ส า ย น้ำ ไ ม่ เ ค ย ไ ห ล ก ลั บ . .
ค ว า ม รั ก จ า ก เ ข า . . ก็ ไ ม่ เ ค ย ย้ อ น ก ลั บ เ ช่ น กั น . .
‘เราเลิกกันเถอะ..’
หญิงสาวนั่งพึมพำกับตัวเองหน้ากระจกส่องเงาด้วยใบหน้านองน้ำตา ไม่คิดมาก่อนว่าผู้หญิงแกร่งและจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างเธอจะแพ้แก่คำกล่าวลาอย่างราบคาบ ตั้งแต่รับรู้ความจริงเกี่ยวกับสามีนอกใจ เธอพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ คงรับสภาพไม่ไหวหากต้องใช้สามีร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะภรรยาน้อยที่แอบคบหามากว่าสิบปี
ความทรงจำครั้งเก่าย้อนกลับมาทิ่มแทงจิตใจให้รู้สึกย่ำแย่ กินไม่ได้นอนไม่หลับทุกค่ำคืน เป็นระยะเวลาร่วมเดือน ตั้งแต่รับรู้ความจริงที่สามีปกปิดเอาไว้ สาเหตุเพราะไม่อยากเสียเธอไป เข้าทำนองรักพี่เสียดายน้อง อยากเก็บไว้เธอไว้ทั้งสองคน
ความรักเมื่อครั้งอดีตคอยตามหลอกหลอนจิตใจตลอดเวลา ความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าอยู่ในความรู้สึกตั้งแต่เริ่มต้นคบหาดูใจ จนได้แต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกัน ความระหองระแหงค่อยๆ คืบคลาน เมื่อเธอเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับความลับของสามี ไม่ว่าจะข่าวลือที่ใครหลายคนเห็นเขาเดินกับผู้หญิง หนำซ้ำยังจูงเด็กน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู
เธอพยายามมองโลกในแง่ดี คิดว่าสามีไม่มีวันหักหลังได้อย่างนั้น เขายังเป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อที่น่ารักของลูกเสมอมา และหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ทุกวันที่สามีไม่กลับบ้าน จะมีโทรศัพท์บอกล่วงหน้าถึงงานเร่งด่วน หรือมีทานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นเหตุให้ต้องกลับบ้านดึก หรือไม่กลับเลยหากเมามายอย่างหนัก และไม่เคยสักครั้งที่เธอคิดระแวงว่าสามีจะนอกใจ แต่นั่นคือสัญญาณร้าย เมื่อระหว่างคนรักมีความลับซึ่งต้องหาทางโกหกใส่กัน
'แม่.. ทำไมหมู่นี้พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเลยล่ะ'
ทุกครั้งที่ได้ยินคำถามนี้ เธอมักจะปลอบใจตัวเองเสมอว่าพ่อของลูกมีงานเร่งด่วน ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินส่งเสียและเลี้ยงดูครอบครัว แต่แล้วทุกอย่างเริ่มไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อบัญชีเงินเดือนที่สามีเคยให้ถือครองถูกดึงกลับทีละบัญชี โดยอ้างถึงตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวจึงสูงตามไปด้วย ทำให้ในแต่ละเดือนค่าใช้จ่ายในครอบครัวไม่เพียงพอ แต่เธอไม่เคยขัดข้อง ยอมอยู่แบบประหยัดอดออมกับการดำเนินชีวิต ใช้จ่ายน้อยลง เพื่อเก็บสะสมไว้เป็นค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายของลูกที่เติบโตขึ้นทุกวัน
‘ฝ่ายกฎหมาย ชำระเตือนครั้งสุดท้ายก่อนดำเนินคดีฟ้องศาล’
จิตใจแทบแตกสลายเมื่อเห็นจดหมายทวงหนี้ บ้านที่พักอาศัยขาดการผ่อนส่งมาแล้วกว่าหลายเดือน โดยสามีของเธอไม่เคยบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือที่จับจดหมายเตือนสั่นเทาไปด้วยความหวาดระแวงและวิตกกังวล โทรศัพท์ตั้งโต๊ะถูกยกหูต่อสายถึงสามีของเธอทันที อยากถามไถ่ถึงเหตุผล เกิดขัดสนเงินทองหรืออย่างไรจึงละเลยหน้าที่เช่นนี้
‘ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้’
ความร้อนรนจุกอยู่ในอกจนน้ำตาหลั่งไหล รู้สึกอับจนหนทาง คงมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นอาจพอช่วยเหลือในการหยิบยืมเงินทองมาจ่ายชำระหนี้เวลานี้ เธอกดต่อสายหาญาติของสามีหลายรายแต่ไม่มีใครยินดีให้ความช่วยเหลือ โดยมีเหตุผลว่าสามีของเธอหยิบยืมเงินทองและไม่เคยใช้คืนหลายครั้งหลายครา ทำให้แต่ละฝ่ายเอือมระอาต่อพฤติกรรมของเขา ปัญหาครั้งนี้จึงหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เธอจะกระตือรือร้นรับสาย คิดว่าสามีคงติดต่อกลับมาบ้างหากได้รับข้อความที่เธอฝากไว้ในระบบมือถือ แต่แล้วไม่เคยถูกต้องอย่างคาดหวัง เมื่อแต่ละสายที่โทรเข้าเป็นเพียงการทวงหนี้บัตรเครดิตและอื่นๆ อีกมากมาย หญิงสาวจมอยู่กับความทุกข์ พบเจอแต่ทางตันซึ่งไร้ทางออก เมื่อถึงเวลาสามีกลับบ้าน ปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขจึงกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดมีปากเสียงขั้นรุนแรง โดยสามีของเธอให้เหตุผลว่าหลบเลี่ยงที่จะรับโทรศัพท์เพราะการติดตามทวงหนี้ต่างๆ และเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวยอมให้อภัย และอยากเป็นกำลังใจให้แก่สามีของตน
วันแล้ววันเล่า ปัญหาทุกอย่างยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า การติดตามทวงหนี้จากหลายฝ่ายสร้างความกดดันให้เธอคิดสั้นฆ่าตัวตาย เมื่อนึกถึงบ้านแห่งความสุขจะถูกยึดในอีกไม่ช้า โดยสามีไม่คิดดูดำดูดีหรือขวนขวายดิ้นรน ยังคงปล่อยปละละเลยหน้าที่ ครั้งสุดท้ายกับการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เธอตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงมารดาเพื่อหยิบยืมทรัพย์สินมาใช้หนี้ อยากรักษาบ้านที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของสามีเอาไว้ ทว่าทุกอย่างสายเกินไปเมื่อเธอเดินทางถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้ แม้พยายามอ้อนวอนอย่างไรบ้านที่อยู่อาศัยก็หมดสิทธิ์ได้คืน
เธอเดินออกจากธนาคารด้วยอาการสิ้นหวังท้อแท้ สองเท้าก้าวเดินไปตามถนนด้วยจิตใจแหลกสลาย นึกโทษตัวเองที่ไม่อาจรักษาบ้านของครอบครัวให้ลูกได้อยู่กันอย่างสุขสบายอีกต่อไป ท่าเรือสาทรเป็นสถานที่ซึ่งเธอคิดจบชีวิตที่นั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรงนั่งอยู่ขอบท่าเรือ พยายามกลั้นสะอื้นและสงบจิตใจ
‘แม่จ๋า เมื่อไหร่จะกลับบ้านเสียที’
เสียงลูกสาวเล็ดลอดผ่านตามสายโทรศัพท์ ทำให้เธอร้องไห้โฮราวกับเด็กงอแงไม่คิดอายใครหน้าไหนที่มองมา หากเธอคิดสั้นฆ่าตัวตายแล้วลูกๆ ของเธอจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีแม่คอยดูแล ในวันนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเพื่อตั้งต้นใหม่อีกครั้ง แม้ต้องอาศัยอยู่โดยการเช่าบ้านก็ไม่เป็นไร เธอยังมีลูกและสามีคอยเคียงข้างเสมอและตลอดไป
เวลาผ่านไปตามกาลเวลา ทุกการใช้ชีวิตจากที่เคยอดมื้อกินมื้อเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกสาวคนโตได้งานทำเป็นหลักแหล่งด้วยหน้าที่มั่นคง แม้ลูกชายอีกสองคนยังเรียนไม่จบ แต่สามีก็ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ไม่เคยขาด อาศัยก็แต่ค่าใช้จ่ายประจำวันที่ยังต้องเก็บหอมรอมริบ และยังมีรายได้จากลูกสาวแบ่งปันช่วยเหลือในครอบครัวอีกแรง ปัญหาหนักที่เจอะเจอทำให้เธอแข็งแกร่งและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เมื่อคิดว่าต่างคนต่างมีหน้าที่และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“แม่.. คิดว่าพ่อมีแฟนใหม่หรือเปล่า หลายปีมานี้พ่อกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง วันละสองสามชั่วโมงเองนะ”
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอเองสงสัยมาโดยตลอด แต่ไม่กล้าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยังคงหลอกตัวเองเสมอมาว่าสามียังเป็นพ่อที่ดีของลูก และเป็นสามีที่เธอรักดังเดิม
“ไม่หรอก.. พ่อบอกแม่ว่าต้องทำงานหนัก ไม่สะดวกเดินทางไกล”
“ไม่รู้นะ.. ถ้าสมมุติพ่อมีครอบครัวใหม่ แม่ก็อย่าสนใจเลยนะ ยังไงเราก็อยู่ได้โดยไม่มีเขาดูแลมาตั้งนานแล้วนี่ หากพ่อมีครอบครัวใหม่จริงๆ ลูกๆ นี่ล่ะจะเลี้ยงดูแม่เอง”
คำพูดของลูกสาวสะกิดหัวใจจนน้ำตานองหน้า เธอคว้าร่างน้อยๆ ของลูกโอบกอด พร้อมแล้วกับการยอมรับความจริง หากวันนั้นมาถึง วันที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความลับของสามี เธอจะเข้มแข็งเพราะเธอมีลูกอยู่เคียงข้าง ไม่ทิ้งให้เธอต้องเดียวดายเพียงลำพัง
และความลับไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้ ความจริงที่เคยปิดบังเอาไว้ปรากฏแก่สายตา ทุกสิ่งที่เคยระแคะระคายเผยออกมาเมื่อสามีเธอล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล บุคคลที่มาเฝ้าดูแลไม่ห่างจากสามีของเธอคือภรรยาน้อย เมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั่งคุยกัน ความเสียใจที่เคยคิดมาตลอด หากสักวันได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับสามีมีครอบครัวใหม่เธอคงรับสภาพไม่ได้อย่างแน่นอน แต่วันนี้กลับทำให้เธอชาชิน หนักแน่น เข้มแข็ง ไม่มีน้ำตาสักหยดหลั่งริน เธอเก็บคำปลอบใจของลูกๆ มาเป็นแรงกำลังให้เธอยืนหยัดสู้ความจริง วันนี้คงถึงเวลาเสียที ที่จะบอกคำๆ นี้กับเขา
‘คุณคะ.. เราเลิกกันเถอะ’
วันนี้เธอกล้าเอ่ยคำร่ำลาได้เต็มปาก ไม่ต้องหลบพูดคนเดียวกับหน้ากระจกส่องเงาอีกต่อไป ชีวิตคู่แม้เคยผ่านอุปสรรคมามากมาย มีทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง เสียใจ เศร้าสร้อย ปนเปกันไป แต่ความทรงจำเหล่านั้นจะยังคงหลงเหลือความรักที่เคยโอบกอดเธอเอาไว้จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีอีกแล้วสามีที่เคยรักเธอ เหลือเพียงชายคนหนึ่งซึ่งผูกพันและพบเจอกันยามที่เขาแวะเวียนมาหาลูก ทุกวันนี้มีเพียงลูกเท่านั้นที่คอยดูแลเธอในทุกวัน ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงเท่านี้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดำเนินต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน เลิกเสียใจ เลิกท้อแท้ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ซึ่งเป็นความสุขที่เธอเก็บเอาไว้ยามอ่อนล้า ไร้กำลังใจ รอคอยวันนั้น วันที่เขาอาจกลับมาอยู่เคียงข้างเธอในสักวัน
===========================
ชีวิตคนเราไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ สุข ทุกข์ อย่างไร มันก็คือชีวิต
ในความรัก.. อาจมีสมหวัง แต่ก็ไม่ไร้ความผิดหวังเช่นกัน..
สายน้ำไม่เคยไหลกลับ...
ค ว า ม รั ก จ า ก เ ข า . . ก็ ไ ม่ เ ค ย ย้ อ น ก ลั บ เ ช่ น กั น . .
‘เราเลิกกันเถอะ..’
หญิงสาวนั่งพึมพำกับตัวเองหน้ากระจกส่องเงาด้วยใบหน้านองน้ำตา ไม่คิดมาก่อนว่าผู้หญิงแกร่งและจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างเธอจะแพ้แก่คำกล่าวลาอย่างราบคาบ ตั้งแต่รับรู้ความจริงเกี่ยวกับสามีนอกใจ เธอพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ คงรับสภาพไม่ไหวหากต้องใช้สามีร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะภรรยาน้อยที่แอบคบหามากว่าสิบปี
ความทรงจำครั้งเก่าย้อนกลับมาทิ่มแทงจิตใจให้รู้สึกย่ำแย่ กินไม่ได้นอนไม่หลับทุกค่ำคืน เป็นระยะเวลาร่วมเดือน ตั้งแต่รับรู้ความจริงที่สามีปกปิดเอาไว้ สาเหตุเพราะไม่อยากเสียเธอไป เข้าทำนองรักพี่เสียดายน้อง อยากเก็บไว้เธอไว้ทั้งสองคน
ความรักเมื่อครั้งอดีตคอยตามหลอกหลอนจิตใจตลอดเวลา ความหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าอยู่ในความรู้สึกตั้งแต่เริ่มต้นคบหาดูใจ จนได้แต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกัน ความระหองระแหงค่อยๆ คืบคลาน เมื่อเธอเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับความลับของสามี ไม่ว่าจะข่าวลือที่ใครหลายคนเห็นเขาเดินกับผู้หญิง หนำซ้ำยังจูงเด็กน้อยอย่างรักใคร่เอ็นดู
เธอพยายามมองโลกในแง่ดี คิดว่าสามีไม่มีวันหักหลังได้อย่างนั้น เขายังเป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อที่น่ารักของลูกเสมอมา และหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ทุกวันที่สามีไม่กลับบ้าน จะมีโทรศัพท์บอกล่วงหน้าถึงงานเร่งด่วน หรือมีทานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นเหตุให้ต้องกลับบ้านดึก หรือไม่กลับเลยหากเมามายอย่างหนัก และไม่เคยสักครั้งที่เธอคิดระแวงว่าสามีจะนอกใจ แต่นั่นคือสัญญาณร้าย เมื่อระหว่างคนรักมีความลับซึ่งต้องหาทางโกหกใส่กัน
'แม่.. ทำไมหมู่นี้พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเลยล่ะ'
ทุกครั้งที่ได้ยินคำถามนี้ เธอมักจะปลอบใจตัวเองเสมอว่าพ่อของลูกมีงานเร่งด่วน ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินส่งเสียและเลี้ยงดูครอบครัว แต่แล้วทุกอย่างเริ่มไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อบัญชีเงินเดือนที่สามีเคยให้ถือครองถูกดึงกลับทีละบัญชี โดยอ้างถึงตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายส่วนตัวจึงสูงตามไปด้วย ทำให้ในแต่ละเดือนค่าใช้จ่ายในครอบครัวไม่เพียงพอ แต่เธอไม่เคยขัดข้อง ยอมอยู่แบบประหยัดอดออมกับการดำเนินชีวิต ใช้จ่ายน้อยลง เพื่อเก็บสะสมไว้เป็นค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายของลูกที่เติบโตขึ้นทุกวัน
‘ฝ่ายกฎหมาย ชำระเตือนครั้งสุดท้ายก่อนดำเนินคดีฟ้องศาล’
จิตใจแทบแตกสลายเมื่อเห็นจดหมายทวงหนี้ บ้านที่พักอาศัยขาดการผ่อนส่งมาแล้วกว่าหลายเดือน โดยสามีของเธอไม่เคยบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ มือที่จับจดหมายเตือนสั่นเทาไปด้วยความหวาดระแวงและวิตกกังวล โทรศัพท์ตั้งโต๊ะถูกยกหูต่อสายถึงสามีของเธอทันที อยากถามไถ่ถึงเหตุผล เกิดขัดสนเงินทองหรืออย่างไรจึงละเลยหน้าที่เช่นนี้
‘ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้’
ความร้อนรนจุกอยู่ในอกจนน้ำตาหลั่งไหล รู้สึกอับจนหนทาง คงมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นอาจพอช่วยเหลือในการหยิบยืมเงินทองมาจ่ายชำระหนี้เวลานี้ เธอกดต่อสายหาญาติของสามีหลายรายแต่ไม่มีใครยินดีให้ความช่วยเหลือ โดยมีเหตุผลว่าสามีของเธอหยิบยืมเงินทองและไม่เคยใช้คืนหลายครั้งหลายครา ทำให้แต่ละฝ่ายเอือมระอาต่อพฤติกรรมของเขา ปัญหาครั้งนี้จึงหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เธอจะกระตือรือร้นรับสาย คิดว่าสามีคงติดต่อกลับมาบ้างหากได้รับข้อความที่เธอฝากไว้ในระบบมือถือ แต่แล้วไม่เคยถูกต้องอย่างคาดหวัง เมื่อแต่ละสายที่โทรเข้าเป็นเพียงการทวงหนี้บัตรเครดิตและอื่นๆ อีกมากมาย หญิงสาวจมอยู่กับความทุกข์ พบเจอแต่ทางตันซึ่งไร้ทางออก เมื่อถึงเวลาสามีกลับบ้าน ปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไขจึงกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดมีปากเสียงขั้นรุนแรง โดยสามีของเธอให้เหตุผลว่าหลบเลี่ยงที่จะรับโทรศัพท์เพราะการติดตามทวงหนี้ต่างๆ และเป็นอีกครั้งที่หญิงสาวยอมให้อภัย และอยากเป็นกำลังใจให้แก่สามีของตน
วันแล้ววันเล่า ปัญหาทุกอย่างยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า การติดตามทวงหนี้จากหลายฝ่ายสร้างความกดดันให้เธอคิดสั้นฆ่าตัวตาย เมื่อนึกถึงบ้านแห่งความสุขจะถูกยึดในอีกไม่ช้า โดยสามีไม่คิดดูดำดูดีหรือขวนขวายดิ้นรน ยังคงปล่อยปละละเลยหน้าที่ ครั้งสุดท้ายกับการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เธอตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงมารดาเพื่อหยิบยืมทรัพย์สินมาใช้หนี้ อยากรักษาบ้านที่สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของสามีเอาไว้ ทว่าทุกอย่างสายเกินไปเมื่อเธอเดินทางถึงสำนักงานใหญ่ของธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้ แม้พยายามอ้อนวอนอย่างไรบ้านที่อยู่อาศัยก็หมดสิทธิ์ได้คืน
เธอเดินออกจากธนาคารด้วยอาการสิ้นหวังท้อแท้ สองเท้าก้าวเดินไปตามถนนด้วยจิตใจแหลกสลาย นึกโทษตัวเองที่ไม่อาจรักษาบ้านของครอบครัวให้ลูกได้อยู่กันอย่างสุขสบายอีกต่อไป ท่าเรือสาทรเป็นสถานที่ซึ่งเธอคิดจบชีวิตที่นั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรงนั่งอยู่ขอบท่าเรือ พยายามกลั้นสะอื้นและสงบจิตใจ
‘แม่จ๋า เมื่อไหร่จะกลับบ้านเสียที’
เสียงลูกสาวเล็ดลอดผ่านตามสายโทรศัพท์ ทำให้เธอร้องไห้โฮราวกับเด็กงอแงไม่คิดอายใครหน้าไหนที่มองมา หากเธอคิดสั้นฆ่าตัวตายแล้วลูกๆ ของเธอจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีแม่คอยดูแล ในวันนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเพื่อตั้งต้นใหม่อีกครั้ง แม้ต้องอาศัยอยู่โดยการเช่าบ้านก็ไม่เป็นไร เธอยังมีลูกและสามีคอยเคียงข้างเสมอและตลอดไป
เวลาผ่านไปตามกาลเวลา ทุกการใช้ชีวิตจากที่เคยอดมื้อกินมื้อเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกสาวคนโตได้งานทำเป็นหลักแหล่งด้วยหน้าที่มั่นคง แม้ลูกชายอีกสองคนยังเรียนไม่จบ แต่สามีก็ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ไม่เคยขาด อาศัยก็แต่ค่าใช้จ่ายประจำวันที่ยังต้องเก็บหอมรอมริบ และยังมีรายได้จากลูกสาวแบ่งปันช่วยเหลือในครอบครัวอีกแรง ปัญหาหนักที่เจอะเจอทำให้เธอแข็งแกร่งและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เมื่อคิดว่าต่างคนต่างมีหน้าที่และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“แม่.. คิดว่าพ่อมีแฟนใหม่หรือเปล่า หลายปีมานี้พ่อกลับบ้านอาทิตย์ละครั้ง วันละสองสามชั่วโมงเองนะ”
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เธอเองสงสัยมาโดยตลอด แต่ไม่กล้าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยังคงหลอกตัวเองเสมอมาว่าสามียังเป็นพ่อที่ดีของลูก และเป็นสามีที่เธอรักดังเดิม
“ไม่หรอก.. พ่อบอกแม่ว่าต้องทำงานหนัก ไม่สะดวกเดินทางไกล”
“ไม่รู้นะ.. ถ้าสมมุติพ่อมีครอบครัวใหม่ แม่ก็อย่าสนใจเลยนะ ยังไงเราก็อยู่ได้โดยไม่มีเขาดูแลมาตั้งนานแล้วนี่ หากพ่อมีครอบครัวใหม่จริงๆ ลูกๆ นี่ล่ะจะเลี้ยงดูแม่เอง”
คำพูดของลูกสาวสะกิดหัวใจจนน้ำตานองหน้า เธอคว้าร่างน้อยๆ ของลูกโอบกอด พร้อมแล้วกับการยอมรับความจริง หากวันนั้นมาถึง วันที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความลับของสามี เธอจะเข้มแข็งเพราะเธอมีลูกอยู่เคียงข้าง ไม่ทิ้งให้เธอต้องเดียวดายเพียงลำพัง
และความลับไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้ ความจริงที่เคยปิดบังเอาไว้ปรากฏแก่สายตา ทุกสิ่งที่เคยระแคะระคายเผยออกมาเมื่อสามีเธอล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล บุคคลที่มาเฝ้าดูแลไม่ห่างจากสามีของเธอคือภรรยาน้อย เมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดหลังจากนั่งคุยกัน ความเสียใจที่เคยคิดมาตลอด หากสักวันได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับสามีมีครอบครัวใหม่เธอคงรับสภาพไม่ได้อย่างแน่นอน แต่วันนี้กลับทำให้เธอชาชิน หนักแน่น เข้มแข็ง ไม่มีน้ำตาสักหยดหลั่งริน เธอเก็บคำปลอบใจของลูกๆ มาเป็นแรงกำลังให้เธอยืนหยัดสู้ความจริง วันนี้คงถึงเวลาเสียที ที่จะบอกคำๆ นี้กับเขา
‘คุณคะ.. เราเลิกกันเถอะ’
วันนี้เธอกล้าเอ่ยคำร่ำลาได้เต็มปาก ไม่ต้องหลบพูดคนเดียวกับหน้ากระจกส่องเงาอีกต่อไป ชีวิตคู่แม้เคยผ่านอุปสรรคมามากมาย มีทั้งสุข ทุกข์ สมหวัง เสียใจ เศร้าสร้อย ปนเปกันไป แต่ความทรงจำเหล่านั้นจะยังคงหลงเหลือความรักที่เคยโอบกอดเธอเอาไว้จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีอีกแล้วสามีที่เคยรักเธอ เหลือเพียงชายคนหนึ่งซึ่งผูกพันและพบเจอกันยามที่เขาแวะเวียนมาหาลูก ทุกวันนี้มีเพียงลูกเท่านั้นที่คอยดูแลเธอในทุกวัน ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงเท่านี้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดำเนินต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน เลิกเสียใจ เลิกท้อแท้ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ซึ่งเป็นความสุขที่เธอเก็บเอาไว้ยามอ่อนล้า ไร้กำลังใจ รอคอยวันนั้น วันที่เขาอาจกลับมาอยู่เคียงข้างเธอในสักวัน
ชีวิตคนเราไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ สุข ทุกข์ อย่างไร มันก็คือชีวิต
ในความรัก.. อาจมีสมหวัง แต่ก็ไม่ไร้ความผิดหวังเช่นกัน..