เรื่องราวความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นมีมากว่า 100 ปีแล้ว แม้แต่ตอนนี้ความร้อนแรงของมันก็ยังคงอยู่ แถมดูท่าจะปะทุขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ความเข้มข้นในการแย่งชิงความเป็นหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์นั้นเริ่มต้นจากการเข้ามาซื้อทีมเรือใบสีฟ้าของ ชีค มันซูร์ ในปี 2008 ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีกระแสเกลียดชังซึ่งกัน และกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเลือกทีมเชียร์
ครั้งหนึ่งแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังสามารถข่มแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ เมื่อพวกเขาครองความเป็นใหญ่ในลีกได้ตั้งแต่ยุค 1990 ลากยาวมาจนถึงยุค 2000 ทุกคนมองทีมเรือใบสีฟ้าเป็นแค่เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เมื่อคู่ปรับร่วมเมืองได้ก้าวขึ้นมาเบียดแย่งแชมป์แบบเต็มตัว
เกมดาร์บี้ที่ทั้ง 2 ทีมจะพบกันในวันอาทิตย์นี้ถือเป็นครั้งที่ 166 แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีนักเตะที่ย้ายข้ามฟากกันระหว่าง 2 สโมสรนี้อยู่ตลอด ซึ่งความรู้สึกของแฟนบอลมันก็เหมือนกับการหย่าร้างกันไปแบบไม่สวยหรู
นักเตะคนแรกที่ย้ายทีมระหว่าง 2 ทีมในเมืองแมนเชสเตอร์ก็คือ โรเบิร์ต มิลาร์วี่ ที่ย้ายจากนิวตัน ฮีธ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ไปเล่นกับอาร์ดวิค (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ในปี 1981 ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ใช่รายสุดท้าย
หลังจากที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้เป็นสมัยแรกในปี 1904 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องการล้มบอล ทอม มาลี่ย์ ผู้จัดการทีมที่พาทีมเรือใบสีฟ้าคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลเดียวกันนั้น รวมถึงลูกทีมอีก 17 คนถูกเอฟเอสั่งแบนตลอดชีวิต
พวกเขาถูกบังคับให้เปิดการประมูลนักเตะที่ดีที่สุดในทีมซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมควีนส์ในเมืองแมนเชสเตอร์ และนักเตะ 4 คนคือ แซนดี้ เทิร์นบูลล์, บิลลี่ เมเรดิธ, เฮอร์เบิร์ต เบอร์เกสส์ และ จิมมี่ แบนนิสเตอร์ ก็ย้ายไปเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความรู้สึกเหมือนกับสาดเกลือเข้าไปที่แผลสดๆ เมื่อทั้งเทิร์นบูลล์ และเมเรดิธคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และแชมป์ลีกอีก 2 สมัยในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
หลังจากการย้ายทีมของมิลาร์วี่เมื่อ 121 ปีก่อน มันก็มีนักเตะอีกถึง 23 คนที่เจริญรอยตามเขา ที่เป็นที่รู้จักดีก็คือ เดนิส ลอว์, ไบรอัน คิดด์ และ คาร์ลอส เตเบซ รวมถึงนักเตะดังในอดีตอย่าง ฮอเรซ บลูว์ และ วีน เดวี่ส์ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีคนที่ลงเล่นให้ทีมหนึ่งก่อนจะไปเป็นกุนซือให้กับอีกทีมหนึ่งอย่าง เซอร์ แมตต์ บัสบี้, สตีฟ ค็อปเปลล์ และ มาร์ค ฮิวจ์ส ด้วย โดยมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยคุมทั้ง 2 ทีม ชายคนนั้นก็คือ เออร์เนสต์ มังนัลล์
ความดุเด็ดเผ็ดมันในการเป็นคู่อริกันนั้นเริ่มมาตั้งแต่เกมแรกที่เป็นการพบกันระหว่างเวสต์ กอร์ตัน กับนิวตัน ฮีธ ในปี 1881 เลยทีเดียว แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นเหมือนอย่างในทุกวันนี้ที่มีทั้งความเกลียดชัง และความกลัว เกลียดในตัวแฟนบอล และนักเตะฝั่งตรงข้าม และก็กลัวที่อีกทีมจะได้แชมป์ไปครอง
มันอาจที่จะจินตนาการตามยากไปหน่อย เมื่อพูดว่าทั้ง 2 สโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์ยินดีที่จะฉลองความสำเร็จร่วมกัน แต่ไอเดียที่จะรวมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าด้วยกันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในฤดูกาล 1963/64
ตอนนั้นทีมเรือใบสีฟ้าที่เล่นอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยสมบูรณ์ และ แฟร้งค์ จอห์นสันรองประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เสนอความคิดที่จะเข้าไปรวมทีมกับทางฝั่งสีแดง
แต่สุดท้ายแล้วมันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในระดับผู้ถือหุ้นเท่านั้น และนั่นก็ทำเพื่อความอยู่รอดของสโมสร ไอเดียที่ว่าจะรวมสโมสรจึงเป็นหมันไป
และเพียงแค่ 4 ปีหลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1968 ส่วนทางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้เช่นกัน ทำให้แมนเชสเตอร์กลายเป็นเมืองแรกของสหราชอาณาจักรที่มี 2 สโมสรลงแข่งขันในรายการใหญ่ระดับยุโรป
เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกถังน้ำมันในปี 2008 พวกเขาก็กลับขึ้นมาเป็นทีมระดับหัวแถวอีกครั้ง ทำให้ศึกดาร์บี้กลายเป็นเกมตัดสินแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไปโดยปริยาย อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นในปี 2012
หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่หลุดออกนอกเส้นทางไปก่อน แต่ที่แน่ๆ ก็คือทั้ง 2 ทีมต่างก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มาตลอดหลายปีหลัง
credit : www.redarmyfc.com โดย SiR KeaNo
[บทความผีแดง 2013-09-22] ย้อนความเป็นมาของแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้
ความเข้มข้นในการแย่งชิงความเป็นหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์นั้นเริ่มต้นจากการเข้ามาซื้อทีมเรือใบสีฟ้าของ ชีค มันซูร์ ในปี 2008 ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีกระแสเกลียดชังซึ่งกัน และกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเลือกทีมเชียร์
ครั้งหนึ่งแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังสามารถข่มแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ เมื่อพวกเขาครองความเป็นใหญ่ในลีกได้ตั้งแต่ยุค 1990 ลากยาวมาจนถึงยุค 2000 ทุกคนมองทีมเรือใบสีฟ้าเป็นแค่เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เมื่อคู่ปรับร่วมเมืองได้ก้าวขึ้นมาเบียดแย่งแชมป์แบบเต็มตัว
เกมดาร์บี้ที่ทั้ง 2 ทีมจะพบกันในวันอาทิตย์นี้ถือเป็นครั้งที่ 166 แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีนักเตะที่ย้ายข้ามฟากกันระหว่าง 2 สโมสรนี้อยู่ตลอด ซึ่งความรู้สึกของแฟนบอลมันก็เหมือนกับการหย่าร้างกันไปแบบไม่สวยหรู
นักเตะคนแรกที่ย้ายทีมระหว่าง 2 ทีมในเมืองแมนเชสเตอร์ก็คือ โรเบิร์ต มิลาร์วี่ ที่ย้ายจากนิวตัน ฮีธ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ไปเล่นกับอาร์ดวิค (แมนเชสเตอร์ ซิตี้) ในปี 1981 ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ใช่รายสุดท้าย
หลังจากที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้เป็นสมัยแรกในปี 1904 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องการล้มบอล ทอม มาลี่ย์ ผู้จัดการทีมที่พาทีมเรือใบสีฟ้าคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาลเดียวกันนั้น รวมถึงลูกทีมอีก 17 คนถูกเอฟเอสั่งแบนตลอดชีวิต
พวกเขาถูกบังคับให้เปิดการประมูลนักเตะที่ดีที่สุดในทีมซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมควีนส์ในเมืองแมนเชสเตอร์ และนักเตะ 4 คนคือ แซนดี้ เทิร์นบูลล์, บิลลี่ เมเรดิธ, เฮอร์เบิร์ต เบอร์เกสส์ และ จิมมี่ แบนนิสเตอร์ ก็ย้ายไปเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความรู้สึกเหมือนกับสาดเกลือเข้าไปที่แผลสดๆ เมื่อทั้งเทิร์นบูลล์ และเมเรดิธคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และแชมป์ลีกอีก 2 สมัยในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด
หลังจากการย้ายทีมของมิลาร์วี่เมื่อ 121 ปีก่อน มันก็มีนักเตะอีกถึง 23 คนที่เจริญรอยตามเขา ที่เป็นที่รู้จักดีก็คือ เดนิส ลอว์, ไบรอัน คิดด์ และ คาร์ลอส เตเบซ รวมถึงนักเตะดังในอดีตอย่าง ฮอเรซ บลูว์ และ วีน เดวี่ส์ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีคนที่ลงเล่นให้ทีมหนึ่งก่อนจะไปเป็นกุนซือให้กับอีกทีมหนึ่งอย่าง เซอร์ แมตต์ บัสบี้, สตีฟ ค็อปเปลล์ และ มาร์ค ฮิวจ์ส ด้วย โดยมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยคุมทั้ง 2 ทีม ชายคนนั้นก็คือ เออร์เนสต์ มังนัลล์
ความดุเด็ดเผ็ดมันในการเป็นคู่อริกันนั้นเริ่มมาตั้งแต่เกมแรกที่เป็นการพบกันระหว่างเวสต์ กอร์ตัน กับนิวตัน ฮีธ ในปี 1881 เลยทีเดียว แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นเหมือนอย่างในทุกวันนี้ที่มีทั้งความเกลียดชัง และความกลัว เกลียดในตัวแฟนบอล และนักเตะฝั่งตรงข้าม และก็กลัวที่อีกทีมจะได้แชมป์ไปครอง
มันอาจที่จะจินตนาการตามยากไปหน่อย เมื่อพูดว่าทั้ง 2 สโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์ยินดีที่จะฉลองความสำเร็จร่วมกัน แต่ไอเดียที่จะรวมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าด้วยกันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในฤดูกาล 1963/64
ตอนนั้นทีมเรือใบสีฟ้าที่เล่นอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 ตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยสมบูรณ์ และ แฟร้งค์ จอห์นสันรองประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เสนอความคิดที่จะเข้าไปรวมทีมกับทางฝั่งสีแดง
แต่สุดท้ายแล้วมันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในระดับผู้ถือหุ้นเท่านั้น และนั่นก็ทำเพื่อความอยู่รอดของสโมสร ไอเดียที่ว่าจะรวมสโมสรจึงเป็นหมันไป
และเพียงแค่ 4 ปีหลังจากนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1968 ส่วนทางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้เช่นกัน ทำให้แมนเชสเตอร์กลายเป็นเมืองแรกของสหราชอาณาจักรที่มี 2 สโมสรลงแข่งขันในรายการใหญ่ระดับยุโรป
เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกถังน้ำมันในปี 2008 พวกเขาก็กลับขึ้นมาเป็นทีมระดับหัวแถวอีกครั้ง ทำให้ศึกดาร์บี้กลายเป็นเกมตัดสินแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไปโดยปริยาย อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นในปี 2012
หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่หลุดออกนอกเส้นทางไปก่อน แต่ที่แน่ๆ ก็คือทั้ง 2 ทีมต่างก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มาตลอดหลายปีหลัง
credit : www.redarmyfc.com โดย SiR KeaNo