นี่ก็ขออนุญาตบอกเล่าจากประสบการณ์ตรง และประสบการณ์ทางอ้อม ..ของคนเลยหลักสี่ละกันค่ะ

..การจัดงานแต่งงานใหญ่โต เป็นเพียงเครื่องมือประกาศว่าชายหญิงคู่นี้ตกลงจะเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ..โดยนัยยะของ "พฤตินัย"
เพราะถ้าคุณไม่พากันไปจดทะเบียนสมรส ..งานแต่งงาน ก็ไม่มีผลทางนิตินัยแต่ประการใด

..ยิ่งกว่านั้น คู่ที่จัดงานแต่งใหญ่โต ..เหนื่อยก็เหนื่อย หมดเงินไปก็หลาย เผลอๆ มีเรื่องผิดใจระหว่างพ่อปู่แม่ย่าพ่อตาแม่ยาย
เรื่องแย่งกันเก็บซอง เกี่ยงกันออกค่าใช้จ่ายอีก
ทั้งหมดที่ลงทุนลงแรงทำไป ..ขอบอกว่า ชื่อชั้นของโรงแรมที่จัดงาน จำนวนโต๊ะ เมนูอาหาร จำนวนสินสอดทองหมั้น
ไม่ได้การันตีเลยว่าคู่สามีภรรยานั้น จะอยู่กินกันอย่างมีความสุข

..ยิ่งถ้าต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจัดงานแต่งนี่..สาหัสเลยค่ะ  
เห็นมาหลายคู่แล้ว ..ประเภท.. เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ ..เงินไม่มี ก็ไปกู้มาจัดงาน
อยู่ไปๆ ..หาไม่พอจ่ายหนี้ เพราะที่จริงการไม่มีเงินเก็บตั้งแต่แรก  มันก็สะท้อนความสามารถในการหารายได้ vs ค่าใช้จ่าย ,
วินัยทางการเงิน - การออม ของเจ้าตัว อยู่พอสมควร ยิ่งมาได้เมียช่วยใช้อีกคน ..งานงอกเลยทีนี้
บางคู่จนลูกโต ยังใช้หนี้ตอนงานแต่งไม่หมดเลย ..

แต่ก็นะ.. ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ "คุณ" ...ว่าไปตกปาก รับคำสาวเจ้าอะไร ยังไงไว้ ,
"แฟนของคุณ" ..เค้าคาดหวังอะไร มีความฝันเรื่องงานแต่งงานไว้ยังไง ,
"พ่อแม่แฟนคุณ" ..ท่านมีชื่อเสียงหน้าตา ฐานะทางสังคม หรืออะไรที่ต้องแบกไว้ และดูไม่ดีไม่ได้ หรือไม่อย่างไร
...สิ่งเหล่านี้ คุณต้องหาคำตอบเอง เพราะปัจจัยพวกนี้ ของแต่ละคู่ นั้นไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าอยู่ในวิสัยที่คุยกันได้ แฟนคุณ รวมถึงพ่อแม่เค้า เป็นบุคคลที่เข้าใจความเป็นจริงได้
และคุณกับแฟน ก็มั่นใจแล้วจริงๆ ว่าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน
..ก็ลองคุยกันดูอีกที ว่า ณ เวลานี้ สถานการณ์คุณเป็นแบบนี้ ๆๆๆ ...
แฟนคุณจะยอมลงเรือลำเดียวกับคุณหรือเปล่า
คุณพ่อตาแม่ยาย เชื่อมั่นและยอมให้คุณดูแลลูกสาวท่านหรือเปล่า
ถ้าทุกฝ่ายโอเค ..ก็จัดงานตามฐานานุรูป ตามกำลังทรัพย์
ดีกว่าไปกู้หนี้ยืมสิน
..แต่งเสร็จมาช่วยกันใช้หนี้ ?!?

แต่นะ..ถ้าพี่มีลูกสาว แล้วรู้ว่าไอ้หนุ่มที่จะมาขอลูกสาวพี่ ต้องไปกู้เงินมาจัดงานแต่ง ..แต่งแล้ว ลูกสาวพี่ต้องไปช่วยใช้หนี้
...พี่ยังไม่ยกลูกสาวให้หรอกค่ะ