู้น่ะสิ... ปลามันอยู่ในน้ำ แล้วจะรู้ได้ยังไงเวลามันไม่สบาย”
“เออ...นั่นสินะ เอาไว้วันหลังละกันจะอธิบายให้ฟัง”
จะมีใครสักกี่คนที่สนใจปลาป่วย ทศพรรษขี้เกียจต้องมานั่งอธิบาย เพราะหากต้องบอกว่าปลามีกี่สายพันธุ์ แบ่งเป็นปลาน้ำจืด และปลาน้ำเค็ม อาการของปลาเวลาป่วยและสาเหตุการป่วยก็ไม่เหมือนกัน ขนาดของปลาและโรคที่เกิดขึ้น มากมายเยอะแยะ ที่สำคัญ หากเล่าไปหมดตอนนี้ แล้วจะมีอะไรเหลือไว้คุยกันล่ะ...
“ผมต้องเข้าป่าไปดูช้าง คุณจะไปช่วยยิงคุ้มกันให้ผมมั้ย”
เอาเข้าจริง... ไม่รู้ใครจะยิงคุ้มให้ใครล่ะนะ
“ต้องไปสิคะ... หน้าที่ฉันนี่”
แอบภูมิใจอยู่บ้างที่ยังไม่ไร้ประโยชน์ไปเสียเลยทีเดียว ถึงแม้งานของเธอที่นี่จะไม่เหมือนที่จินตนาการเอาไว้สักนิดก็ตาม
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ทศพรรษไม่รู้สึก “กระชุ่มกระชวย” หัวใจอย่างนี้ อาจจะตั้งแต่คนรักของเขาเปลี่ยนใจไปเลือกพี่ชายของเขานั่นแหละ ถ้าเธอเลือกคนอื่น บางทีเขาอาจจะไม่เสียใจมากเท่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าไม่เพราะความรักในคราวนั้น เขาก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่และได้พบกับเธอในวันนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ป่าแห่งนี้เป็นสีชมพูอยู่บ้างสำหรับเขา
“เสาร์นี้จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน้า... ฉันจะชอปปิ้งให้ฉ่ำปอดเลยคอยดูสิ”
อัลยาฮัมเพลงอย่างมีความสุข ขณะนั่งทาครีมบำรุงผิว
“ถึงวันพักแล้วเหรอ เร็วจัง”
“เร็วที่ไหนกัน นี่ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งยี่สิบวันเชียวนะคะ”
ยี่สิบวันที่รวดเร็วจนลืมตัวไปเหมือนกัน...นับแต่มาอยู่ที่นี่ อัลยายังไม่มีโอกาสได้ดูดีวีดีที่ถือมาด้วยเลย หนังสือ After dark ก็ยังค้างอยู่หน้าเดิม ที่มากไปกว่านั้น เครื่องสำอางค์ยี่ห้อดีราคาสูงลิบนั้นแทบไม่ถูกแตะต้องเลย นอกจากครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่ดูจะใช้เปลืองกว่าปกติ
“นี่นะ เอสพีเอฟสามสิบ รับรองออกแดดสองชั่วโมงก็ไม่ดำ”
อัลยาอวดสรรพคุณเครื่องสำอางค์ของตน
“นี่นะ เอสพีเอฟเจ็ดสิบห้า รับรองออกแดดไม่ถึงสองชั่วโมงก็ดำ”
เขาเลียนแบบเสียงเธอและหยิบหลอดครีมทาผิวขึ้นมาทำท่าทางเหมือนในโฆษณา
“มีที่ไหนยะ...เอสพีเอฟเจ็ดสิบห้า อย่ามามั่ว ฉันน่ะตัวแม่แฟนพันธุ์แท้เรื่องเครื่องสำอางค์ นี่มันครีมบำรุงผิวธรรมดาผสมสารกันแดดแค่สิบห้า”
“ก็ทาทับไปสักห้าครั้ง ก็เจ็ดสิบห้าเองแหละ”
“กล้าพูด...”
เขาวางหลอดครีมลงและเดินล่วงหน้าไปที่สำนักงานเพื่อเตรียมของ แต่ในใจกลับนึกถึงประโยคบอกเล่าสั้นๆ ของเธอที่บอกว่า เสาร์นี้จะกลับกรุงเทพฯ หน้าระรื่นแบบนั้นมันยากที่จะเชื่อว่าไม่มีใครรออยู่ที่นั่นจริงๆ ทศพรรษแพ้กรุงเทพฯ... เขาเกลียดอากาศกรุงเทพฯ พอๆ กับหงุดหงิดในอารมณ์เมื่อนึกถึงใครบางคนที่นั่น และถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะอยู่มันเสียที่นี่ไปตลอดชีวิต ไม่อยากคิด ไม่อยากนึกถึงสิ่งที่เขาทิ้งมา ชีวิตที่เหมือนละครน้ำเน่าของเขา มันเกินกว่าจะบอกเล่าออกไปให้ใครฟังได้ มันอาจจะนานจนกว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั่นแหละ เขาอาจจะพูดถึงมัน (ก็ได้)
“ทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่ มันไกลความเจริญมากเลยนะคะ อย่างคุณเนี่ยเปิดคลินิกรักษาสัตว์ ขี้คร้านจะรวยไม่รู้เรื่อง”
ทศพรรษอดนึกถึงคลินิกรักษาสัตว์ที่ว่าไม่ได้ ใครบอกล่ะว่าเขาไม่เคยเปิด ไม่ใช่เขาคนเดียวแต่เป็น “เขากับเธอ” ซึ่งตอนนี้ไม่มีเขากับเธอแล้วแต่อาจจะเป็นเธอกับพี่ชายของเขา หรืออาจจะเป็นเธอกับใครอื่นก็สุดจะเดา ทศพรรษไม่อยากนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา จึงพาตัวเองกลับเข้าสู่ปัจจุบัน ถามถึงเรื่องราวของอัลยาบ้าง
“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึง อาสาฯ มา”
“แหม..พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉันน่ะไม่ได้อยากมาเล้ย ถ้าไม่เพราะพี่ที่ต้องมาที่นี่เค้าเกิดอุบัติเหตุ ป่านนี้ฉันคงได้ลงไปเดินล่อเป้าที่สุไหงปาดีแล้วก็ได้”
ทศพรรษยัง งงๆ มันน่าอวดตรงไหนไปเดินล่อเป้าคนร้ายเนี่ย
“เฮ่อ... ที่จริงแล้วเทวดาจับเหวี่ยงมาตะหาก ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ พูดแล้วก็เจ็บใจ”
ทศพรรษฟังเงียบๆ เพราะดูเหมือนเธอจะไม่ต้องการคำตอบของเขาแล้วเช่นกัน
“คุณยังไม่เล่าเลยนะคะว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่ที่นี่”
นึกว่าลืมไปแล้ว... ยังวกกลับมาอีกนะ
“เหมือนคุณนั่นแหละ.... เทวดาจับเหวี่ยงมา”
ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวของเขาให้ใครฟัง ความเจ็บปวดมันยังฝังลึกอยู่ในใจ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หรือว่าใครจะมาถอนมันออกไปจากใจเสียที
และเมื่อถึงวันพัก อัลยาตื่นแต่เช้าตรู่ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ต แต่เป็นเสื้อลูกไม้สายเดี่ยวสีขาวสะอาดตาตัวยาว กางเกงทรงเดฟเข้ารูปสีน้ำทะเล สวมรองเท้าส้นสูงสามนิ้วสุดโปรด แต่งหน้าทาปากเหมือนหลุดออกมาจากแม็กกาซีนแฟชั่น ไม่เหลือเค้าของ “อัลยาหน้างอ” เหมือนตอนมาใหม่ๆ สักนิด
“รีบไป รีบกลับนะ”
ประโยคธรรมดาที่ฟังดูไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่ หากคิดอย่างลึกซึ้งก็คงจะรู้ความหมาย แต่หากไม่สนใจอะไร คำพูดธรรมดาๆ แบบนี้ก็คงลอยหายไปกับสายลม เหมือนขนอุยของนกกางเขนที่เริ่มปีกกล้า
“ไม่นานเกินกว่าจะที่ใครสักคนจะคิดถึงหรอกน่า”
อัลยาหัวเราะร่าอย่างมีความสุข... ความสุขที่จะได้กลับสู่เมืองหลวงและแสงสีอันคุ้นเคยต่างหาก
สิ้นเสียงรถจี๊ปคันเก่ง หรีดหริ่งเรไรก็กลับมาร้องระงม ผืนป่ากลับคืนสู่ความเป็นป่าอีกครั้ง แต่คราวนี้ความเงียบกับดูวังเวงประหลาด... ทศพรรษสลัดทิ้งความฟุ้งซ่านด้วยการเข้าป่าไปดูช้างที่กำลังอยู่ระหว่างรักษา ถึงแม้มันจะเริ่มยืนได้แล้ว แต่ด้วยน้ำหนักและความใหญ่โตของช้างทำให้มันยังเดินไม่ได้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่วยกันหาอาหารมาให้และผลัดกันดูแลอย่างเต็มอกเต็มใจ
ขณะที่อัลยาต้องนั่งรถจากหน่วยที่จ่าสิทธิ์เป็นพลขับไปส่งที่จังหวัด แล้วต่อทัวร์เข้ากรุงเทพฯอีกที พลรบไปรอรับอัลยาที่หมอชิตและทันทีที่รถจอดเทียบชานชาลาเขาก็ไปรอที่หน้าประตูรถเลยทีเดียว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถ เธอแทบจะสำลักควัน กลิ่นไอเสียทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอด
“ไปอยู่ป่าแป๊บเดียว แพ้กรุงเทพฯ แล้วเหรอหยา”
“สงสัยจะใช่... เรารู้สึกแสบจมูกนิดหน่อย คงเพราะเปลี่ยนอากาศกระทันหัน หรือไม่ก็อาจจะเพราะเพิ่งลงจากรถปรับอากาศก็ได้”
“หิวมั้ย ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”
พลรบหยิบกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่อัลยาติดมาด้วย ไปไว้ท้ายรถ กระเป๋าเบาโหวงเพราะเจ้าตัวตั้งใจเอามาเพื่อขนของไปเพิ่ม มากกว่าขนของจากทางโน้นกลับมา
“ก็ดีเหมือนกันนะ อยากกินกาแฟ ติ่มซำ ขนมเค้ก”
“อดอยากมาจากไหนเนี่ย”
“ในป่าไม่มีกิน”
“น่าสงสารจริงๆ เอานะ กลับมาคราวนี้อยากทำอะไร อยากกินอะไร อยากไปไหนบอก เดี๋ยวจัดให้”
“อืม พูดถึงไปไหน เราอยากไปทะเล ไปมั้ย ไปทะเลกัน”
“นี่ใจคอจะไม่พักผ่อนบ้างหรือไงแม่คุณ”
“ก็อยากอยู่หรอก แต่แหม ไม่ได้ไปทะเลนานแล้ว คิดถึงเสียงคลื่นกระทบโขดหิน คิดถึงน้ำใสๆ อยากดำน้ำดูปะการัง ดูปลา”
อยากรู้ว่าปลาตัวไหนป่วยด้วย เอ๊ ไปนึกถึงปลาป่วยได้ยังไงกัน ไม่หรอก ไม่ได้ตั้งใจ มันแค่บังเอิญน่า...
“อ๊ะ ป๊ะป๋าโทฯ มาทำไมแต่เช้า แปลกจริงๆ เดี๋ยวรับโทรศัพท์พ่อแป๊บนะ อย่าส่งเสียงล่ะ เดี๋ยวพ่อจับทำลูกเขยไม่รู้ด้วยนะ”
พลรบอยากจะตะโกนดังๆ ให้พ่อของอัลยาได้ยินจริงๆ
“ฮัลโหล ค่ะพ่อ... มีอะไรแต่ให้ลูกสาวรับใช้แต่เช้าคะ”
“ทำไมพ่อโทฯ หาไม่ค่อยติดเลยลูก”
ประโยคแรกของบิดา มาถึงก็เม้งใส่เลย
“อ๋อ หยาอยู่ในป่าน่ะพ่อ เอ๊ยยยย คือว่าต้องออกไปสัมมนาต่างจังหวัดแล้วมันเป็นรีสอร์ทใกล้ๆ ป่า ไม่ค่อยมีสัญญาณน่ะค่ะ”
“เออ แล้วได้เจอตาพีทบ้างมั้ย”
“ไม่ค่ะ เอ่อ เจอค่ะ”
“เอาไงแน่ลูก เจอหรือไม่เจอ”
“พ่อมีอะไรกับคุณพีทเหรอคะ”
“บอกตาพีทให้ไปบอกพ่อเขาทีว่างานเลี้ยงรุ่นปีนี้มาให้ได้”
“พ่อทำไมไม่โทฯ ไปหาเพื่อนพ่อเองล่ะคะไม่เห็นต้องผ่านหยา ไปถึงคุณพีทเลย ตั้งหลายต่อแน่ะ”
“ก็ไหนบอกว่าเจอกัน”
“พ่ออ้ะ....”
“ตามนั้น ไม่มีต่อรอง แค่นี้นะ แม่รอกินข้าวแล้ว”
“งานเข้าแต่เช้า เบื่อจริงๆ เลย พวกชอบคลุมถุงชนเนี่ย ไม่รู้เลยหรือไงว่าลูกสองคนไม่ได้รักกันเลย”
“ใจเย็นๆ นะ ป่ะ หาอะไรกินดีกว่า”
แต่อารมณ์บีซี่ของเธอก็มอดลงในเวลาไม่นานนัก เพราะมีอะไรอีกมากมายรอให้ทำ ไม่ว่าจะชอปปิ้ง ดูหนัง ร้องเพลง กินอาหารอร่อยๆ และทะเล...
“อยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”
พลรบถามไถ่ เป็นคำถามที่แทบจะเรียกว่าทุกครั้งที่พบกัน หรือคุยกันจะต้องมีคำถามนี้ “เป็นไงบ้าง” เหมือนเป็นคำถามเบสิกแต่ครอบคลุมทุกอย่าง
“ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า ไปเซ็นชื่อ เข้าคลาสสอนหนังสือถึงเที่ยงพัก สอน บ่ายเลิกงานกลับบ้าน แต่งานที่เราทำไม่ต้องมีเงื่อนไขของเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่ละวันเราจะไม่รู้เลยว่าเทวดาจะส่งอะไรมาให้เรา นี่นะเราได้กินเนื้อไก่ฟ้าด้วย เนื้อมันไม่เหมือนไก่ที่เรากินเนอะ มันเหนียวๆ หยาบๆ ยังไงไม่รู้ นี่แล้วเรายังได้ช่วยหมอทำคลอดลูกควายป่าด้วยนะ ตื่นเต้นมากเลย”
อัลยาเล่าเรื่องของป่าอย่างไม่รู้เบื่อ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจอะไรในเมืองหลวงมากไปกว่าการซื้อข้าวของตระเตรียมไว้สำหรับกลับไปที่โน่นอีกครั้ง
“เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ รองเท้าหุ้มข้ออีกคู่ เอารองเท้าเดินป่าดีกว่าจะได้เซฟๆ”
รายการ ของกิน ของใช้ และโน่น นี่ นั่น อีกมากมาย ผิดไปจากอัลยาคนเดิมก่อนที่จะไปอยู่ที่โน่นเหมือนคนละคน บางทีอาจจะเพราะเธอปรับตัวได้ หรือบางที...อาจจะมีใครทำให้เธอสุขใจกับการอยู่ที่โน่น
“เออ พรุ่งนี้ไปเดินเซนทรัลดีกว่า มีของต้องซื้อไปฝากคนทางโน้นเยอะเลย”
และคนทางโน้นที่อัลยานึกถึงเป็นพิเศษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหมอตำแยทำคลอดควายป่า ซึ่งขณะที่มีสาวสวยนึกถึงอยู่นั้นเขากำลังตั้งอกตั้งใจเลื่อยไม้ล้มต้นหนึ่งออกมาทำชิงช้า โดยใช้เชือกทาร์ซานที่มัดกับกิ่งไม้ไว้แต่แรกนั่นแหละ ไม่หรอกอัลยาไม่ได้รู้สึก “พิเศษ” กับหมอทศแน่ๆ ก็แค่เพื่อนร่วมงาน (มั้ง) แต่ว่าตอนนี้ตาหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่นะ ให้อาหารเสือ ฉีดยานก หรือดูเจ้าอินทนิลกำลังดูดนมแม่อยู่กันแน่น้า...
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๗)
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๗
อัลยานั่งอยู่บนบ้านต้นไม้ที่เกือบจะเรียกว่าบ้านได้จริงๆ เพราะหมู่เด่นกับหมอทศช่วยกันปีนขึ้นไปทำหลังคาและซ่อมแซมพื้นให้แข็งแรง พร้อมกับทำบันไดถาวร แถมด้วยเชือกเส้นเขื่องที่มัดไว้กับกิ่งไม้ใกล้ๆ อีก
“ไว้ให้ทาร์ซาน”
เขาตอบอารมณ์ดีเมื่อถูกถามว่าเชือกเส้นนี้มีไว้ทำไม
“นึกว่าเอาไว้ใช้เวลาอกหัก”
อ๊าย... มุกนี้คิดกันสดๆ เลยนะเนี่ย
“ผมเนี๊ย...ไปอกหักได้ยังไง แฟนก็ยังไม่มี”
“แหม รีบออกตัวเชียวนะ”
“นิดนึง”
บ้านต้นไม้ที่ทศพรรษตั้งใจปรับปรุงเพื่ออัลยา เพราะเห็นเธอชอบปีนขึ้นมาโทรศัพท์บนต้นไม้บ่อยๆ ทั้งที่ข้างล่างก็มีสัญญาณ (ถ้าเปิดเครื่องรับส่ง)
“นั่งสองคนได้ ไม่พัง”
มีแนะช่องทางให้อีก
“แล้วจะต้องนั่งสองคนทำไม... เกะกะ”
รับมุกกันเข้าไปสิ
“เอ๊า ก็เผื่ออยากจะสวีท”
“กะใครยะ”
“ก็...กับ เจ้าอินทนิลมั้ง”
นึกอะไรไม่ออกเลยเผลอบอกชื่อควาย...เถอะ ถ้าไม่ติดว่าเขินก็คงบอกชื่อพระเอกหนังดังๆ สักคนไป หรือไม่ก็ชื่อตัวเองเหมือนที่ใจคิด
“บ้า...”
สัมพันธภาพ มิตรภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ค่อยๆ พัฒนาตามระยะเวลาที่ได้รู้จัก การต่อปากต่อคำเริ่มเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ และดูเหมือนอัลยาจะไม่โกรธเขาหมือนกับคราวแรกๆ ที่โดนแกล้ง...
“กรงนี้ เป็นไก่ฟ้าหลังขาวจันทบูรณ์ เป็นสัตว์สงวนห้ามล่าเด็ดขาด ส่วนนี่ชะนีหน้าขาว นี่เป็นกรงเสือดาว และเจ้าตัวนี้เป็นงูเหลือม”
เขาแนะนำสัตว์ป่าในกรงที่อยู่ระหว่างการรักษาให้เธอฟัง และหวังว่ากลับหน่วยไปอย่างน้อยก็คงรู้ว่ามีสัตว์ป่าอีกหลายชนิดที่เป็นสัตว์สงวนควรรักษา โดยเฉพาะการมองเห็นความสำคัญของป่าไม้ เพื่อให้สัตว์ป่าเหล่านี้มีที่อยู่ที่อาศัย
“หา งูก็ป่วยเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องมีปัญหาสุขภาพเหมือนกันทั้งนั้นแหละ คนน่ะ ยังดีที่เวลาป่วย หรือไม่สบายยังสามารถบอกอาการได้ว่าเป็นอะไร เจ็บตรงไหน แต่สัตว์นี่เราจะไม่รู้เลยว่าเขาไม่สบาย นอกจากอาการที่เห็นชัดเจน หรือบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด สัตว์ป่าน่ะ ถ้าไม่เจ็บป่วยจนเดินไม่ไหวจริงๆ เค้าไม่ออกมาเพ่นพ่านให้คนเห็นหรอกนะคุณ”
“แล้วเวลาปลาป่วยล่ะคะ รู้ได้ยังไง”
“หือ? ถามเพราะอยากรู้จริงหรือยิงมุกเนี่ย”
“ก็อยากรู้น่ะสิ... ปลามันอยู่ในน้ำ แล้วจะรู้ได้ยังไงเวลามันไม่สบาย”
“เออ...นั่นสินะ เอาไว้วันหลังละกันจะอธิบายให้ฟัง”
จะมีใครสักกี่คนที่สนใจปลาป่วย ทศพรรษขี้เกียจต้องมานั่งอธิบาย เพราะหากต้องบอกว่าปลามีกี่สายพันธุ์ แบ่งเป็นปลาน้ำจืด และปลาน้ำเค็ม อาการของปลาเวลาป่วยและสาเหตุการป่วยก็ไม่เหมือนกัน ขนาดของปลาและโรคที่เกิดขึ้น มากมายเยอะแยะ ที่สำคัญ หากเล่าไปหมดตอนนี้ แล้วจะมีอะไรเหลือไว้คุยกันล่ะ...
“ผมต้องเข้าป่าไปดูช้าง คุณจะไปช่วยยิงคุ้มกันให้ผมมั้ย”
เอาเข้าจริง... ไม่รู้ใครจะยิงคุ้มให้ใครล่ะนะ
“ต้องไปสิคะ... หน้าที่ฉันนี่”
แอบภูมิใจอยู่บ้างที่ยังไม่ไร้ประโยชน์ไปเสียเลยทีเดียว ถึงแม้งานของเธอที่นี่จะไม่เหมือนที่จินตนาการเอาไว้สักนิดก็ตาม
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ทศพรรษไม่รู้สึก “กระชุ่มกระชวย” หัวใจอย่างนี้ อาจจะตั้งแต่คนรักของเขาเปลี่ยนใจไปเลือกพี่ชายของเขานั่นแหละ ถ้าเธอเลือกคนอื่น บางทีเขาอาจจะไม่เสียใจมากเท่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าไม่เพราะความรักในคราวนั้น เขาก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่และได้พบกับเธอในวันนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ป่าแห่งนี้เป็นสีชมพูอยู่บ้างสำหรับเขา
“เสาร์นี้จะกลับกรุงเทพฯ แล้วน้า... ฉันจะชอปปิ้งให้ฉ่ำปอดเลยคอยดูสิ”
อัลยาฮัมเพลงอย่างมีความสุข ขณะนั่งทาครีมบำรุงผิว
“ถึงวันพักแล้วเหรอ เร็วจัง”
“เร็วที่ไหนกัน นี่ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งยี่สิบวันเชียวนะคะ”
ยี่สิบวันที่รวดเร็วจนลืมตัวไปเหมือนกัน...นับแต่มาอยู่ที่นี่ อัลยายังไม่มีโอกาสได้ดูดีวีดีที่ถือมาด้วยเลย หนังสือ After dark ก็ยังค้างอยู่หน้าเดิม ที่มากไปกว่านั้น เครื่องสำอางค์ยี่ห้อดีราคาสูงลิบนั้นแทบไม่ถูกแตะต้องเลย นอกจากครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่ดูจะใช้เปลืองกว่าปกติ
“นี่นะ เอสพีเอฟสามสิบ รับรองออกแดดสองชั่วโมงก็ไม่ดำ”
อัลยาอวดสรรพคุณเครื่องสำอางค์ของตน
“นี่นะ เอสพีเอฟเจ็ดสิบห้า รับรองออกแดดไม่ถึงสองชั่วโมงก็ดำ”
เขาเลียนแบบเสียงเธอและหยิบหลอดครีมทาผิวขึ้นมาทำท่าทางเหมือนในโฆษณา
“มีที่ไหนยะ...เอสพีเอฟเจ็ดสิบห้า อย่ามามั่ว ฉันน่ะตัวแม่แฟนพันธุ์แท้เรื่องเครื่องสำอางค์ นี่มันครีมบำรุงผิวธรรมดาผสมสารกันแดดแค่สิบห้า”
“ก็ทาทับไปสักห้าครั้ง ก็เจ็ดสิบห้าเองแหละ”
“กล้าพูด...”
เขาวางหลอดครีมลงและเดินล่วงหน้าไปที่สำนักงานเพื่อเตรียมของ แต่ในใจกลับนึกถึงประโยคบอกเล่าสั้นๆ ของเธอที่บอกว่า เสาร์นี้จะกลับกรุงเทพฯ หน้าระรื่นแบบนั้นมันยากที่จะเชื่อว่าไม่มีใครรออยู่ที่นั่นจริงๆ ทศพรรษแพ้กรุงเทพฯ... เขาเกลียดอากาศกรุงเทพฯ พอๆ กับหงุดหงิดในอารมณ์เมื่อนึกถึงใครบางคนที่นั่น และถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะอยู่มันเสียที่นี่ไปตลอดชีวิต ไม่อยากคิด ไม่อยากนึกถึงสิ่งที่เขาทิ้งมา ชีวิตที่เหมือนละครน้ำเน่าของเขา มันเกินกว่าจะบอกเล่าออกไปให้ใครฟังได้ มันอาจจะนานจนกว่าเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั่นแหละ เขาอาจจะพูดถึงมัน (ก็ได้)
“ทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่ มันไกลความเจริญมากเลยนะคะ อย่างคุณเนี่ยเปิดคลินิกรักษาสัตว์ ขี้คร้านจะรวยไม่รู้เรื่อง”
ทศพรรษอดนึกถึงคลินิกรักษาสัตว์ที่ว่าไม่ได้ ใครบอกล่ะว่าเขาไม่เคยเปิด ไม่ใช่เขาคนเดียวแต่เป็น “เขากับเธอ” ซึ่งตอนนี้ไม่มีเขากับเธอแล้วแต่อาจจะเป็นเธอกับพี่ชายของเขา หรืออาจจะเป็นเธอกับใครอื่นก็สุดจะเดา ทศพรรษไม่อยากนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา จึงพาตัวเองกลับเข้าสู่ปัจจุบัน ถามถึงเรื่องราวของอัลยาบ้าง
“แล้วคุณล่ะ ทำไมถึง อาสาฯ มา”
“แหม..พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉันน่ะไม่ได้อยากมาเล้ย ถ้าไม่เพราะพี่ที่ต้องมาที่นี่เค้าเกิดอุบัติเหตุ ป่านนี้ฉันคงได้ลงไปเดินล่อเป้าที่สุไหงปาดีแล้วก็ได้”
ทศพรรษยัง งงๆ มันน่าอวดตรงไหนไปเดินล่อเป้าคนร้ายเนี่ย
“เฮ่อ... ที่จริงแล้วเทวดาจับเหวี่ยงมาตะหาก ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ พูดแล้วก็เจ็บใจ”
ทศพรรษฟังเงียบๆ เพราะดูเหมือนเธอจะไม่ต้องการคำตอบของเขาแล้วเช่นกัน
“คุณยังไม่เล่าเลยนะคะว่าทำไมถึงเลือกมาอยู่ที่นี่”
นึกว่าลืมไปแล้ว... ยังวกกลับมาอีกนะ
“เหมือนคุณนั่นแหละ.... เทวดาจับเหวี่ยงมา”
ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวของเขาให้ใครฟัง ความเจ็บปวดมันยังฝังลึกอยู่ในใจ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หรือว่าใครจะมาถอนมันออกไปจากใจเสียที
และเมื่อถึงวันพัก อัลยาตื่นแต่เช้าตรู่ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ต แต่เป็นเสื้อลูกไม้สายเดี่ยวสีขาวสะอาดตาตัวยาว กางเกงทรงเดฟเข้ารูปสีน้ำทะเล สวมรองเท้าส้นสูงสามนิ้วสุดโปรด แต่งหน้าทาปากเหมือนหลุดออกมาจากแม็กกาซีนแฟชั่น ไม่เหลือเค้าของ “อัลยาหน้างอ” เหมือนตอนมาใหม่ๆ สักนิด
“รีบไป รีบกลับนะ”
ประโยคธรรมดาที่ฟังดูไม่ค่อยธรรมดาเท่าไหร่ หากคิดอย่างลึกซึ้งก็คงจะรู้ความหมาย แต่หากไม่สนใจอะไร คำพูดธรรมดาๆ แบบนี้ก็คงลอยหายไปกับสายลม เหมือนขนอุยของนกกางเขนที่เริ่มปีกกล้า
“ไม่นานเกินกว่าจะที่ใครสักคนจะคิดถึงหรอกน่า”
อัลยาหัวเราะร่าอย่างมีความสุข... ความสุขที่จะได้กลับสู่เมืองหลวงและแสงสีอันคุ้นเคยต่างหาก
สิ้นเสียงรถจี๊ปคันเก่ง หรีดหริ่งเรไรก็กลับมาร้องระงม ผืนป่ากลับคืนสู่ความเป็นป่าอีกครั้ง แต่คราวนี้ความเงียบกับดูวังเวงประหลาด... ทศพรรษสลัดทิ้งความฟุ้งซ่านด้วยการเข้าป่าไปดูช้างที่กำลังอยู่ระหว่างรักษา ถึงแม้มันจะเริ่มยืนได้แล้ว แต่ด้วยน้ำหนักและความใหญ่โตของช้างทำให้มันยังเดินไม่ได้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่วยกันหาอาหารมาให้และผลัดกันดูแลอย่างเต็มอกเต็มใจ
ขณะที่อัลยาต้องนั่งรถจากหน่วยที่จ่าสิทธิ์เป็นพลขับไปส่งที่จังหวัด แล้วต่อทัวร์เข้ากรุงเทพฯอีกที พลรบไปรอรับอัลยาที่หมอชิตและทันทีที่รถจอดเทียบชานชาลาเขาก็ไปรอที่หน้าประตูรถเลยทีเดียว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถ เธอแทบจะสำลักควัน กลิ่นไอเสียทำให้หายใจได้ไม่เต็มปอด
“ไปอยู่ป่าแป๊บเดียว แพ้กรุงเทพฯ แล้วเหรอหยา”
“สงสัยจะใช่... เรารู้สึกแสบจมูกนิดหน่อย คงเพราะเปลี่ยนอากาศกระทันหัน หรือไม่ก็อาจจะเพราะเพิ่งลงจากรถปรับอากาศก็ได้”
“หิวมั้ย ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”
พลรบหยิบกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่อัลยาติดมาด้วย ไปไว้ท้ายรถ กระเป๋าเบาโหวงเพราะเจ้าตัวตั้งใจเอามาเพื่อขนของไปเพิ่ม มากกว่าขนของจากทางโน้นกลับมา
“ก็ดีเหมือนกันนะ อยากกินกาแฟ ติ่มซำ ขนมเค้ก”
“อดอยากมาจากไหนเนี่ย”
“ในป่าไม่มีกิน”
“น่าสงสารจริงๆ เอานะ กลับมาคราวนี้อยากทำอะไร อยากกินอะไร อยากไปไหนบอก เดี๋ยวจัดให้”
“อืม พูดถึงไปไหน เราอยากไปทะเล ไปมั้ย ไปทะเลกัน”
“นี่ใจคอจะไม่พักผ่อนบ้างหรือไงแม่คุณ”
“ก็อยากอยู่หรอก แต่แหม ไม่ได้ไปทะเลนานแล้ว คิดถึงเสียงคลื่นกระทบโขดหิน คิดถึงน้ำใสๆ อยากดำน้ำดูปะการัง ดูปลา”
อยากรู้ว่าปลาตัวไหนป่วยด้วย เอ๊ ไปนึกถึงปลาป่วยได้ยังไงกัน ไม่หรอก ไม่ได้ตั้งใจ มันแค่บังเอิญน่า...
“อ๊ะ ป๊ะป๋าโทฯ มาทำไมแต่เช้า แปลกจริงๆ เดี๋ยวรับโทรศัพท์พ่อแป๊บนะ อย่าส่งเสียงล่ะ เดี๋ยวพ่อจับทำลูกเขยไม่รู้ด้วยนะ”
พลรบอยากจะตะโกนดังๆ ให้พ่อของอัลยาได้ยินจริงๆ
“ฮัลโหล ค่ะพ่อ... มีอะไรแต่ให้ลูกสาวรับใช้แต่เช้าคะ”
“ทำไมพ่อโทฯ หาไม่ค่อยติดเลยลูก”
ประโยคแรกของบิดา มาถึงก็เม้งใส่เลย
“อ๋อ หยาอยู่ในป่าน่ะพ่อ เอ๊ยยยย คือว่าต้องออกไปสัมมนาต่างจังหวัดแล้วมันเป็นรีสอร์ทใกล้ๆ ป่า ไม่ค่อยมีสัญญาณน่ะค่ะ”
“เออ แล้วได้เจอตาพีทบ้างมั้ย”
“ไม่ค่ะ เอ่อ เจอค่ะ”
“เอาไงแน่ลูก เจอหรือไม่เจอ”
“พ่อมีอะไรกับคุณพีทเหรอคะ”
“บอกตาพีทให้ไปบอกพ่อเขาทีว่างานเลี้ยงรุ่นปีนี้มาให้ได้”
“พ่อทำไมไม่โทฯ ไปหาเพื่อนพ่อเองล่ะคะไม่เห็นต้องผ่านหยา ไปถึงคุณพีทเลย ตั้งหลายต่อแน่ะ”
“ก็ไหนบอกว่าเจอกัน”
“พ่ออ้ะ....”
“ตามนั้น ไม่มีต่อรอง แค่นี้นะ แม่รอกินข้าวแล้ว”
“งานเข้าแต่เช้า เบื่อจริงๆ เลย พวกชอบคลุมถุงชนเนี่ย ไม่รู้เลยหรือไงว่าลูกสองคนไม่ได้รักกันเลย”
“ใจเย็นๆ นะ ป่ะ หาอะไรกินดีกว่า”
แต่อารมณ์บีซี่ของเธอก็มอดลงในเวลาไม่นานนัก เพราะมีอะไรอีกมากมายรอให้ทำ ไม่ว่าจะชอปปิ้ง ดูหนัง ร้องเพลง กินอาหารอร่อยๆ และทะเล...
“อยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง”
พลรบถามไถ่ เป็นคำถามที่แทบจะเรียกว่าทุกครั้งที่พบกัน หรือคุยกันจะต้องมีคำถามนี้ “เป็นไงบ้าง” เหมือนเป็นคำถามเบสิกแต่ครอบคลุมทุกอย่าง
“ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า ไปเซ็นชื่อ เข้าคลาสสอนหนังสือถึงเที่ยงพัก สอน บ่ายเลิกงานกลับบ้าน แต่งานที่เราทำไม่ต้องมีเงื่อนไขของเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่ละวันเราจะไม่รู้เลยว่าเทวดาจะส่งอะไรมาให้เรา นี่นะเราได้กินเนื้อไก่ฟ้าด้วย เนื้อมันไม่เหมือนไก่ที่เรากินเนอะ มันเหนียวๆ หยาบๆ ยังไงไม่รู้ นี่แล้วเรายังได้ช่วยหมอทำคลอดลูกควายป่าด้วยนะ ตื่นเต้นมากเลย”
อัลยาเล่าเรื่องของป่าอย่างไม่รู้เบื่อ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจอะไรในเมืองหลวงมากไปกว่าการซื้อข้าวของตระเตรียมไว้สำหรับกลับไปที่โน่นอีกครั้ง
“เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ รองเท้าหุ้มข้ออีกคู่ เอารองเท้าเดินป่าดีกว่าจะได้เซฟๆ”
รายการ ของกิน ของใช้ และโน่น นี่ นั่น อีกมากมาย ผิดไปจากอัลยาคนเดิมก่อนที่จะไปอยู่ที่โน่นเหมือนคนละคน บางทีอาจจะเพราะเธอปรับตัวได้ หรือบางที...อาจจะมีใครทำให้เธอสุขใจกับการอยู่ที่โน่น
“เออ พรุ่งนี้ไปเดินเซนทรัลดีกว่า มีของต้องซื้อไปฝากคนทางโน้นเยอะเลย”
และคนทางโน้นที่อัลยานึกถึงเป็นพิเศษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหมอตำแยทำคลอดควายป่า ซึ่งขณะที่มีสาวสวยนึกถึงอยู่นั้นเขากำลังตั้งอกตั้งใจเลื่อยไม้ล้มต้นหนึ่งออกมาทำชิงช้า โดยใช้เชือกทาร์ซานที่มัดกับกิ่งไม้ไว้แต่แรกนั่นแหละ ไม่หรอกอัลยาไม่ได้รู้สึก “พิเศษ” กับหมอทศแน่ๆ ก็แค่เพื่อนร่วมงาน (มั้ง) แต่ว่าตอนนี้ตาหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่นะ ให้อาหารเสือ ฉีดยานก หรือดูเจ้าอินทนิลกำลังดูดนมแม่อยู่กันแน่น้า...