มีสองปัญหาให้สังคมออนไลน์ช่วยกันตอบครับ
ขอตอบกันด้วยเหตุและผล ไม่โยงการเมือง ย้ำไม่โยงการเมือง
ผมกลัวอดขำไม่ได้ถ้าคนที่โยงการเมืองแล้วโดนไล่ว่า "กลับราชดำเนินไปซะ"
.
.
เริ่มกันเลยดีกว่า
1. ผมเป็นคนชอบตั้งคำถามขี้สงสัย เป็นเจ้าหนูจัมไม แต่การถามไม่เคยออกนอกกรอบของเนื้อหาที่เรียนอยู่
อาจจะมีเพิ่มประเด็นที่เกี่ยวข้องไปบ้าง แต่หลายครั้งที่เริ่มตั้งคำถามจะถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ
ทั้ง ๆ ที่หลายคำถามมีประโยชน์ต่อส่วนรวมแม้ว่ามันจะไม่ออกสอบก็เถอะ ไม่เข้าใจวิธีคิดของคนส่วนใหญ่เหมือนกัน
ท่านอื่นคิดเห็นอย่างไรกันครับ กับการตั้งคำถามในสิ่งที่เราไม่รู้
2. การเรียนในมหาวิทยาลัยมักจะมีวิชาที่น่าเบื่อ แบบว่าเข้าไปนั่งฟังก็เท่านั้นอ่านเองเสียดีกว่า
สิ่งที่ผมพบเจอคือ วิชานี้ชือวิชา วิจัยทาง.... นั่นแหละเอาเป็นว่ามันคือวิชาวิจัย หลายคนที่จบไปแล้วพอจะทราบดี
ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน เนื้อหาน่าเบื่อไม่พอครับ การสอนยังน่าเบื่อ สมมติว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะมีเรียน
ผู้สอนท่านนี้จะแจกไฟล์ในกลุ่มทาง Facebook ให้มาอ่านก่อนล่วงหน้า พอถึงวันเรียน ก็จะเอาไอที่ให้อ่านเนี่ย
มาสอนอีกที ซึ่งการสอนไม่ได้แตกต่างจากการอ่านเอง ผมไม่ชอบการเรียนอะไรที่มันเอื่อยเฉื่อย
อ่านก็ไม่เข้าใจ แถมมานั่งเรียนยังไม่เข้าใจอีก การสอนไม่ได้สร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
หรืออะไรก็ตามแต่ให้มันเข้าใจง่าย กลายเป็นว่ายิ่งเรียน ยิ่งน่าเบื่อ เข้าไปเพื่อเอาเวลาเรียนแค่นั้น
ผมเป็นคนที่เรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ชอบอ่านอะไรที่มันประดับหัวสมอง แต่กลับกันกับวิชานี้ ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าหัว
มันน่าเบื่อจนกระทั้งผมไม่มีคำถามเพื่อจะถามผู้สอน
อยากทราบว่าถ้าท่านเป็นผู้ที่ต้องสอนวิชานี้ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร และ มีวิธีการสอนแบบไหน
ที่คิดว่าจะทำให้เด็กหันมาสนใจครับ
.
.
.
.
.
กระทู้นี้ผมแค่อยากรู้ว่าความเห็นของคนในสังคมปัญญาชนเป็นอย่างไร
ขอเพียงแค่คำตอบที่อุดมไปด้วยความคิดและสติปัญญาครับ
ถ้าตอบแบบกระแนะกระแหน หรือจิกกัด ก็เลยผ่านกระทู้นี้ไปนะครับ
แท็กปัญหาสังคมไปด้วยเพราะการเรียนสะท้อนถึงสังคมในอดีตและอนาคต ที่อาจจะเดินหน้าหรือถอยหลัง
ถ้าเรามีข้อสงสัยแล้วถามอาจารย์ กลับกลายเป็นว่าเราถูกมองเป็นตัวประหลาด
ขอตอบกันด้วยเหตุและผล ไม่โยงการเมือง ย้ำไม่โยงการเมือง
ผมกลัวอดขำไม่ได้ถ้าคนที่โยงการเมืองแล้วโดนไล่ว่า "กลับราชดำเนินไปซะ"
.
.
เริ่มกันเลยดีกว่า
1. ผมเป็นคนชอบตั้งคำถามขี้สงสัย เป็นเจ้าหนูจัมไม แต่การถามไม่เคยออกนอกกรอบของเนื้อหาที่เรียนอยู่
อาจจะมีเพิ่มประเด็นที่เกี่ยวข้องไปบ้าง แต่หลายครั้งที่เริ่มตั้งคำถามจะถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ
ทั้ง ๆ ที่หลายคำถามมีประโยชน์ต่อส่วนรวมแม้ว่ามันจะไม่ออกสอบก็เถอะ ไม่เข้าใจวิธีคิดของคนส่วนใหญ่เหมือนกัน
ท่านอื่นคิดเห็นอย่างไรกันครับ กับการตั้งคำถามในสิ่งที่เราไม่รู้
2. การเรียนในมหาวิทยาลัยมักจะมีวิชาที่น่าเบื่อ แบบว่าเข้าไปนั่งฟังก็เท่านั้นอ่านเองเสียดีกว่า
สิ่งที่ผมพบเจอคือ วิชานี้ชือวิชา วิจัยทาง.... นั่นแหละเอาเป็นว่ามันคือวิชาวิจัย หลายคนที่จบไปแล้วพอจะทราบดี
ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน เนื้อหาน่าเบื่อไม่พอครับ การสอนยังน่าเบื่อ สมมติว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะมีเรียน
ผู้สอนท่านนี้จะแจกไฟล์ในกลุ่มทาง Facebook ให้มาอ่านก่อนล่วงหน้า พอถึงวันเรียน ก็จะเอาไอที่ให้อ่านเนี่ย
มาสอนอีกที ซึ่งการสอนไม่ได้แตกต่างจากการอ่านเอง ผมไม่ชอบการเรียนอะไรที่มันเอื่อยเฉื่อย
อ่านก็ไม่เข้าใจ แถมมานั่งเรียนยังไม่เข้าใจอีก การสอนไม่ได้สร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
หรืออะไรก็ตามแต่ให้มันเข้าใจง่าย กลายเป็นว่ายิ่งเรียน ยิ่งน่าเบื่อ เข้าไปเพื่อเอาเวลาเรียนแค่นั้น
ผมเป็นคนที่เรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ชอบอ่านอะไรที่มันประดับหัวสมอง แต่กลับกันกับวิชานี้ ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าหัว
มันน่าเบื่อจนกระทั้งผมไม่มีคำถามเพื่อจะถามผู้สอน
อยากทราบว่าถ้าท่านเป็นผู้ที่ต้องสอนวิชานี้ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร และ มีวิธีการสอนแบบไหน
ที่คิดว่าจะทำให้เด็กหันมาสนใจครับ
.
.
.
.
.
กระทู้นี้ผมแค่อยากรู้ว่าความเห็นของคนในสังคมปัญญาชนเป็นอย่างไร
ขอเพียงแค่คำตอบที่อุดมไปด้วยความคิดและสติปัญญาครับ
ถ้าตอบแบบกระแนะกระแหน หรือจิกกัด ก็เลยผ่านกระทู้นี้ไปนะครับ
แท็กปัญหาสังคมไปด้วยเพราะการเรียนสะท้อนถึงสังคมในอดีตและอนาคต ที่อาจจะเดินหน้าหรือถอยหลัง