ความต่างระหว่างคนรวย
ขอทานที่นั่งรับเศษเงินตั้งแต่เกิดมีอยู่มากมาย เราเห็นพวกเขาเสมอกันหมด แต่เชื่อไหมว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกัน? ขอทานบางคนได้เศษเงินมากมายเป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่ขอทานบางคนมีรายได้น้อยและต้องร่อนเร่หาที่ปักหลักใหม่อยู่เรื่อยๆ นี่จึงเป็นที่มาของขบวนการสร้างภาพน่าสงสาร และบางทีก็มีเด็กเคราะห์ร้าย (ด้วยกรรมเก่า) ถูกตัดมือตัดเท้าเอามาตากแดดขอทานด้วย
ทำนองเดียวกัน แม้มีศัพท์อย่างเป็นทางการเช่น ‘เศรษฐี’ เอาไว้ใช้ยังไม่พอ ต้องมีการขยายเป็น ‘มหาเศรษฐี’ และ ‘อภิมหาเศรษฐี’ เข้าไปอีก ผู้เป็นเศรษฐีควรมีเงินกี่ล้านก็ไม่ทราบ แต่ลองได้ชื่อว่าเศรษฐีแล้วก็จะไม่มีคำถามแบบคนทั่วไปเช่น “มีสิบล้านทำไมไม่ฝากธนาคารเก็บดอกเบี้ยกินไปจนตาย? อะไรเป็นแรงจูงใจให้ทำงานต่อเหนื่อยยากเปล่าๆ?”
คนจนย่อมเปรียบเทียบและเห็นความต่างระหว่างคนจนด้วยกันง่าย คนรวยก็เช่นกัน ย่อมเปรียบเทียบและเห็นความต่างระหว่างคนรวยด้วยกันไม่ยากนัก แม้ว่าอาจจะขับเบนซ์ท็อปคลาสเหมือนๆกัน แต่ตามไปดูบ้านอาจใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ตามไปดูที่บริษัทอาจเห็นความหรูที่แตกต่าง และตามไปดูการใช้ชีวิตอาจเห็นระดับอิทธิพลเป็นคนละเรื่อง
ในระหว่างคนร่ำรวยด้วยกัน ย่อมเห็นกันและกันได้ชัดถึงความต่างสารพัดด้าน นับตั้งแต่ความสุขกับความทุกข์ที่ได้รับจากความรวย รสนิยมในการกว้านซื้อสมบัติพัสถาน การมีคู่ชีวิตและครอบครัวที่เสริมสร้างหรือบั่นทอนทรัพย์ ตลอดไปจนกระทั่งขีดความสำเร็จทางธุรกิจ เช่นสัดส่วนกำไรที่ได้คืนมาจากการหว่านเม็ดเงินเท่าๆกัน ระยะเวลารอคอยกี่เดือนกี่ปีกว่าจะได้ทุนคืน หนี้สินที่ต้องรีบหาเงินมาใช้ให้ทันตามกำหนด ฯลฯ
และไม่ใช่น้อยๆเลย ที่ไม่ได้เป็น ‘เศรษฐีชั่วชีวิต’ คือรวยเดี๋ยวเดียวก็ประสบกับหายนะในรูปแบบต่างๆ ถูกโกงบ้าง ถูกปล้นเอาซึ่งๆหน้าบ้าง หรือถูกภัยจากน้ำและไฟทำลายล้างเอาบ้าง อย่างนี้คือรวยวูบเดียว หรือรวยแบบไม่ยั่งยืน
สรุปคือไม่ใช่พูดง่ายๆแค่ ‘เขาเป็นคนรวย’ แล้วจบ พูดแค่นี้ยังจินตนาการกันไม่ได้แจ่มแจ้งหรอกว่าหมายถึงคนแบบไหนกันแน่ และคนรวยก็มีความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวอยู่ ระหว่าง ‘เกิดมารวย’ กับ ‘ขยันทำงานจนรวย’ คนที่รวยจริง มีอิทธิพลยิ่งใหญ่จริง ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทหลัง ถ้าหากสำรวจดู ๔๐๐ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ไม่ว่ายุคไหนสมัยใด จะต้องทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลังเกือบทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นยังมีจำนวนมากที่ผ่านความยากจนในวัยเด็กมาก่อน น้อยเท่าน้อยชนิดหนึ่งในล้านที่รวยเอาๆด้วยการอยู่เฉยๆแล้วมีคนนำเงินกับอำนาจมาประเคนให้
อย่างไรก็ตาม ถ้าขาด ‘ฐานความรวย’ อยู่ก่อน ก็ยากที่จะไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับได้ ฐานความรวยอาจหมายถึงความรู้ มุมมอง สติปัญญา ไหวพริบปฏิภาณ ตลอดจนกระทั่งกิจการเล็กๆที่พ่อแม่ให้สืบทอด
มองอีกด้านหนึ่ง เรื่องสติปัญญานั้นบางทียากว่าจะเอาอะไรมาวัด หากรู้จักกับบรรดา ‘อภิมหาเศรษฐี’ หลายๆคน เราจะพบความจริงประการหนึ่ง คือบางทีพวกเขาไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้มีความสามารถน่าอัศจรรย์อะไรมากไปกว่า ‘ถนัดทำเงิน’ บางคนเหมือนพ่อมดแห่งวงการเก็งกำไร เก็งการลงทุนอะไรแม่นไปหมด บางคนก็เหมือนเดาใจผู้บริโภคถูกทุกที ประชาสัมพันธ์สินค้าธรรมดาๆให้กลายเป็นสินค้าน่าปรารถนาไปได้อย่างเหลือเชื่อ
เศรษฐีบางคนเหมือนไม่ค่อยทันคน หรือกระทั่งไม่ค่อยทันเกมธุรกิจของตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำเรื่องน่าตกตะลึงให้กับคู่แข่งด้วยการสร้างรายได้คุ้มทุนเสมอ ชนะการทำงานหนักเต็มสติปัญญาของคู่แข่งเสมอ ต่อให้มีเล่ห์เหลี่ยมเชิงธุรกิจแพรวพรายปานใดก็โค่นกันไม่ลงเลย
ตำราในมหาวิทยาลัยธุรกิจจำเป็นต้องกัดฟันใส่คำว่า ‘โชคช่วย’ เข้าไปในปัจจัยความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ และคำนี้เพียงคำเดียวอาจล้มล้างทุกทฤษฎีที่เลิศสุด ประกันความสำเร็จได้สูงสุด เพราะต่อให้มีปัญญา มีความขยัน มีความอดทนฟันฝ่าอุปสรรคกี่สิบปี ถ้าขาดโชคช่วยตัวเดียวก็อาจไม่ได้เป็นเศรษฐีกับเขาสักที หรือกว่าจะเป็นเศรษฐีก็เข้าวัยชรา ปล่อยให้ลูกหลานชุบมือเปิบเม็ดเงินที่ตนเองอุตส่าห์สร้างสมมาจนชั่วชีวิต
ความจริงคือสติปัญญา ความมุ่งมั่น ความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง ความพากเพียรอย่างต่อเนื่อง ความรู้จักสินค้าและลูกค้า ล้วนแล้วแต่เป็น ‘เบื้องหน้า’ ที่สำคัญต่อการประสพความสำเร็จเชิงธุรกิจ แต่ยังมี ‘เบื้องหลัง’ เป็นบุญเก่าหนุนนำอยู่ด้วย การศึกษาพุทธพจน์จะทำให้เราทราบว่า ‘โชคช่วย’ นั้นไม่มี มีแต่ ‘บุญช่วย’ ทั้งสิ้น
ขอให้ทำความเข้าใจดีๆว่าบทนี้เน้นกล่าวถึงวิบากซึ่งเกือบทุกคนในโลกมองว่าเป็น ‘โชค’ ตัวอย่างเช่นทำไมรวยมาแต่เกิด เหตุใดทำมาค้าขึ้นนัก แล้วเพราะอะไรบางคนถึงเจอลาภลอยเป็นประจำ
วิบากของการทำทานสามารถให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรอดูผลเมื่อเกิดใหม่ชาติหน้า อย่างไรก็ตาม ความเป็นชาติปัจจุบันคือการจองจำไว้กับผลกรรมเก่าทั้งดีและร้ายในอดีต เพราะฉะนั้นถ้าหากเคยทำกรรมในทางตระหนี่มามากๆ ก็อาจถูกบีบไว้ให้ขยับยาก โดยเฉพาะถ้าไม่มีกรรมดีที่จะทำให้เกิดลาภลอยมาช่วย
เพื่อให้เป็นที่เข้าใจง่าย ขอแสดงพุทธพจน์เกี่ยวกับวิบากของทานไว้เป็นเปลาะๆ แยกเป็นหัวข้อดังนี้
กรรมทางใจที่ทำให้ร่ำรวยสูงสุด
ให้ของเหมือนกัน แต่ใจแตกต่าง ก็ให้ผลผิดกันได้ลิบลับ พระพุทธเจ้าจำแนกอาการของใจในขณะให้ไว้เป็นต่างๆ แต่ละอาการล้วนเป็นกำลังหนุนให้วิบากออกดอกออกผลเป็นความมั่งคั่ง หากใครให้ทานด้วยอาการของใจดังต่อไปนี้ครบถ้วนเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะมีผลไพบูลย์สูงสุด ส่งผลเป็นความมั่งคั่งถึงที่สุดเท่าที่ทานนั้นๆจะอำนวย
๑) ให้ด้วยความศรัทธา คือมีความเลื่อมใสอยู่ก่อนว่าทานเป็นของดี เป็นของที่ให้ความสุขในปัจจุบัน และเที่ยงที่จะติดตามไปให้ความสุขแก่เราในอนาคต ทั้งนี้ไม่ได้หมายเอาอาการโลภแบบจำเพาะเจาะจงว่าขอให้รวยเท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ อาการทางใจเช่นนั้นไม่ใช่ศรัทธาในบุญ แต่เป็นการลงทุนของนักธุรกิจอย่างหนึ่งผู้ศรัทธาในการเอากำไรเข้าตัว หรือถ้าให้โดยปราศจากศรัทธา ให้อย่างเสียไม่ได้ ให้เพราะจำใจ ให้เพราะตามๆญาติมา แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความศรัทธาดีแล้ว ยังมีผลให้รูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งอีกด้วย
๒) ให้ด้วยความเคารพ คือมีความรู้สึกอยู่ว่าการทำทานเป็นของสูง ไม่ใช่ของต่ำ จึงไม่ควรโยนให้หรือ
ให้เหมือนเป็นของเหลือเดน การถวายทานแด่สงฆ์จัดเป็นการฝึกใจให้ทำทานด้วยความเคารพได้อย่างดี เพราะรู้สึกอยู่ว่าท่านใช้ชีวิตที่สะอาดสูงส่งกว่าเรา หรืออย่างน้อยพวกท่านก็นุ่งห่มจีวรอันเป็นธงชัยพระอรหันต์ สืบทอดพระศาสนาให้ต่อเนื่องไม่สาบสูญ ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเคารพ ให้แบบโยนกระดูกลงพื้น ให้ด้วยความเหยียดหยาม หรือให้แบบ-ดัน แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความเคารพดีแล้ว ยังมีผลให้ดูเป็นคนน่าเลื่อมใสควรแก่การเชื่อฟังอีกด้วย
๓) ให้โดยกาลอันควร คือให้อย่างรู้จักความเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลาหนึ่งๆ เช่นเมื่อเห็นพระตาแดง ก็ขวนขวายเป็นธุระหายาหยอดตามาให้ท่าน เห็นวัดมีทางโคจรของพระที่เฉอะแฉะ ก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำทางให้แห้งหรือเทปูนให้พวกท่านไปเลย ไม่ใช่เห็นท่านอยู่ปกติก็เอายาหยอดตาไปถวายขวดเดียวโดดๆด้วยความคิดว่าสักวันหนึ่งท่านอาจจะตาแดง แต่ถ้าซื้อยาสามัญครบชุดไปถวายด้วยความคิดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ เผื่อไว้ว่าท่านอาจจำเป็นต้องใช้ อย่างนี้ถือว่าให้โดยกาลอันควร ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเหมาะสมกับกาล แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้โดยกาลอันควรดีแล้ว ก็จะเป็นผู้ได้ของตามต้องการในเวลาไม่เนิ่นช้าอีกด้วย
๔) ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ คือให้ด้วยความปรารถนาจะช่วยผู้รับในเรื่องหนึ่งๆอย่างแท้จริง เช่นเมื่อเลือกซื้อยาสีฟันถวายพระ ก็หยิบเอายี่ห้อดีที่สุดที่เราทราบว่ามีคุณภาพในการรักษาเหงือกและฟัน โดยไม่เกี่ยงงอนเรื่องราคา อย่างนี้ถือว่าให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ถ้าให้ทานโดยปราศจากจิตคิดอนุเคราะห์ แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์ดีแล้ว ก็จะเป็นผู้มีรสนิยมดี เลือกใช้ของมาทำความเพลิดเพลินเจริญสุขอันเป็นไปด้วยกามคุณ ๕ ได้อย่างฉลาดอีกด้วย (ตรงนี้ขอให้สังเกตว่าบางคนเงินไม่ได้เนรมิตทุกสิ่งในชีวิตให้ดูดีโดยอัตโนมัติ บางคนมีเงินมากก็จริง แต่ไม่รู้จักร้านอร่อย ซื้ออาหารผิดสุขลักษณะ เลือกของแต่งบ้านไม่เป็น นั่งทำงานในที่สกปรกรุงรัง งกเสียจนแม้ข้าวของเครื่องใช้ผุพังก็ดันทุรังใช้ต่อ ในขณะที่บางคนมีทรัพย์สมบัติเพียงปานกลาง แต่ความเป็นอยู่ดูดีคุ้มเงินยิ่ง)
๕) ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น คือให้โดยไม่ประชด ให้โดยไม่แข่งขันชิงดี ให้โดยไม่คิดเอาหน้าเกินใคร ขอให้สังเกตว่าบางคนอยากได้บุญเป็นอันดับหนึ่ง นึกว่าเป็นเช่นนั้นได้ก็ด้วยการไปอยู่หัวแถวสุดเสมอ แทบจะใช้แขนปาดกวาดต้อนคนอื่นไปอยู่ข้างหลังเลยทีเดียว หรือบางคนก็ทำบุญแบบเกทับกัน เช่นเห็นเขาให้ก่อน ๕๐๐ ตัวเองรีบหยิบแบงก์พันขึ้นมาสู้ จิตมีอาการคิดเบ่ง คิดทำให้เขาเสียหน้าหรือน้อยหน้า ถ้าให้ทานด้วยจิตคิดกระทบกระทั่ง แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตไม่คิดกระทบกระทั่งดีแล้ว ก็จะทำให้ทรัพย์สินปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือการแย่งชิงของผู้อื่น
ถ้าหากเกิดข้อสงสัยว่าเราจะมีอาการทางใจถึง ๕ ประการพร้อมๆกันได้อย่างไร ในเมื่อคนเราคิดได้ทีละอย่าง ก็ขอให้หมั่นฝึกสังเกตเถิดว่าเรายังมี ‘ข้อเสีย’ ในการทำทานอย่างไรอยู่บ้าง เมื่อรู้ตัวก็ฝึกใหม่ เช่นขณะหนึ่งในการให้ รู้สึกว่าเป็นการให้เพียงด้วยกิริยาทางกาย ใจไม่เป็นสุข แห้งแล้งเหมือนดอกไม้ขาดฝน ก็ควรศึกษาประโยชน์ของทานทั้งปัจจุบันและอนาคตให้ดี น้อมใจว่าการให้ทานก็คือการสละยางเหนียวเหนอะหนะของความตระหนี่ เมื่อทำลายความทึบย่อมเกิดความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย และการให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาว่าผลทานจะบันดาลสุขทางโภคทรัพย์ยิ่งๆขึ้นไปในอนาคต จิตก็จะได้คิดปลื้ม เลิกทำทานแบบบัวแล้งน้ำเสียได้
การสังเกตข้อเสียในการทำทานไปทีละข้อจนเห็นว่าไม่เหลือข้อเสียแล้วนั่นแหละ เป็นที่มาของกรรมทางใจที่จะบันดาลผลให้มั่งคั่งสูงสุด
คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ว่าทำแบบใหญ่พรวดพราดโครมเดียวแล้วจะรวยทันใจ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ความจริงคือถ้าอาการทางใจยังไม่สมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว ผลของทานก็มักจะยังไม่ปรากฏตัว ต่อเมื่อใจเริ่มเป็นสุข มีความสมัครใจ มีความยินดีแท้จริงจากส่วนลึกว่า ‘อยากให้’ โดยปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง จะเหมือนพลังความสุขแห่งทานเอ่อล้นจากภายใน ส่งคลื่นรบกวนเหตุการณ์ภายนอกให้แปรปรวน กลับดำเป็นขาว กลับมืดเป็นสว่าง กลับแคบเป็นเปิดกว้างไปด้วย ต่อให้เคยฝืดเคืองลำบากลำบนอย่างไร ก็เหมือนจะมีตัวช่วย ตัวหล่อลื่นให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และถ้ามีน้ำจิตเป็นทาน หรือที่เรียกว่ามีทานจิตอย่างสมบูรณ์ วันไหนไม่มีโอกาสสละให้แล้วรู้สึกเหมือนชีวิตขาดบางอย่างไป นั่นแหละกรรมได้เตรียมภพอันเปิดกว้างสว่างสบายตามจิตไว้แล้ว เมื่อเคลื่อนจากชาติปัจจุบัน ละโลกนี้ไปแล้ว กรรมย่อมเลือกสรรให้ไปอยู่ในภพซึ่งมีความสุกสว่างรุ่งโรจน์ทางการเงินอย่างแน่นอน
เหตุปัจจัยที่ทําให้มีทรัพย์มาก
ขอทานที่นั่งรับเศษเงินตั้งแต่เกิดมีอยู่มากมาย เราเห็นพวกเขาเสมอกันหมด แต่เชื่อไหมว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกัน? ขอทานบางคนได้เศษเงินมากมายเป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่ขอทานบางคนมีรายได้น้อยและต้องร่อนเร่หาที่ปักหลักใหม่อยู่เรื่อยๆ นี่จึงเป็นที่มาของขบวนการสร้างภาพน่าสงสาร และบางทีก็มีเด็กเคราะห์ร้าย (ด้วยกรรมเก่า) ถูกตัดมือตัดเท้าเอามาตากแดดขอทานด้วย
ทำนองเดียวกัน แม้มีศัพท์อย่างเป็นทางการเช่น ‘เศรษฐี’ เอาไว้ใช้ยังไม่พอ ต้องมีการขยายเป็น ‘มหาเศรษฐี’ และ ‘อภิมหาเศรษฐี’ เข้าไปอีก ผู้เป็นเศรษฐีควรมีเงินกี่ล้านก็ไม่ทราบ แต่ลองได้ชื่อว่าเศรษฐีแล้วก็จะไม่มีคำถามแบบคนทั่วไปเช่น “มีสิบล้านทำไมไม่ฝากธนาคารเก็บดอกเบี้ยกินไปจนตาย? อะไรเป็นแรงจูงใจให้ทำงานต่อเหนื่อยยากเปล่าๆ?”
คนจนย่อมเปรียบเทียบและเห็นความต่างระหว่างคนจนด้วยกันง่าย คนรวยก็เช่นกัน ย่อมเปรียบเทียบและเห็นความต่างระหว่างคนรวยด้วยกันไม่ยากนัก แม้ว่าอาจจะขับเบนซ์ท็อปคลาสเหมือนๆกัน แต่ตามไปดูบ้านอาจใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ตามไปดูที่บริษัทอาจเห็นความหรูที่แตกต่าง และตามไปดูการใช้ชีวิตอาจเห็นระดับอิทธิพลเป็นคนละเรื่อง
ในระหว่างคนร่ำรวยด้วยกัน ย่อมเห็นกันและกันได้ชัดถึงความต่างสารพัดด้าน นับตั้งแต่ความสุขกับความทุกข์ที่ได้รับจากความรวย รสนิยมในการกว้านซื้อสมบัติพัสถาน การมีคู่ชีวิตและครอบครัวที่เสริมสร้างหรือบั่นทอนทรัพย์ ตลอดไปจนกระทั่งขีดความสำเร็จทางธุรกิจ เช่นสัดส่วนกำไรที่ได้คืนมาจากการหว่านเม็ดเงินเท่าๆกัน ระยะเวลารอคอยกี่เดือนกี่ปีกว่าจะได้ทุนคืน หนี้สินที่ต้องรีบหาเงินมาใช้ให้ทันตามกำหนด ฯลฯ
และไม่ใช่น้อยๆเลย ที่ไม่ได้เป็น ‘เศรษฐีชั่วชีวิต’ คือรวยเดี๋ยวเดียวก็ประสบกับหายนะในรูปแบบต่างๆ ถูกโกงบ้าง ถูกปล้นเอาซึ่งๆหน้าบ้าง หรือถูกภัยจากน้ำและไฟทำลายล้างเอาบ้าง อย่างนี้คือรวยวูบเดียว หรือรวยแบบไม่ยั่งยืน
สรุปคือไม่ใช่พูดง่ายๆแค่ ‘เขาเป็นคนรวย’ แล้วจบ พูดแค่นี้ยังจินตนาการกันไม่ได้แจ่มแจ้งหรอกว่าหมายถึงคนแบบไหนกันแน่ และคนรวยก็มีความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวอยู่ ระหว่าง ‘เกิดมารวย’ กับ ‘ขยันทำงานจนรวย’ คนที่รวยจริง มีอิทธิพลยิ่งใหญ่จริง ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทหลัง ถ้าหากสำรวจดู ๔๐๐ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ไม่ว่ายุคไหนสมัยใด จะต้องทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลังเกือบทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นยังมีจำนวนมากที่ผ่านความยากจนในวัยเด็กมาก่อน น้อยเท่าน้อยชนิดหนึ่งในล้านที่รวยเอาๆด้วยการอยู่เฉยๆแล้วมีคนนำเงินกับอำนาจมาประเคนให้
อย่างไรก็ตาม ถ้าขาด ‘ฐานความรวย’ อยู่ก่อน ก็ยากที่จะไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับได้ ฐานความรวยอาจหมายถึงความรู้ มุมมอง สติปัญญา ไหวพริบปฏิภาณ ตลอดจนกระทั่งกิจการเล็กๆที่พ่อแม่ให้สืบทอด
มองอีกด้านหนึ่ง เรื่องสติปัญญานั้นบางทียากว่าจะเอาอะไรมาวัด หากรู้จักกับบรรดา ‘อภิมหาเศรษฐี’ หลายๆคน เราจะพบความจริงประการหนึ่ง คือบางทีพวกเขาไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้มีความสามารถน่าอัศจรรย์อะไรมากไปกว่า ‘ถนัดทำเงิน’ บางคนเหมือนพ่อมดแห่งวงการเก็งกำไร เก็งการลงทุนอะไรแม่นไปหมด บางคนก็เหมือนเดาใจผู้บริโภคถูกทุกที ประชาสัมพันธ์สินค้าธรรมดาๆให้กลายเป็นสินค้าน่าปรารถนาไปได้อย่างเหลือเชื่อ
เศรษฐีบางคนเหมือนไม่ค่อยทันคน หรือกระทั่งไม่ค่อยทันเกมธุรกิจของตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่กลับทำเรื่องน่าตกตะลึงให้กับคู่แข่งด้วยการสร้างรายได้คุ้มทุนเสมอ ชนะการทำงานหนักเต็มสติปัญญาของคู่แข่งเสมอ ต่อให้มีเล่ห์เหลี่ยมเชิงธุรกิจแพรวพรายปานใดก็โค่นกันไม่ลงเลย
ตำราในมหาวิทยาลัยธุรกิจจำเป็นต้องกัดฟันใส่คำว่า ‘โชคช่วย’ เข้าไปในปัจจัยความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ และคำนี้เพียงคำเดียวอาจล้มล้างทุกทฤษฎีที่เลิศสุด ประกันความสำเร็จได้สูงสุด เพราะต่อให้มีปัญญา มีความขยัน มีความอดทนฟันฝ่าอุปสรรคกี่สิบปี ถ้าขาดโชคช่วยตัวเดียวก็อาจไม่ได้เป็นเศรษฐีกับเขาสักที หรือกว่าจะเป็นเศรษฐีก็เข้าวัยชรา ปล่อยให้ลูกหลานชุบมือเปิบเม็ดเงินที่ตนเองอุตส่าห์สร้างสมมาจนชั่วชีวิต
ความจริงคือสติปัญญา ความมุ่งมั่น ความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง ความพากเพียรอย่างต่อเนื่อง ความรู้จักสินค้าและลูกค้า ล้วนแล้วแต่เป็น ‘เบื้องหน้า’ ที่สำคัญต่อการประสพความสำเร็จเชิงธุรกิจ แต่ยังมี ‘เบื้องหลัง’ เป็นบุญเก่าหนุนนำอยู่ด้วย การศึกษาพุทธพจน์จะทำให้เราทราบว่า ‘โชคช่วย’ นั้นไม่มี มีแต่ ‘บุญช่วย’ ทั้งสิ้น
ขอให้ทำความเข้าใจดีๆว่าบทนี้เน้นกล่าวถึงวิบากซึ่งเกือบทุกคนในโลกมองว่าเป็น ‘โชค’ ตัวอย่างเช่นทำไมรวยมาแต่เกิด เหตุใดทำมาค้าขึ้นนัก แล้วเพราะอะไรบางคนถึงเจอลาภลอยเป็นประจำ
วิบากของการทำทานสามารถให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรอดูผลเมื่อเกิดใหม่ชาติหน้า อย่างไรก็ตาม ความเป็นชาติปัจจุบันคือการจองจำไว้กับผลกรรมเก่าทั้งดีและร้ายในอดีต เพราะฉะนั้นถ้าหากเคยทำกรรมในทางตระหนี่มามากๆ ก็อาจถูกบีบไว้ให้ขยับยาก โดยเฉพาะถ้าไม่มีกรรมดีที่จะทำให้เกิดลาภลอยมาช่วย
เพื่อให้เป็นที่เข้าใจง่าย ขอแสดงพุทธพจน์เกี่ยวกับวิบากของทานไว้เป็นเปลาะๆ แยกเป็นหัวข้อดังนี้
กรรมทางใจที่ทำให้ร่ำรวยสูงสุด
ให้ของเหมือนกัน แต่ใจแตกต่าง ก็ให้ผลผิดกันได้ลิบลับ พระพุทธเจ้าจำแนกอาการของใจในขณะให้ไว้เป็นต่างๆ แต่ละอาการล้วนเป็นกำลังหนุนให้วิบากออกดอกออกผลเป็นความมั่งคั่ง หากใครให้ทานด้วยอาการของใจดังต่อไปนี้ครบถ้วนเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะมีผลไพบูลย์สูงสุด ส่งผลเป็นความมั่งคั่งถึงที่สุดเท่าที่ทานนั้นๆจะอำนวย
๑) ให้ด้วยความศรัทธา คือมีความเลื่อมใสอยู่ก่อนว่าทานเป็นของดี เป็นของที่ให้ความสุขในปัจจุบัน และเที่ยงที่จะติดตามไปให้ความสุขแก่เราในอนาคต ทั้งนี้ไม่ได้หมายเอาอาการโลภแบบจำเพาะเจาะจงว่าขอให้รวยเท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ อาการทางใจเช่นนั้นไม่ใช่ศรัทธาในบุญ แต่เป็นการลงทุนของนักธุรกิจอย่างหนึ่งผู้ศรัทธาในการเอากำไรเข้าตัว หรือถ้าให้โดยปราศจากศรัทธา ให้อย่างเสียไม่ได้ ให้เพราะจำใจ ให้เพราะตามๆญาติมา แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความศรัทธาดีแล้ว ยังมีผลให้รูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งอีกด้วย
๒) ให้ด้วยความเคารพ คือมีความรู้สึกอยู่ว่าการทำทานเป็นของสูง ไม่ใช่ของต่ำ จึงไม่ควรโยนให้หรือให้เหมือนเป็นของเหลือเดน การถวายทานแด่สงฆ์จัดเป็นการฝึกใจให้ทำทานด้วยความเคารพได้อย่างดี เพราะรู้สึกอยู่ว่าท่านใช้ชีวิตที่สะอาดสูงส่งกว่าเรา หรืออย่างน้อยพวกท่านก็นุ่งห่มจีวรอันเป็นธงชัยพระอรหันต์ สืบทอดพระศาสนาให้ต่อเนื่องไม่สาบสูญ ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเคารพ ให้แบบโยนกระดูกลงพื้น ให้ด้วยความเหยียดหยาม หรือให้แบบ-ดัน แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความเคารพดีแล้ว ยังมีผลให้ดูเป็นคนน่าเลื่อมใสควรแก่การเชื่อฟังอีกด้วย
๓) ให้โดยกาลอันควร คือให้อย่างรู้จักความเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลาหนึ่งๆ เช่นเมื่อเห็นพระตาแดง ก็ขวนขวายเป็นธุระหายาหยอดตามาให้ท่าน เห็นวัดมีทางโคจรของพระที่เฉอะแฉะ ก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำทางให้แห้งหรือเทปูนให้พวกท่านไปเลย ไม่ใช่เห็นท่านอยู่ปกติก็เอายาหยอดตาไปถวายขวดเดียวโดดๆด้วยความคิดว่าสักวันหนึ่งท่านอาจจะตาแดง แต่ถ้าซื้อยาสามัญครบชุดไปถวายด้วยความคิดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ เผื่อไว้ว่าท่านอาจจำเป็นต้องใช้ อย่างนี้ถือว่าให้โดยกาลอันควร ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเหมาะสมกับกาล แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้โดยกาลอันควรดีแล้ว ก็จะเป็นผู้ได้ของตามต้องการในเวลาไม่เนิ่นช้าอีกด้วย
๔) ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ คือให้ด้วยความปรารถนาจะช่วยผู้รับในเรื่องหนึ่งๆอย่างแท้จริง เช่นเมื่อเลือกซื้อยาสีฟันถวายพระ ก็หยิบเอายี่ห้อดีที่สุดที่เราทราบว่ามีคุณภาพในการรักษาเหงือกและฟัน โดยไม่เกี่ยงงอนเรื่องราคา อย่างนี้ถือว่าให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ถ้าให้ทานโดยปราศจากจิตคิดอนุเคราะห์ แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์ดีแล้ว ก็จะเป็นผู้มีรสนิยมดี เลือกใช้ของมาทำความเพลิดเพลินเจริญสุขอันเป็นไปด้วยกามคุณ ๕ ได้อย่างฉลาดอีกด้วย (ตรงนี้ขอให้สังเกตว่าบางคนเงินไม่ได้เนรมิตทุกสิ่งในชีวิตให้ดูดีโดยอัตโนมัติ บางคนมีเงินมากก็จริง แต่ไม่รู้จักร้านอร่อย ซื้ออาหารผิดสุขลักษณะ เลือกของแต่งบ้านไม่เป็น นั่งทำงานในที่สกปรกรุงรัง งกเสียจนแม้ข้าวของเครื่องใช้ผุพังก็ดันทุรังใช้ต่อ ในขณะที่บางคนมีทรัพย์สมบัติเพียงปานกลาง แต่ความเป็นอยู่ดูดีคุ้มเงินยิ่ง)
๕) ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น คือให้โดยไม่ประชด ให้โดยไม่แข่งขันชิงดี ให้โดยไม่คิดเอาหน้าเกินใคร ขอให้สังเกตว่าบางคนอยากได้บุญเป็นอันดับหนึ่ง นึกว่าเป็นเช่นนั้นได้ก็ด้วยการไปอยู่หัวแถวสุดเสมอ แทบจะใช้แขนปาดกวาดต้อนคนอื่นไปอยู่ข้างหลังเลยทีเดียว หรือบางคนก็ทำบุญแบบเกทับกัน เช่นเห็นเขาให้ก่อน ๕๐๐ ตัวเองรีบหยิบแบงก์พันขึ้นมาสู้ จิตมีอาการคิดเบ่ง คิดทำให้เขาเสียหน้าหรือน้อยหน้า ถ้าให้ทานด้วยจิตคิดกระทบกระทั่ง แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตไม่คิดกระทบกระทั่งดีแล้ว ก็จะทำให้ทรัพย์สินปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือการแย่งชิงของผู้อื่น
ถ้าหากเกิดข้อสงสัยว่าเราจะมีอาการทางใจถึง ๕ ประการพร้อมๆกันได้อย่างไร ในเมื่อคนเราคิดได้ทีละอย่าง ก็ขอให้หมั่นฝึกสังเกตเถิดว่าเรายังมี ‘ข้อเสีย’ ในการทำทานอย่างไรอยู่บ้าง เมื่อรู้ตัวก็ฝึกใหม่ เช่นขณะหนึ่งในการให้ รู้สึกว่าเป็นการให้เพียงด้วยกิริยาทางกาย ใจไม่เป็นสุข แห้งแล้งเหมือนดอกไม้ขาดฝน ก็ควรศึกษาประโยชน์ของทานทั้งปัจจุบันและอนาคตให้ดี น้อมใจว่าการให้ทานก็คือการสละยางเหนียวเหนอะหนะของความตระหนี่ เมื่อทำลายความทึบย่อมเกิดความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย และการให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาว่าผลทานจะบันดาลสุขทางโภคทรัพย์ยิ่งๆขึ้นไปในอนาคต จิตก็จะได้คิดปลื้ม เลิกทำทานแบบบัวแล้งน้ำเสียได้
การสังเกตข้อเสียในการทำทานไปทีละข้อจนเห็นว่าไม่เหลือข้อเสียแล้วนั่นแหละ เป็นที่มาของกรรมทางใจที่จะบันดาลผลให้มั่งคั่งสูงสุด
คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ว่าทำแบบใหญ่พรวดพราดโครมเดียวแล้วจะรวยทันใจ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ความจริงคือถ้าอาการทางใจยังไม่สมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว ผลของทานก็มักจะยังไม่ปรากฏตัว ต่อเมื่อใจเริ่มเป็นสุข มีความสมัครใจ มีความยินดีแท้จริงจากส่วนลึกว่า ‘อยากให้’ โดยปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง จะเหมือนพลังความสุขแห่งทานเอ่อล้นจากภายใน ส่งคลื่นรบกวนเหตุการณ์ภายนอกให้แปรปรวน กลับดำเป็นขาว กลับมืดเป็นสว่าง กลับแคบเป็นเปิดกว้างไปด้วย ต่อให้เคยฝืดเคืองลำบากลำบนอย่างไร ก็เหมือนจะมีตัวช่วย ตัวหล่อลื่นให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และถ้ามีน้ำจิตเป็นทาน หรือที่เรียกว่ามีทานจิตอย่างสมบูรณ์ วันไหนไม่มีโอกาสสละให้แล้วรู้สึกเหมือนชีวิตขาดบางอย่างไป นั่นแหละกรรมได้เตรียมภพอันเปิดกว้างสว่างสบายตามจิตไว้แล้ว เมื่อเคลื่อนจากชาติปัจจุบัน ละโลกนี้ไปแล้ว กรรมย่อมเลือกสรรให้ไปอยู่ในภพซึ่งมีความสุกสว่างรุ่งโรจน์ทางการเงินอย่างแน่นอน