เปิดเกร็ดน่ารู้ ก่อนระเบิดศึกผ่าเมือง
เรือใบสีฟ้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”
พบ
ปีศาจแดง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ดาร์บี้แมตช์เมืองเเมนเชสเตอร์ครั้งแรก
ในเวอร์ชั่นนัดชิงชนะเลิศ “เอฟเอ คัพ”
การแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่สุดในโลก
โหมโรงก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลถ้วย
“เอฟเอ คัพ” นัดชิงชนะเลิศของคู่ปรับร่วมเมืองระหว่าง
ทีมเรือใบสีฟ้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”
พบ
ปีศาจแดง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
ในวันเสาร์ ที่ 3 มิถุนายน เวลา 21.00 น.
ณ สนามกีฬาเวมบลีย์ กรุงลอนดอน
ประเทศอังกฤษ
นัดชิงครั้งประวัติศาสตร์
เอฟเอ คัพ
เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่สุดในโลก โดยมีมาตั้งแต่ปี 1872
ความพิเศษของรอบชิงชนะเลิศปี 2023
คือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะเกิด
แมนเชสเตอร์ดาร์บีขึ้นในนัด เอฟเอ คัพ
ระหว่าง 2 ทีมดังแห่งเมืองแมนเชสเตอร์
การเข้าชิงในฤดูกาลนี้ ทำให้ปีศาจแดงมีสถิติเข้าชิงฟุตบอลถ้วยรายการนี้ มากที่สุดในเกาะอังกฤษ ด้วยจำนวน 21 ครั้ง เท่ากับทัพปืนใหญ่ “อาร์เซนอล” และเป็นแชมป์ไปถึง 12 สมัย
ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถทะลุเข้าสู่
รอบชิงได้ 11 ครั้ง และคว้าแชมป์ไป 6 สมัย
การชิงกันในครั้งนี้ จึงสร้างสีสันและเพิ่มดีกรีความมันส์ให้ เอฟเอ คัพ ไม่น้อย
โดยแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแชมป์ลีกคัพอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทีมใดก็ตามที่ได้ชูถ้วย เอฟเอ คัพ ในวันเสาร์นี้จะมีการเฉลิมฉลองมากกว่าปกติ
เช่นเดียวกับสิทธิ์ในการคุยโม้เป็นเดิมพัน
หยุดทริปเปิ้ลแชมป์ของซิตี้
แมนฯ ซิตี้
ประสบความสำเร็จและยกระดับสโมสรขึ้นมา
ได้อย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ตู้ถ้วยรางวัลของเรือใบสีฟ้ากำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ปีศาจแดงไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
มาตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 หลังบรมกุนซือ
อย่าง “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” วางมือ
ที่สำคัญเรือใบสีฟ้ายังอยู่ในเส้นทางที่จะคว้าทริปเปิลแชมป์ หากเอาชนะเพื่อนบ้านฝั่งสีแดงในนัดชิงที่เวมบลีย์ และ “อินเตอร์ มิลาน” ใน
นัดชิงแชมเปียนส์ลีก ที่จะฟาดแข้งวันเสาร์หน้า
หาก ซิตี้ ทำได้ พวกเขาจะทาบบารมี ยูไนเต็ด ที่เคยคว้า 3 แชมป์ ประวัติศาสตร์ ทั้ง
พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1999 ภารกิจของพลพรรคผีแดง
จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดหายนะนี้
และคงความยิ่งใหญ่ให้อยู่กับทีมตัวเองต่อไป
“ปีเตอร์ ชไมเคิล” อดีตผู้รักษาประตูปีศาจแดงชุดทริปเปิลแชมป์ปี 1999 พูดแบบติดตลก
ในรอบรองที่ทีมพบกับไบรท์ตัน ว่า
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการเอาชนะไบรท์ตัน
และเข้าสู่รอบชิงจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเราจะมีโอกาสหยุดแมนฯ ซิตี้ ได้
ด้าน “เอริก เทน ฮาก” กุนซือปีศาจแดง กล่าวว่า เราจะทุ่มเททุกอย่าง ซึ่งผมหมายถึงทุกอย่าง ขอให้แฟน ๆ สามารถวางใจได้ เราต้องการมอบสิ่งนั้นให้กับแฟน ๆ
ดังนั้น สำหรับแฟน ยูไนเต็ด การหยุด ซิตี้ จึงสำคัญพอๆ กับการได้ดับเบิลแชมป์ในฤดูกาลนี้ หลังจากคว้าแชมป์คาราบาวคัพแล้ว
สาวกเรดเดวิลส์ถึงจะได้ร้องเพลงทั่วเมืองแมนเชสเตอร์อย่างภาคภูมิใจ ว่าพวกเขาคือทริปเปิ้ลแชมป์ทีมเดียวแห่งเกาะอังกฤษ
เส้นทางสู่รอบชิง
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เปป กวาร์ดิโอลา
เป็นปรากฏการณ์ของโลกลูกหนังยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง ในรายการ เอฟเอ คัพ ปีนี้
ทัพเรือใบสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการ
เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศโดยไม่เสียให้คู่แข่งแม้แต่ประตูเดียว ซึ่งเป็นการเจอทั้ง “เชลซี” และ “อาร์เซนอล” นับเป็นทีมแรกในรอบ 57 ปีที่ทำได้ต่อจาก “เอฟเวอร์ตัน” ที่เป็นแชมป์ในฤดูกาล 1965-66
ซิตี้ เริ่มต้น
ด้วยการเอา ชนะเชลซี 4-0 ในรอบแรก
จากนั้นก็เปิดบ้าน เฉือน อาร์เซนอล ไป 1-0
ในรอบถัดมา
เท่านั้นยังไม่พอ ระเบิดฟอร์มโหดบุกไปถล่ม “บริสตอล ซิตี้” 3-0 ประตู ในรอบ 5
เปิดบ้านกด “เบิร์นลี่ย์” ไปอีก 6-0 ประตู
ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
และเอาชนะ “เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด” ได้ 3-0 ประตูในรอบรองชนะเลิศ
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เสียประตูในทุกรอบที่ผ่านเข้ามา
เริ่มด้วยการชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1
ชนะ “เร้ดดิ้ง” 3-1
ชนะ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” 3-1
และชนะ “ฟูแล่ม” 3-1 ประตูเช่นกันในรอบ 8 ทีม ก่อนเสมอในเวลากับ “ไบรท์ตัน” ในรอบรอง
แต่แม่นโทษกว่า เอาชนะมาได้ 7-6 ประตู
เหลือเติม “ซิตี้” หรือ “ยูไนเต็ด”
ความพิเศษของแมนเชสเตอร์ดาร์บี้
นัดชิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทำให้ถ้วยรางวัล “Emirates FA Cup”
ได้ถูกสลักชื่อ “MANCHESTER” ไว้รอแล้ว
เหลือเติมแค่ “CITY” หรือ “UNITED” เท่านั้น
“เควิน เบเกอร์” ซีอีโอของ โธมัส ไลต์ กล่าวว่า เอฟเอ คัพ ติดต่อมาหาเราในฐานะผู้สร้างและดูแลถ้วยรางวัล พร้อมคำขอพิเศษ
สำหรับนัดชิงครั้งประวัติศาสตร์ ให้เราสลักคำว่า “MANCHESTER” บนถ้วยรางวัล
ก่อนดาร์บี้แมตช์จะเริ่มต้นขึ้น
นี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต
และการสลัก CITY หรือ UNITED
จะเป็นการสิ้นสุดกระบวนการ
หลังเกมในวันที่ 3 มิถุนายนนี้จบลง
มีทีมมากถึง 57 ทีมที่ได้เล่นในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ นับตั้งแต่ “วันเดอร์เรอร์ส” และ “รอยัล เอ็นจิเนียร์ส” ปะทะกันครั้งแรก
ที่สนามเคนนิงตัน โอวัล ในลอนดอนตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1872
แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 151 ปี
ที่ช่างแกะสลักมีโอกาสได้เริ่มงานของเขาก่อนที่นัดชิงจะเริ่มขึ้น
แม้ว่าทั้งคู่จะประสบความสำเร็จมามากมาย
แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยพบกันในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปในปีนี้
โดยแมนเชสเตอร์เป็นผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ขึ้นอยู่กับว่า สีฟ้า หรือ สีแดง
จะเดินออกจากเวมบลีย์ด้วยรอยยิ้ม
ทีมแชมป์ได้เงินรางวัลเท่าไร
เอฟเอ คัพ
เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แม้เงินรางวัลจะไม่มากเท่าพรีเมียร์ลีก
หลายสโมสรสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
หลายล้าน จากการขยับขึ้นเพียง 2-3 อันดับ
ในตารางคะแนน ซึ่งอาจจะมากกว่าการผ่าน
เข้ารอบบอลถ้วยรายการนี้
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้มนต์ขลังของ เอฟเอ คัพ หมดลง
สำหรับทีมที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ จะได้เงินรางวัล 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 86 ล้านบาท โดยรวมกับเงินรางวัลจากการผ่านเข้ามาในแต่ละรอบด้วย
ส่วนรองแชมป์จะได้ 1 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 43 ล้านบาท ซึ่งต่างกันเท่าตัวเลยทีเดียว
โดยปกติแล้วทีมจากพรีเมียร์ลีก
จะได้เล่นเอฟเอ คัพ ตั้งแต่รอบ 3 เป็นต้นไป
และหากไปถึงแชมป์ หมายความว่า
พวกเขาจะได้รับเงินรางวัลรวม 3.9 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 169 ล้านบาท
ส่วนทีมลีกรองหรือนอกลีกที่มีโอกาสเล่นตั้งแต่รอบแรก หากสามารถก้าวไปถึงถ้วยแชมป์
ซึ่งความเป็นไปได้ต่ำมาก พวกเขาจะได้รับ
เงินรางวัลรวมถึง 4.08 ล้านปอนด์
หรือประมาณ 176 ล้านบาทเลยทีเดียว
สถิติ ซิตี้ ข่ม
ความพร้อมของ แมนฯ ซิตี้ เรียกได้ว่าฟิต 100% หลังการันตีแชมป์พรีเมียร์ลีกก่อนจบฤดูกาล
ถึง 2 นัด ก็เก็บตัวผู้เล่นหลักให้พักชิว ๆ
บนม้านั่งสำรองเพื่อรอทำศึกใหญ่กับปีศาจแดงโดยเฉพาะ
ตรงกันข้ามกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังส่ง
ผู้เล่นตัวจริงเต็มอัตราลงดวลกับ “ฟูแล่ม”
ในพรีเมียร์ลีกเกมสุดท้าย รายชื่อตัวเจ็บ
จึงมีทั้ง แอนโทนี่, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล,
ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ มาร์เซล ซาบิตเซอร์
การพบกันในลีกฤดูกาลนี้บ้านใครบ้านมัน
สลับกันแพ้ชนะทีมละครั้ง
โดยนัดแรกเรือใบสีฟ้าเปิดบ้านถล่มไป 6-3
และนัดที่ 2 ปีศาจแดงเอาคืนได้ 2-1
ในบ้านตัวเองเช่นกัน
แต่หากนับสถิติที่พบกัน 5 นัดหลังสุดในลีก เรียกว่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือกว่าอยู่เต็มประดาเอาชนะไปได้ถึง 4 เกม
• 4/01/66 แมน ยูฯ 2-1 แมนฯ ซิตี้
• 2/10/65 แมนฯ ซิตี้ 6-3 แมน ยูฯ
• 6/03/65 แมนฯ ซิตี้ 4-1 แมน ยูฯ
• 6/11/64 แมน ยูฯ 0-2 แมนฯ ซิตี้
• 7/03/64 แมน ยูฯ 0-2 แมนฯ ซิตี้
เตะเร็วขึ้นเพื่อความปลอดภัย
แมนเชสเตอร์ดาร์บี้เวอร์ชั่นนัดชิง เอฟเอ คัพ
ที่จะเกิดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ คาดว่าจะมีผู้ชมเกือบ 90,000 คน โดย ซิตี้ และ ยูไนเต็ด
จะได้รับตั๋วทีมละ 30,500 ใบ เพื่อให้แฟนบอลเข้าชมเกม
นัดชิง เอฟเอ คัพ จะเริ่มดวลกัน 15.00 น.
(ตามเวลาท้องถิ่น) เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ตั้งแต่ปี 2011 นับตั้งแต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ สโต๊ก ได้ 1-0 ในนัดชิง
หรือแม้แต่รอบชิงชนะเลิศฤดูกาลที่แล้วระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ก็เริ่มในเวลา 16.45 น.
สาเหตุที่ต้องขยับเวลาให้เร็วขึ้น
เนื่องจากตำรวจนครบาลของลอนดอน
ได้ประเมินแล้วว่าเกมประเภทดาร์บี้แมตช์นั้น
มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะนัดชิง
และไม่เห็นด้วยกับการเตะในเวลา 17.00 น. เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย หวั่นเกิดเหตุความรุนแรงจากแฟนบอลทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้
นัดชิงเอฟเอ คัพ ปกติจะเล่นในเดือนพฤษภาคม แต่หนนี้ก็เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน
เนื่องจากฤดูกาลที่จบช้า อันเป็นผลมาจากการแข่งขันฟุตบอลโลกที่กาตาร์
ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีที่แล้ว
ที่มา :
https://www.prachachat.net/spinoff/sport/news-1309774
เกร็ดน่ารู้ก่อนศึกผ่าเมือง ⚽️🏆🏴 เอฟเอ คัพ นัดชิง : แมนฯ ซิตี้ 💙 VS ❤ แมนฯ ยูไนเต็ด
เอฟเอ คัพ
เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่สุดในโลก โดยมีมาตั้งแต่ปี 1872
ความพิเศษของรอบชิงชนะเลิศปี 2023
คือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะเกิด
แมนเชสเตอร์ดาร์บีขึ้นในนัด เอฟเอ คัพ
ระหว่าง 2 ทีมดังแห่งเมืองแมนเชสเตอร์
การเข้าชิงในฤดูกาลนี้ ทำให้ปีศาจแดงมีสถิติเข้าชิงฟุตบอลถ้วยรายการนี้ มากที่สุดในเกาะอังกฤษ ด้วยจำนวน 21 ครั้ง เท่ากับทัพปืนใหญ่ “อาร์เซนอล” และเป็นแชมป์ไปถึง 12 สมัย
ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถทะลุเข้าสู่
รอบชิงได้ 11 ครั้ง และคว้าแชมป์ไป 6 สมัย
การชิงกันในครั้งนี้ จึงสร้างสีสันและเพิ่มดีกรีความมันส์ให้ เอฟเอ คัพ ไม่น้อย
โดยแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแชมป์ลีกคัพอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทีมใดก็ตามที่ได้ชูถ้วย เอฟเอ คัพ ในวันเสาร์นี้จะมีการเฉลิมฉลองมากกว่าปกติ
เช่นเดียวกับสิทธิ์ในการคุยโม้เป็นเดิมพัน
แมนฯ ซิตี้
ประสบความสำเร็จและยกระดับสโมสรขึ้นมา
ได้อย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ตู้ถ้วยรางวัลของเรือใบสีฟ้ากำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่ปีศาจแดงไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
มาตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 หลังบรมกุนซือ
อย่าง “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” วางมือ
ที่สำคัญเรือใบสีฟ้ายังอยู่ในเส้นทางที่จะคว้าทริปเปิลแชมป์ หากเอาชนะเพื่อนบ้านฝั่งสีแดงในนัดชิงที่เวมบลีย์ และ “อินเตอร์ มิลาน” ใน
นัดชิงแชมเปียนส์ลีก ที่จะฟาดแข้งวันเสาร์หน้า
หาก ซิตี้ ทำได้ พวกเขาจะทาบบารมี ยูไนเต็ด ที่เคยคว้า 3 แชมป์ ประวัติศาสตร์ ทั้ง
พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 1999 ภารกิจของพลพรรคผีแดง
จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดหายนะนี้
และคงความยิ่งใหญ่ให้อยู่กับทีมตัวเองต่อไป
“ปีเตอร์ ชไมเคิล” อดีตผู้รักษาประตูปีศาจแดงชุดทริปเปิลแชมป์ปี 1999 พูดแบบติดตลก
ในรอบรองที่ทีมพบกับไบรท์ตัน ว่า
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการเอาชนะไบรท์ตัน
และเข้าสู่รอบชิงจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเราจะมีโอกาสหยุดแมนฯ ซิตี้ ได้
ด้าน “เอริก เทน ฮาก” กุนซือปีศาจแดง กล่าวว่า เราจะทุ่มเททุกอย่าง ซึ่งผมหมายถึงทุกอย่าง ขอให้แฟน ๆ สามารถวางใจได้ เราต้องการมอบสิ่งนั้นให้กับแฟน ๆ
ดังนั้น สำหรับแฟน ยูไนเต็ด การหยุด ซิตี้ จึงสำคัญพอๆ กับการได้ดับเบิลแชมป์ในฤดูกาลนี้ หลังจากคว้าแชมป์คาราบาวคัพแล้ว
สาวกเรดเดวิลส์ถึงจะได้ร้องเพลงทั่วเมืองแมนเชสเตอร์อย่างภาคภูมิใจ ว่าพวกเขาคือทริปเปิ้ลแชมป์ทีมเดียวแห่งเกาะอังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เปป กวาร์ดิโอลา
เป็นปรากฏการณ์ของโลกลูกหนังยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง ในรายการ เอฟเอ คัพ ปีนี้
ทัพเรือใบสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการ
เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศโดยไม่เสียให้คู่แข่งแม้แต่ประตูเดียว ซึ่งเป็นการเจอทั้ง “เชลซี” และ “อาร์เซนอล” นับเป็นทีมแรกในรอบ 57 ปีที่ทำได้ต่อจาก “เอฟเวอร์ตัน” ที่เป็นแชมป์ในฤดูกาล 1965-66
ซิตี้ เริ่มต้น
ด้วยการเอา ชนะเชลซี 4-0 ในรอบแรก
จากนั้นก็เปิดบ้าน เฉือน อาร์เซนอล ไป 1-0
ในรอบถัดมา
เท่านั้นยังไม่พอ ระเบิดฟอร์มโหดบุกไปถล่ม “บริสตอล ซิตี้” 3-0 ประตู ในรอบ 5
เปิดบ้านกด “เบิร์นลี่ย์” ไปอีก 6-0 ประตู
ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
และเอาชนะ “เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด” ได้ 3-0 ประตูในรอบรองชนะเลิศ
สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เสียประตูในทุกรอบที่ผ่านเข้ามา
เริ่มด้วยการชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1
ชนะ “เร้ดดิ้ง” 3-1
ชนะ “เวสต์แฮม ยูไนเต็ด” 3-1
และชนะ “ฟูแล่ม” 3-1 ประตูเช่นกันในรอบ 8 ทีม ก่อนเสมอในเวลากับ “ไบรท์ตัน” ในรอบรอง
แต่แม่นโทษกว่า เอาชนะมาได้ 7-6 ประตู
ความพิเศษของแมนเชสเตอร์ดาร์บี้
นัดชิงครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทำให้ถ้วยรางวัล “Emirates FA Cup”
ได้ถูกสลักชื่อ “MANCHESTER” ไว้รอแล้ว
เหลือเติมแค่ “CITY” หรือ “UNITED” เท่านั้น
“เควิน เบเกอร์” ซีอีโอของ โธมัส ไลต์ กล่าวว่า เอฟเอ คัพ ติดต่อมาหาเราในฐานะผู้สร้างและดูแลถ้วยรางวัล พร้อมคำขอพิเศษ
สำหรับนัดชิงครั้งประวัติศาสตร์ ให้เราสลักคำว่า “MANCHESTER” บนถ้วยรางวัล
ก่อนดาร์บี้แมตช์จะเริ่มต้นขึ้น
นี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต
และการสลัก CITY หรือ UNITED
จะเป็นการสิ้นสุดกระบวนการ
หลังเกมในวันที่ 3 มิถุนายนนี้จบลง
มีทีมมากถึง 57 ทีมที่ได้เล่นในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ นับตั้งแต่ “วันเดอร์เรอร์ส” และ “รอยัล เอ็นจิเนียร์ส” ปะทะกันครั้งแรก
ที่สนามเคนนิงตัน โอวัล ในลอนดอนตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1872
แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 151 ปี
ที่ช่างแกะสลักมีโอกาสได้เริ่มงานของเขาก่อนที่นัดชิงจะเริ่มขึ้น
แม้ว่าทั้งคู่จะประสบความสำเร็จมามากมาย
แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยพบกันในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปในปีนี้
โดยแมนเชสเตอร์เป็นผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ขึ้นอยู่กับว่า สีฟ้า หรือ สีแดง
จะเดินออกจากเวมบลีย์ด้วยรอยยิ้ม
เอฟเอ คัพ
เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แม้เงินรางวัลจะไม่มากเท่าพรีเมียร์ลีก
หลายสโมสรสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
หลายล้าน จากการขยับขึ้นเพียง 2-3 อันดับ
ในตารางคะแนน ซึ่งอาจจะมากกว่าการผ่าน
เข้ารอบบอลถ้วยรายการนี้
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้มนต์ขลังของ เอฟเอ คัพ หมดลง
สำหรับทีมที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ จะได้เงินรางวัล 2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 86 ล้านบาท โดยรวมกับเงินรางวัลจากการผ่านเข้ามาในแต่ละรอบด้วย
ส่วนรองแชมป์จะได้ 1 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 43 ล้านบาท ซึ่งต่างกันเท่าตัวเลยทีเดียว
โดยปกติแล้วทีมจากพรีเมียร์ลีก
จะได้เล่นเอฟเอ คัพ ตั้งแต่รอบ 3 เป็นต้นไป
และหากไปถึงแชมป์ หมายความว่า
พวกเขาจะได้รับเงินรางวัลรวม 3.9 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 169 ล้านบาท
ส่วนทีมลีกรองหรือนอกลีกที่มีโอกาสเล่นตั้งแต่รอบแรก หากสามารถก้าวไปถึงถ้วยแชมป์
ซึ่งความเป็นไปได้ต่ำมาก พวกเขาจะได้รับ
เงินรางวัลรวมถึง 4.08 ล้านปอนด์
หรือประมาณ 176 ล้านบาทเลยทีเดียว
ความพร้อมของ แมนฯ ซิตี้ เรียกได้ว่าฟิต 100% หลังการันตีแชมป์พรีเมียร์ลีกก่อนจบฤดูกาล
ถึง 2 นัด ก็เก็บตัวผู้เล่นหลักให้พักชิว ๆ
บนม้านั่งสำรองเพื่อรอทำศึกใหญ่กับปีศาจแดงโดยเฉพาะ
ตรงกันข้ามกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังส่ง
ผู้เล่นตัวจริงเต็มอัตราลงดวลกับ “ฟูแล่ม”
ในพรีเมียร์ลีกเกมสุดท้าย รายชื่อตัวเจ็บ
จึงมีทั้ง แอนโทนี่, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล,
ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ มาร์เซล ซาบิตเซอร์
การพบกันในลีกฤดูกาลนี้บ้านใครบ้านมัน
สลับกันแพ้ชนะทีมละครั้ง
โดยนัดแรกเรือใบสีฟ้าเปิดบ้านถล่มไป 6-3
และนัดที่ 2 ปีศาจแดงเอาคืนได้ 2-1
ในบ้านตัวเองเช่นกัน
แต่หากนับสถิติที่พบกัน 5 นัดหลังสุดในลีก เรียกว่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือกว่าอยู่เต็มประดาเอาชนะไปได้ถึง 4 เกม
• 4/01/66 แมน ยูฯ 2-1 แมนฯ ซิตี้
• 2/10/65 แมนฯ ซิตี้ 6-3 แมน ยูฯ
• 6/03/65 แมนฯ ซิตี้ 4-1 แมน ยูฯ
• 6/11/64 แมน ยูฯ 0-2 แมนฯ ซิตี้
• 7/03/64 แมน ยูฯ 0-2 แมนฯ ซิตี้
แมนเชสเตอร์ดาร์บี้เวอร์ชั่นนัดชิง เอฟเอ คัพ
ที่จะเกิดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ คาดว่าจะมีผู้ชมเกือบ 90,000 คน โดย ซิตี้ และ ยูไนเต็ด
จะได้รับตั๋วทีมละ 30,500 ใบ เพื่อให้แฟนบอลเข้าชมเกม
นัดชิง เอฟเอ คัพ จะเริ่มดวลกัน 15.00 น.
(ตามเวลาท้องถิ่น) เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ตั้งแต่ปี 2011 นับตั้งแต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ สโต๊ก ได้ 1-0 ในนัดชิง
หรือแม้แต่รอบชิงชนะเลิศฤดูกาลที่แล้วระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ก็เริ่มในเวลา 16.45 น.
สาเหตุที่ต้องขยับเวลาให้เร็วขึ้น
เนื่องจากตำรวจนครบาลของลอนดอน
ได้ประเมินแล้วว่าเกมประเภทดาร์บี้แมตช์นั้น
มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะนัดชิง
และไม่เห็นด้วยกับการเตะในเวลา 17.00 น. เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย หวั่นเกิดเหตุความรุนแรงจากแฟนบอลทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้
นัดชิงเอฟเอ คัพ ปกติจะเล่นในเดือนพฤษภาคม แต่หนนี้ก็เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน
เนื่องจากฤดูกาลที่จบช้า อันเป็นผลมาจากการแข่งขันฟุตบอลโลกที่กาตาร์
ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปีที่แล้ว
ที่มา : https://www.prachachat.net/spinoff/sport/news-1309774