เคยเจอคนที่เรียนเก่งมากมาทั้งสิ้น 3 คน โดยทั้ง 3 คนนี้นะ จะได้เกียรตินิยมหมด เเต่ต่างสถาบันกัน
คนแรก : เขาเรียนคณะนิติศาสตร์ เวลาเราไปคุยกับเขานะ เขามักหลงว่าตัวเองเรียนเก่งเเล้วจะมีคนมาชอบ มากกว่าคนดูที่หน้าตา (ประเภทนี้เรียนหนักจนเส้นผมหายเหลือแค่จอน 2 ข้าง) เวลาเราถามเกี่ยวกับ กฎหมายหรือไม่ก็บอกว่าวิชานี้ยาก เขาก็มักบอกว่า "ง่ายมาก บ่นได้ไงว่ายาก เเค่ท่องๆ เอา เรียนเเค่นี้ไม่ได้จะทำอะไรกิน" เเล้วเราก็สืบได้ว่าเขาเคยซิ่วจากคณะเกี่ยวกับวิทย์ ก็เลยถามเขาว่าทำไมซิ่ว เขาก็บอกว่า เพราะไม่ชอบด้านนี้ เเล้วอุปนิสัยเขาเป็นประมาณว่า ไม่ชอบสุงสิงกับสังคม เวลาจะเจอเราหรืออยากรู้จักใคร เขาจะพยายามหาข้อมูลคนนั้นให้มากที่สุด ชอบไปส่องดูทะเบียนนิสิตเพื่อเเน่ใว่าเราเป็นเด็กมหาลัยนั้นเปล่า ทั้งแอบดูบัตรประชาชน กระเป๋าตังเรา หลายอย่าง ยังกะจะจับผิดอะไรเรา ที่สำคัญเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากถึงขนาดที่ตอนนั้นเราล้มหน้าตึกคณะ เขาเห็นเขาก็เดินเฉยๆ เเล้วโทรมาถามว่า "เป็นอะไรมากไหม"
คนที่สอง : เขาเรียนคณะนิติศาสตร์เหมือนกัน แต่ว่ารุ่นเดียวกัน เราเคยไปฝึกงานด้วยกัน 2 เดือน ยอมรับนะว่าเขาเรียนเก่งด้วยเกรดสูงสุดของชั้นปี อุปนิสัยของเขาเป็นคนเงียบ ไม่สุงสิงกับใคร ไปเรียนเเล้วก็กลับ เขามักจะนั่งข้างหน้า ตอนนั้นที่ไปฝึกงานเเรกๆ เขาก็โอเครๆ นะ เขาพูดประโยคนึงว่า "เขาเป็นเพื่อนกับใครง่ายๆ ไม่ได้" ซึ่งเราก็เฉยๆ และงานที่เราไปฝึกนั้นจะไม่เเน่นอนเรื่องเวลา ถ้างานเข้าเราก็พร้อมลุย เเต่ส่วนมากเขาชอบกลับที่พักบ่อย จนเราต้องไปตามทุกทีหรือสั่งให้คนอื่นเรียกใช้งาน เเล้วพี่ๆ ที่ทำงานที่นั้นก็บ่นมากกับคนๆ นี้ว่า มาฝึกงานหรือมานอนเล่นๆ เเละวันนั้นก็มีเคสเข้ามาเราก็บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมตั้งเเต่เที่ยง เเต่รอๆ เท่าไหร่ก็ไม่มีรายงานว่าพี่ที่ทำงานจะออกเคส จนบ่ายสามเท่านั้นล่ะ พวกพี่เขาก็มา เราก็เลยเรียกให้เพื่อนของเขาอีกคนไปเรียกลงมา เเต่ด้วยความเร่งรีบงานที่เข้ามานั้นรอไม่ได้ พี่เขาก็รอนานๆ ไม่ได้ ก็เลยออกรถไป จนเมื่อกลับมา ก็มาถามเขาว่า "ทำไมถึงไม่ลงไปรอข้างล่าง" เขาสวนกลับมาทันทีว่า "ทำไมพวกไม่รอกู เมิงต้องเข้าใจก็บ้างว่ากูต้องทำกิจทางศาสนา" ซึ่งเวลาบ่ายสามนั้นกิจทางศาสนานี้ เรารู้ดีว่าไม่มีเเน่นอน เเละได้คำยืนยันจากเพื่อนที่ไม่ได้ลงเคสนี้ว่า เขาแอบขึ้นไปเล่นเกมส์ ส่องเฟส เเล้วก็ชวนคนที่ไม่มีหน้าที่ไปเพื่อนเขา เขาก็เลยลงมาช้า เเล้วพอเขาสวนมาเราก็สวนกลับ เเล้ววินาทีนั้นเขาก็พูดว่า "มาฝึกงาน ไม่ใช่มาเป็นแรงงาน" ซึ่งเป็นคำที่แบบว่า "แรง" มาก จากนั้นเราก็ไม่พูดไรกับเขาเลย เพราะเรารู้ว่าเราไม่ผิด เขาทำงานทีมเราเเต่เขาไม่รับผิดชอบเราก็ไม่รู้เเล้ว จากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนเราไปฟังเขานินทาเเล้วมาบอกอีกว่า เขานะไม่อยากเป็นเพื่อนเราตั้งเเต่แรกเเล้ว เราก็แบบว่าก็ไม่อยากมีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน เเละเวลาเขาเสนองานเเต่ละทีเขาชอบเสนอเเนวด่าๆๆ องค์กรและเราด้วย เเต่ก็เฉยๆ น้ำหนักเขาก็ยังน้อยกว่า แล้วก็ยังมีอีกเยอะมากมายหลายเรื่องของเขาคนนี้
คนที่สาม : เขาเรียนอยู่คณะทันตแพทย์ ยอมรับว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยานสูง เขาบอกว่าบ้านเขาไม่มีเงิน เเต่อยากเรียนเเพทย์ ก็เลยสอบทุนหลวง นั้นคือวันแรกที่เราเจอกัน เเต่หลังจากนั้นเราเกิดความสงสัยในตัวเขาว่า "ซื้อไอโฟน ไอแพด มาใช้นี้ พ่อแม่ซื้อให้หรอ หรือเก็บตังซื้อ" เขาบอกว่า "ถ้าสังคมไม่บังคับ ก็ไม่ซื้อ เพื่อนเขามี เราก็ต้องมี" จากนั้นเราไม่ถามเลย เเล้วที่นี้เขารู้ว่าเรารับจ้างแปลงาน เขาชอบวัดความรู้เราอยู่เรื่อยชอบหางานแปลทางการแพทย์มาให้เราแปล วัดว่าเราเก่งกว่าเขาไหม หรือว่าเหนือกว่าสิ่งที่คิดว่าเขาทำไม่ได้" ทุกครั้งพอเราตอบไม่ได้เขาก็ว่า "ไหนว่าเก่งไง" (แปลงานด้านวิทย์-แพทย์ เราไม่เคยแปล) เเล้วเราก็เลยท้าให้เขาแปลบทความกฎหมายบ้าง เขาก็อ้างว่า "แปลไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียน เเละไม่ใช่เรื่อง" แล้ววันนั้นเราก็พูดอีกว่า เราแปลงานได้ไม่กี่บาทหรอก ได้มาก็นิดๆ หน่อย ก็เลยถามเขาว่าจบมาแล้วจะทำงานที่ไหน เขาบอกว่า "จริงๆ มหาลัยจองตัวเขาเป็นอาจารย์ เเต่เขาไม่เอาไม่อยากผูกมัด ถ้าทำงานก็ต้องทำงานที่มีเงินเดือนแสนอัพ เงินหลักหมื่นไขอบาย ไม่คุ้มกับเกียรตินิยมที่ได้รับ" โห เขามั่นมาก !!
สรุปอย่างหนึ่งเเล้ว 1 กับ 3 คนนี้ เวลาเราพูดด้วย ก็จะไม่อยากรับฟังเรา อยากให้เราฟังเขาอย่างเดียว เพราะเมื่อเขารู้ว่าเราเกรดต่ำ เขาก็ข่มว่าเขาเหนือว่าบรรดาใดๆ ทั้งปวง เวลาพูดก็ค้านเสมอ เมือเราเงียบก็หาว่ามีลับลมคมใน เป็นที่ไม่ไว้ใจสำหรับเขา
ส่วนคนที่ 2 ยังดีที่เราพูดได้ เเต่สุดท้ายเขาชอบเป็นคนก่อและพังตัวเอง
สงสัยเหมือนกันว่า คนเหล่านี้เขามีความสุขแบบไหนกัน และมีความคิดอะไรยังไง การเรียนเปลี่ยนคนเป็นแบบนี้เลยหรือ ???
ทำไม คนเกียรตินิยมบางคนถึง ???
คนแรก : เขาเรียนคณะนิติศาสตร์ เวลาเราไปคุยกับเขานะ เขามักหลงว่าตัวเองเรียนเก่งเเล้วจะมีคนมาชอบ มากกว่าคนดูที่หน้าตา (ประเภทนี้เรียนหนักจนเส้นผมหายเหลือแค่จอน 2 ข้าง) เวลาเราถามเกี่ยวกับ กฎหมายหรือไม่ก็บอกว่าวิชานี้ยาก เขาก็มักบอกว่า "ง่ายมาก บ่นได้ไงว่ายาก เเค่ท่องๆ เอา เรียนเเค่นี้ไม่ได้จะทำอะไรกิน" เเล้วเราก็สืบได้ว่าเขาเคยซิ่วจากคณะเกี่ยวกับวิทย์ ก็เลยถามเขาว่าทำไมซิ่ว เขาก็บอกว่า เพราะไม่ชอบด้านนี้ เเล้วอุปนิสัยเขาเป็นประมาณว่า ไม่ชอบสุงสิงกับสังคม เวลาจะเจอเราหรืออยากรู้จักใคร เขาจะพยายามหาข้อมูลคนนั้นให้มากที่สุด ชอบไปส่องดูทะเบียนนิสิตเพื่อเเน่ใว่าเราเป็นเด็กมหาลัยนั้นเปล่า ทั้งแอบดูบัตรประชาชน กระเป๋าตังเรา หลายอย่าง ยังกะจะจับผิดอะไรเรา ที่สำคัญเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากถึงขนาดที่ตอนนั้นเราล้มหน้าตึกคณะ เขาเห็นเขาก็เดินเฉยๆ เเล้วโทรมาถามว่า "เป็นอะไรมากไหม"
คนที่สอง : เขาเรียนคณะนิติศาสตร์เหมือนกัน แต่ว่ารุ่นเดียวกัน เราเคยไปฝึกงานด้วยกัน 2 เดือน ยอมรับนะว่าเขาเรียนเก่งด้วยเกรดสูงสุดของชั้นปี อุปนิสัยของเขาเป็นคนเงียบ ไม่สุงสิงกับใคร ไปเรียนเเล้วก็กลับ เขามักจะนั่งข้างหน้า ตอนนั้นที่ไปฝึกงานเเรกๆ เขาก็โอเครๆ นะ เขาพูดประโยคนึงว่า "เขาเป็นเพื่อนกับใครง่ายๆ ไม่ได้" ซึ่งเราก็เฉยๆ และงานที่เราไปฝึกนั้นจะไม่เเน่นอนเรื่องเวลา ถ้างานเข้าเราก็พร้อมลุย เเต่ส่วนมากเขาชอบกลับที่พักบ่อย จนเราต้องไปตามทุกทีหรือสั่งให้คนอื่นเรียกใช้งาน เเล้วพี่ๆ ที่ทำงานที่นั้นก็บ่นมากกับคนๆ นี้ว่า มาฝึกงานหรือมานอนเล่นๆ เเละวันนั้นก็มีเคสเข้ามาเราก็บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมตั้งเเต่เที่ยง เเต่รอๆ เท่าไหร่ก็ไม่มีรายงานว่าพี่ที่ทำงานจะออกเคส จนบ่ายสามเท่านั้นล่ะ พวกพี่เขาก็มา เราก็เลยเรียกให้เพื่อนของเขาอีกคนไปเรียกลงมา เเต่ด้วยความเร่งรีบงานที่เข้ามานั้นรอไม่ได้ พี่เขาก็รอนานๆ ไม่ได้ ก็เลยออกรถไป จนเมื่อกลับมา ก็มาถามเขาว่า "ทำไมถึงไม่ลงไปรอข้างล่าง" เขาสวนกลับมาทันทีว่า "ทำไมพวกไม่รอกู เมิงต้องเข้าใจก็บ้างว่ากูต้องทำกิจทางศาสนา" ซึ่งเวลาบ่ายสามนั้นกิจทางศาสนานี้ เรารู้ดีว่าไม่มีเเน่นอน เเละได้คำยืนยันจากเพื่อนที่ไม่ได้ลงเคสนี้ว่า เขาแอบขึ้นไปเล่นเกมส์ ส่องเฟส เเล้วก็ชวนคนที่ไม่มีหน้าที่ไปเพื่อนเขา เขาก็เลยลงมาช้า เเล้วพอเขาสวนมาเราก็สวนกลับ เเล้ววินาทีนั้นเขาก็พูดว่า "มาฝึกงาน ไม่ใช่มาเป็นแรงงาน" ซึ่งเป็นคำที่แบบว่า "แรง" มาก จากนั้นเราก็ไม่พูดไรกับเขาเลย เพราะเรารู้ว่าเราไม่ผิด เขาทำงานทีมเราเเต่เขาไม่รับผิดชอบเราก็ไม่รู้เเล้ว จากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนเราไปฟังเขานินทาเเล้วมาบอกอีกว่า เขานะไม่อยากเป็นเพื่อนเราตั้งเเต่แรกเเล้ว เราก็แบบว่าก็ไม่อยากมีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน เเละเวลาเขาเสนองานเเต่ละทีเขาชอบเสนอเเนวด่าๆๆ องค์กรและเราด้วย เเต่ก็เฉยๆ น้ำหนักเขาก็ยังน้อยกว่า แล้วก็ยังมีอีกเยอะมากมายหลายเรื่องของเขาคนนี้
คนที่สาม : เขาเรียนอยู่คณะทันตแพทย์ ยอมรับว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยานสูง เขาบอกว่าบ้านเขาไม่มีเงิน เเต่อยากเรียนเเพทย์ ก็เลยสอบทุนหลวง นั้นคือวันแรกที่เราเจอกัน เเต่หลังจากนั้นเราเกิดความสงสัยในตัวเขาว่า "ซื้อไอโฟน ไอแพด มาใช้นี้ พ่อแม่ซื้อให้หรอ หรือเก็บตังซื้อ" เขาบอกว่า "ถ้าสังคมไม่บังคับ ก็ไม่ซื้อ เพื่อนเขามี เราก็ต้องมี" จากนั้นเราไม่ถามเลย เเล้วที่นี้เขารู้ว่าเรารับจ้างแปลงาน เขาชอบวัดความรู้เราอยู่เรื่อยชอบหางานแปลทางการแพทย์มาให้เราแปล วัดว่าเราเก่งกว่าเขาไหม หรือว่าเหนือกว่าสิ่งที่คิดว่าเขาทำไม่ได้" ทุกครั้งพอเราตอบไม่ได้เขาก็ว่า "ไหนว่าเก่งไง" (แปลงานด้านวิทย์-แพทย์ เราไม่เคยแปล) เเล้วเราก็เลยท้าให้เขาแปลบทความกฎหมายบ้าง เขาก็อ้างว่า "แปลไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียน เเละไม่ใช่เรื่อง" แล้ววันนั้นเราก็พูดอีกว่า เราแปลงานได้ไม่กี่บาทหรอก ได้มาก็นิดๆ หน่อย ก็เลยถามเขาว่าจบมาแล้วจะทำงานที่ไหน เขาบอกว่า "จริงๆ มหาลัยจองตัวเขาเป็นอาจารย์ เเต่เขาไม่เอาไม่อยากผูกมัด ถ้าทำงานก็ต้องทำงานที่มีเงินเดือนแสนอัพ เงินหลักหมื่นไขอบาย ไม่คุ้มกับเกียรตินิยมที่ได้รับ" โห เขามั่นมาก !!
สรุปอย่างหนึ่งเเล้ว 1 กับ 3 คนนี้ เวลาเราพูดด้วย ก็จะไม่อยากรับฟังเรา อยากให้เราฟังเขาอย่างเดียว เพราะเมื่อเขารู้ว่าเราเกรดต่ำ เขาก็ข่มว่าเขาเหนือว่าบรรดาใดๆ ทั้งปวง เวลาพูดก็ค้านเสมอ เมือเราเงียบก็หาว่ามีลับลมคมใน เป็นที่ไม่ไว้ใจสำหรับเขา
ส่วนคนที่ 2 ยังดีที่เราพูดได้ เเต่สุดท้ายเขาชอบเป็นคนก่อและพังตัวเอง
สงสัยเหมือนกันว่า คนเหล่านี้เขามีความสุขแบบไหนกัน และมีความคิดอะไรยังไง การเรียนเปลี่ยนคนเป็นแบบนี้เลยหรือ ???