(สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีกเลย โปรดอ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ จนถึงตอนสุดท้ายของพระสูตร)
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕
ว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า
[๒๖] บัดนี้ เราเป็นพระสัมพุทธเจ้านามว่า โคดม เจริญในศากยสกุลเราบำเพ็ญเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิ
ต่อแต่นั้น เมื่อเราแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดา ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
ในคราวที่เรากล่าวสอนราหุลบุตรของเราบัดนี้ ณ ที่นี้แล ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
เรามีการประชุมพระสาวกผู้แสวงหาคุณใหญ่ครั้งเดียว ภิกษุที่ประชุมกันมี ๑๒๕๐ รูป
เราผู้ปราศจากมลทินรุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์
เราให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างเหมือนแก้วมณีให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น
เราประกาศจตุราริยสัจเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้หวังผล ผู้แสวงหาธรรมเครื่องละความพอใจในภพ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สองแสน ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์โดยจะคณนานับมิได้
คำสั่งสอนของเราผู้เป็นศากยมุนี กว้างขวางเจริญแพร่หลายงอกงามดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
ภิกษุหลายร้อยล้วนเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคงแวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อในกาลบัดนี้
ภิกษุเหล่าใด เป็นพระเสขะยังมิได้บรรลุอรหัตละภพมนุษย์ไป ภิกษุเหล่านั้น วิญญูชนตำหนิ
ชนทั้งหลายผู้ชอบใจทางพระอริยเจ้า ยินดีในธรรมทุกเมื่อ มีปัญญารุ่งเรือง ถึงจะยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็จักตรัสรู้ได้
นครของเราชื่อกบิลพัสดุ์พระเจ้าสุทโธทนะเป็นโยมบิดาของเรา โยมมารดาบังเกิดเกล้าของเรา เรียกพระนามว่า มายาเทวี
เราครอบครองอาคารสถานอยู่ ๒๙ ปีมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุจันทะ โกกนุทะ และโกญจะ มีสนมนารีกำนัลในแปดหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม
มเหสีของเรานามว่า ยโสธรา บุตรชายของเราชื่อว่าราหุล
เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยอัสวราชยาน ได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
เราประกาศธรรมจักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าชื่อว่าโคดม เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง
ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะ เป็นอัครสาวกของเรา ภิกษุชื่ออานนทะ เป็นอุปัฏฐาก อยู่ในสำนักของเรา
ภิกษุณีชื่อเขมาและอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกา
จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมาดาและอุตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
เราบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์
เรามีรัศมีซ่านออกด้านละวาทุกเมื่อสูงขึ้นไป ๑๖ ศอก บัดนี้
อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น ก็ช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
เราตั้งคบเพลิงคือธรรมไว้สำหรับให้คนภายหลังได้ตรัสรู้
อีกไม่นานเลย แม้เรากับสงฆ์สาวกก็จักนิพพาน ณ ที่นี้แลเพราะสิ้นอาหาร เหมือน ไฟสิ้นเชื้อ ฉะนั้น
เรามีร่างกายเป็นเครื่องทรงคุณ คือ เดชอันไม่มี เทียบเคียง ยศ กำลังและฤทธิ์เหล่านี้ วิจิตด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีรัศมี ๖ ประการสว่างไสวไปทั่วทิศน้อยใหญ่ดุจพระอาทิตย์ ทุกอย่างจักหายไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ ฉะนี้แล.
จบโคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๘๕๑๗ - ๘๕๖๒. หน้าที่ ๓๖๔ - ๓๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8517&Z=8562&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=206
ความเป็นจริง ที่พระพุทธเจ้า ตรัสถึงพระองค์เอง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
โคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕
ว่าด้วยพระประวัติพระโคตมพุทธเจ้า
[๒๖] บัดนี้ เราเป็นพระสัมพุทธเจ้านามว่า โคดม เจริญในศากยสกุลเราบำเพ็ญเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม
อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ ๑๘ โกฏิ
ต่อแต่นั้น เมื่อเราแสดงธรรมในสมาคมมนุษย์และเทวดา ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
ในคราวที่เรากล่าวสอนราหุลบุตรของเราบัดนี้ ณ ที่นี้แล ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ จะพึงกล่าวโดยคำนวณนับมิได้
เรามีการประชุมพระสาวกผู้แสวงหาคุณใหญ่ครั้งเดียว ภิกษุที่ประชุมกันมี ๑๒๕๐ รูป
เราผู้ปราศจากมลทินรุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์
เราให้สิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างเหมือนแก้วมณีให้สิ่งที่ต้องการทั้งปวง ฉะนั้น
เราประกาศจตุราริยสัจเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย ผู้หวังผล ผู้แสวงหาธรรมเครื่องละความพอใจในภพ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์สองแสน ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์โดยจะคณนานับมิได้
คำสั่งสอนของเราผู้เป็นศากยมุนี กว้างขวางเจริญแพร่หลายงอกงามดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
ภิกษุหลายร้อยล้วนเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคงแวดล้อมเราอยู่ทุกเมื่อในกาลบัดนี้
ภิกษุเหล่าใด เป็นพระเสขะยังมิได้บรรลุอรหัตละภพมนุษย์ไป ภิกษุเหล่านั้น วิญญูชนตำหนิ
ชนทั้งหลายผู้ชอบใจทางพระอริยเจ้า ยินดีในธรรมทุกเมื่อ มีปัญญารุ่งเรือง ถึงจะยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร ก็จักตรัสรู้ได้
นครของเราชื่อกบิลพัสดุ์พระเจ้าสุทโธทนะเป็นโยมบิดาของเรา โยมมารดาบังเกิดเกล้าของเรา เรียกพระนามว่า มายาเทวี
เราครอบครองอาคารสถานอยู่ ๒๙ ปีมีปราสาทอันประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุจันทะ โกกนุทะ และโกญจะ มีสนมนารีกำนัลในแปดหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวยงาม
มเหสีของเรานามว่า ยโสธรา บุตรชายของเราชื่อว่าราหุล
เราเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกผนวชด้วยอัสวราชยาน ได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี
เราประกาศธรรมจักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เราเป็นพระสัมพุทธเจ้าชื่อว่าโคดม เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง
ภิกษุ ๒ รูป ชื่ออุปติสสะและโกลิตะ เป็นอัครสาวกของเรา ภิกษุชื่ออานนทะ เป็นอุปัฏฐาก อยู่ในสำนักของเรา
ภิกษุณีชื่อเขมาและอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกา
จิตตคฤหบดีและหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี เป็นอัครอุปัฏฐาก
นันทมาดาและอุตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา
เราบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์
เรามีรัศมีซ่านออกด้านละวาทุกเมื่อสูงขึ้นไป ๑๖ ศอก บัดนี้
อายุของเราน้อย มี ๑๐๐ ปี ถึงเราจะดำรงอยู่เพียงนั้น ก็ช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย
เราตั้งคบเพลิงคือธรรมไว้สำหรับให้คนภายหลังได้ตรัสรู้
อีกไม่นานเลย แม้เรากับสงฆ์สาวกก็จักนิพพาน ณ ที่นี้แลเพราะสิ้นอาหาร เหมือน ไฟสิ้นเชื้อ ฉะนั้น
เรามีร่างกายเป็นเครื่องทรงคุณ คือ เดชอันไม่มี เทียบเคียง ยศ กำลังและฤทธิ์เหล่านี้ วิจิตด้วยลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มีรัศมี ๖ ประการสว่างไสวไปทั่วทิศน้อยใหญ่ดุจพระอาทิตย์ ทุกอย่างจักหายไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ ฉะนี้แล.
จบโคตมพุทธวงศ์ที่ ๒๕
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๘๕๑๗ - ๘๕๖๒. หน้าที่ ๓๖๔ - ๓๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=33&A=8517&Z=8562&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=206