ท่านเป็นพระอรหันต์ อนันตชินะ (ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด) ฉะนั้นหรือ?


(ต่อจาก http://ppantip.com/topic/30985264 ... เป็นผู้เสื่อมจากคุณอันยิ่งใหญ่)


             หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ทรงดำริที่จะแสดงธรรมแก่พระอาจารย์ทั้ง ๒ คือ
             อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุททกดาบส รามบุตร แต่ท่านทั้งสองได้สิ้นชีวิตและไปบังเกิดเป็นอรูปพรหมแล้ว

             ต่อจากนั้น พระองค์จึงทรงดำริที่จะแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์
             ทรงทราบว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ด้วยทิพจักษุ
             จึงได้หลีกจาริกไปทางเมืองพาราณสี
             ระหว่างทาง ทรงพบอุปกาชีวกที่ระหว่างแม่น้ำคยาและไม้โพธิ์พฤกษ์ต่อกัน

             อุปกาชีวกทูลถามพระองค์ว่า

             อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน
             ท่านชอบใจธรรมของใคร?

             พระองค์ได้ตรัสตอบอุปกาชีวกด้วยคาถาว่า

                          เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง (ธรรมอันเป็นไปในภพ ๓)

                          เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง (ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๔) อันตัณหา

                          และทิฏฐิไม่ติดแล้วในธรรมทั้งปวง (ธรรมอันเป็นไปในภพ ๓)

                          เป็นผู้ละธรรมทั้งปวง (ธรรมอันเป็นไปในภพ ๓) น้อมไป

                          ในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว รู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

                          จะพึงเจาะจงใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี (ไม่มีอาจารย์ในระดับโลกุตตรธรรม)

                          คนผู้เช่นกับด้วยเราก็ไม่มี

                          บุคคลผู้เปรียบด้วยเรา ไม่มีในโลกกับทั้งเทวโลก

                          เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เป็นศาสดา ไม่มีศาสดาอื่น

                          ยิ่งขึ้นไปกว่า เราผู้เดียวตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้เย็น เป็นผู้

                          ดับ (ไฟกิเลส) สนิทแล้ว เราจะไปยังเมืองกาสี เพื่อจะยังธรรมจักรให้

                          เป็นไป เมื่อสัตว์โลกเป็นผู้มืด เราได้ตีกลองประกาศอมตธรรมแล้ว


             อุปกาชีวกทูลถามว่า ท่านปฏิญาณว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตะชินะ) ฉะนั้นหรือ?

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

                          ชนทั้งหลายผู้ถึงธรรมที่สิ้นตัณหา เช่นเราแหละ ชื่อว่าเป็น

                          ผู้ชนะ บาปธรรมทั้งหลาย อันเราชนะแล้ว เหตุนั้นแหละ

                          อุปกะ เราจึงว่า ผู้ชนะ

             เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกาชีวก กล่าวว่า พึงเป็นให้พอเถิดท่าน
             สั่นศีรษะ แลบลิ้น ถือเอาทางผิดเดินหลีกไป

             โพธิราชกุมารสูตร
             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  บรรทัดที่ ๗๖๖๓ - ๘๒๓๖.  หน้าที่  ๓๓๔ - ๓๕๗.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=7663&Z=8236&bgc=aliceblue&pagebreak=0
             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=486&bgc=aliceblue
             เรื่องอุปกาชีวก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=4&A=282&Z=307&pagebreak=0

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

             
             หลังจากที่ท่านเดินจากพระพุทธองค์มาแล้ว ก็มาอยู่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพรานล่าเนื้อ ในตำบลแห่งหนึ่ง
             แล้วได้หลงรักลูกสาวหัวหน้าพรานล่าเนื้อในหมู่บ้านนั้น ชื่อ จาปา
             เขาครุ่นคิดว่า ถ้าเราได้จาปาจึงจะมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ก็เห็นจักตาย แล้วนอนอดอาหาร

             นายพรานบิดาของจาปาไปหาอุปกาชีวก ...

             นายพรานไปยังที่อยู่ของอุปกาชีวกนั้น ลูบคลำเท้าทั้งสองถามว่า ไม่สบายหรือท่านเจ้าข้า
             อุปกาชีวกถอนใจ ได้แต่กลิ้งเกลือกอยู่นั่นเอง

             นายพรานปวารณาว่า บอกมาเถิด เจ้าข้า การใดพอจะทำได้ก็จักทำให้ทุกอย่าง
             อุปกาชีวกจึงบอกกล่าวถึงอัธยาศัยความในใจโดยปริยายทางอ้อมอย่างหนึ่ง

             นายพรานถามว่า ก็ท่านรู้ศิลปอะไรบ้างเล่า
             เขาตอบว่า ไม่รู้เลย
             นายพรานพูดว่า คนไม่รู้ศิลปอะไรๆ เลย จะอยู่ครองเรือนได้หรือเจ้าข้า

             เขาตอบว่า ข้าน่ะ ไม่รู้ศิลปอะไรเลยจริงๆ แต่เอาเถิด ข้าพอจะแบกเนื้อและขายเนื้อได้บ้าง
             นายพรานพูดว่า อย่างนี้ก็พอใจข้าแล้ว ส่งผ้านุ่งให้ผืนหนึ่ง ฝากให้อยู่เรือนของสหายตนชั่วเวลาเล็กน้อย
             แล้วในวันนั้นเองก็นำมาเรือนแล้วมอบลูกสาวให้


             เมื่อเวลาล่วงมา คนทั้งสองอยู่ร่วมกันก็เกิดลูกขึ้นมา ตั้งชื่อว่าสุภัททะ
             เวลาลูกร้อง นางจาปาก็ใช้เพลงกล่อมลูก เย้ยหยันเสียดสีอุปกะไปในตัวเป็นต้นว่า

             เจ้าลูกอุปกะเอย เจ้าลูกอาชีวกเอย เจ้าลูกคนแบกเนื้อเอย อย่าอ้อนไปเลยทรามเชยของจาปา

             นายอุปกะนั้นสุดจะอดใจจึงพูดว่า

             จาปา เจ้าอย่าดูหมิ่นข้าว่าอนาถานะ ข้ามีสหายคนหนึ่ง ชื่ออนันตชินะ ข้าจักไปหาเขาก็ได้

             นางจาปารู้ว่า อุปกะอึดอัดใจด้วยอุบายวิธีนี้ จึงกล่อมลูกอย่างนั้นบ่อยๆ

             วันหนึ่ง ท่านถูกนางกล่อมลูกเย้ยหยันเสียดสีอย่างนั้นก็โกรธ คิดจะไปเสีย แม้นางจะพูดจาชี้แจงอย่างไรก็ไม่ยินยอม
             จึงออกเดินทางไปตามหาพระพุทธองค์ บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตก (โดยเขาเข้าใจว่าพระองค์ชื่อ อนันตชินะ)

             จนได้พบพระองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร กรุงสาวัตถี

             เมื่อพบพระพุทธองค์แล้ว พระองค์ตรัสแนะให้บวช ท่านพระอุปกะก็บำเพ็ญเพียรจนบรรลุอนาคามิผล
             เมื่อมรณภาพ ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นอวิหา และได้บรรลุพระอรหัตแล้วในพรหมโลก
             (ในฆฏิการสูตร ฆฏิการพรหมก็ได้กล่าวนามของท่านอุปกะไว้ด้วย)

             ส่วนอดีตภรรยาของท่าน ภายหลังก็ตามมา แล้วได้บวชในสำนักของพระภิกษุณี และก็ได้บรรลุพระอรหัตในอัตภาพนั้น
             
             เรื่องอุปกาชีวก
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=34&p=9
             อรรถกถาจาปาเถรีคาถา
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=469&p=1
             ฆฏิการสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=15&A=1904
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่