พาดหัวข่าวอย่างนี้ ก็เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ข่าวกระเซ็นกระสายมาให้ได้ยินว่า สินทรัพย์ ที่ว่ามากแล้วของอดีตนายกรัฐมนตรีสัญชาตมอนเตเนโกร ยังต้องชิดซ้ายเมื่อเจอหลวงพ่อธัมมชโยกับวัดพระธรรมกาย
เงิน ทอง ฯลฯ ที่หลั่งไหลเข้าวัดพระธรรมกายด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าของบรรดากัลยาณมิตรนั้น ทำให้วัดพระธรรมกาย เป็นวัดที่มีทรัพย์สินมหาศาลจริงๆ ลำพังแค่ภายในวัดพระธรรมกาย ที่ตั้งอยู่ ต.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ก็อยู่บนที่ดินไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ ไหนจะสิ่งก่อสร้างที่ล้วนมหึมามโหฬาร ไม่ว่าจะเป็นมหาธรรมกายเจดีย์ มหาวิหารคต อุโบสถ อาคารปฏิบัติธรรม ฯลฯ ดูแล้วตระการตาไปหมด
วิธี “ดูดทรัพย์” นั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าไร้เทียมทาน ที่นี่ยิ่งบริจาคทรัพย์มากยิ่งได้บุญมาก (เขาว่ากันมาอย่างนั้น) ขายไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะขายบุญ ขายอภินิหาร ขายพระพุทธรูป ขายวัตถุมงคล แถมยังมีโปรโมชั่น กู้ก่อนแล้วผ่อนทีหลัง ที่สำคัญ ประกาศชัดเจนว่า ‘เช็คไม่รับ รับแต่เงินสด นะจ๊ะ’
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสุดล้ำเลิศกับการมีพื้นที่สื่อของตัวเองทั้ง เว็บไซต์ นิตยสาร และแม้กระทั่งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “DMC”
แกนนำผู้สนับสนุนรายใหญ่ของวัดมีคนดังๆ ทั้งนั้น นักธุรกิจติดอันดับ คหบดี เศรษฐี อย่าง อนันต์ อัศวโภคิน, บุญชัย เบญจรงคกุล, ลีลาวดี วัชโรทัย ฯลฯ
นอกจากการขายแล้ว เบื้องหลังยังมีการทำ CRM อีกต่างหาก ด้วยฐานข้อมูลสมาชิกขนาดใหญ่ คิดดูแล้วกันในปี 2532 มีการเดินไฟเบอร์ออปติคไปทั่ววัด สร้างระบบฐานข้อมูลเพื่อหวังสร้างคอนเนกชั่น พร้อมๆ ไปกับทำ R&D
รายละเอียดสมาชิกทั้ง วันเกิด รายได้ ครอบครัว งานอดิเรก อาชีพจริง อาชีพหลอก หรือกระทั่งเมียน้อยกี่คน ก็มีให้เก็บเอาไว้ นัยว่า ถึงวันเกิดทีก็จะได้รับบัตรอวยพรที่ส่งไปให้ หรือกัลยาณมิตรคนไหน เริ่มศรัทธาง่อนแง่น ก็จะมี “หน่วยศรัทธาภิบาล” ประกบโทร.ไป “หนุนใจ” เสริมศรัทธาให้แน่นปึ้กขึ้นไปอีก
แต่ขอบอกว่า เมื่อทำฐานข้อมูลนี้แล้วเสร็จ เลยทำให้เห็นความจริงกันว่า เมียน้อย นี่แหละเป็นกำลังสำคัญ นำพาบรรดาอาเสี่ย เศรษฐี ตามเข้ามาอีกมากมาย
ว่าไปแล้ว ไม่ใช่อะไรที่ไหนที่ทำให้ทั้งคนและเงินไหลเข้ามามากมายเช่นนี้ แต่คือ “ศรัทธา” หรือ faithful นี่แหละ ยิ่งศรัทธามากยิ่งจ่ายมาก เลยมีการหยิบฉวยเอาความศรัทธานี้มาทำการตลาด จนประสบความสำเร็จ (ย้อนอ่านเรื่อง ศรัทธา เพิ่มเติมได้ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ว่าด้วยเรื่อง “เชื่อฉัน Believe, Trust, Faithful Marketing”)
เห็นอย่างนี้แล้ว เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อศรัทธาเยอะซะขนาดนี้ จะมีวิธีเก็บ และ ขยายสินทรัพย์ที่ได้มาอย่างไรบ้าง
วันดีคืนดี มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นว่า สมาคมพุทธศาสตร์สากล ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหามังคลาจารย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งวัดพระธรรมกาย บริจาคเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่ออบรมเยาวชน ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น เพื่อยกระดับมาตรฐานศีลธรรมเชิงบูรณาการ แต่เงินขนาดนี้ ก็ถือว่าจิ๊บๆ สำหรับวัดพระธรรมกาย
ครั้งหนึ่งหากจำกันได้ เรื่องการปั่นหุ้น ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือ “บีบีซี” เมื่อปี 2535 ของชายชื่อ “เสี่ยสอง” หรือ “สอง วัชรศรีโรจน์” บุคคลในตำนานของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเมื่อสาวไปสาวมาก็ไปเกี่ยวของกับวัดพระธรรมกาย
คราวนั้นเกือบจะเทคโอเวอร์ได้สำเร็จอยู่แล้ว ช้าไปเพียงนิดเดียว ด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไหวตัวทัน เดินทางไปพบ วีระพงษ์ รามางกูร กลางดึก วันรุ่งขึ้นจึงมีการแขวนป้ายห้ามซื้อขายหุ้นบีบีซี และว่ากันว่า เหตุการณ์นี้ ทำให้พระธัมมชโย สูญเงินไปร่วม 10,000 ล้านบาท ทีเดียว
มโน เลาหวณิช ประธานมูลนิธิชีวันตารักษ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดพระธรรมกาย และมีความสำคัญในระดับไม่ต่ำกว่าหมายเลข 3 ของวัดพระธรรมกาย ก่อนจะเดินออกมาจากวัดพระธรรมกายเมื่อปี 2534 หวนความทรงจำเล่าให้ MBA ฟัง ว่า เรื่องการเงินการทองในวัดพระธรรมกายนั้น เป็นเสมือนหลุมดำมืด ที่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่ามีเท่าไหร่กันแน่ ในสมัยก่อนเริ่มแรกเดิมทีการเบิกจ่ายเงินในแต่ละครั้ง จะต้องใช้ถึง 3 ลายเซ็นประกอบกัน แต่ตั้งแต่ปี 2530 เหลือเพียงลายเซ็นของพระธัมมชโยเพียงผู้เดียว
ด้วยวิธีจัดการของพระธัมมชโย แบบแบ่งกันรู้แยกกันทำ กล่าวคือ จะไม่มีใครที่รู้เรื่องสินทรัพย์ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินทรัพย์ในความครอบครองของพระ ธัมมชโย บางคนรู้เรื่องนี้ ขณะที่อีกคนรู้เรื่องนั้น และอีกคนก็รู้อีกเรื่อง จิ๊กซอว์ที่ว่าด้วยเรื่องเงินจึงยากที่จะต่อได้ครบ หรือเห็นภาพชัดๆ บางทีกฐินที่เหล่ากัลยาณมิตรนำมาทอด ยังไม่มีใครรู้เลยว่ายอดเงินจริงๆ เป็นเท่าไหร่
แต่ที่แน่ๆ “บุญนะจ๊ะ! บุญทั้งนั้นแหล่ะจ๊ะ!” เพียงเท่านี้ ก็ทำให้วันหนึ่งๆ มีเงินไหลเข้าวัดพระธรรมกายร่วม 10 ล้านบาทแล้ว
เงินเข้า ไม่รู้ เงินออก ก็ไม่รู้ แถมยังได้อานิสงส์ จากการไม่ต้องเสียภาษีอีก งานนี้เลยรับไปเต็มๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากการประมาณโดยสายตาในช่วงที่ คุณหมอมโน ยังอยู่วัดพระธรรมกาย ทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายน่าจะมีถึง 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าเป็นของส่วนตัวพระธัมมชโยแล้วจะสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท ยืนยันได้จากคำพูดของพระธัมมชโยที่เคยบอกกล่าวกับคุณหมอมโน เองว่า “สามารถสร้างวัดอย่างนี้ได้อีกถึง 5 แห่ง” แต่ถ้าถึงตอนนี้ ดีดลูกคิดไปมาแล้วน่าจะถึง “แสนล้านบาท” คิดดู เพียงที่ดิน 2,000 ไร่ บวกรวมกับ มหาธรรมกายเจดีย์มีมูลค่าเหยียบถึง 30,000 ล้านบาท มหาวิหารหลวงปู่ มหาวิหารคุณยายอาจารย์ มหาวิหารคต สภาธรรมกายสากล ฯลฯ จะมูลค่ามหาศาลขนาดไหน
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ เพราะดูเหมือนว่าพระธัมมชโย จะชมชอบการสะสมที่ดินเป็นพิเศษ มีทั้งซื้อเก็บและซื้อเพื่อการลงทุน
อย่างปี 2528 เกาะเดียวในอ่าวไทยที่มีน้ำตก ใกล้กับเกาะช้าง ซึ่งเป็นที่ นส. 3 พระธัมมชโย ท่านว่า ‘ขายหลวงพ่อเถิด จะเอาไปทำสถานที่ปฏิบัติธรรม’ ผู้ขายมีจิตศรัทธาอยากร่วมทำบุญด้วย จึงรับทรัพย์แลกกับการขายที่ดินไปเพียง 2 ล้านบาท ครั้นถัดมาปี 2529 พระธัมมชโย ก็ไม่รอช้าที่จะขายที่นั้นออกไปให้กับนายทุนเพื่อทำรีสอร์ท โดยได้รับทรัพย์กลับเข้ากระเป๋าไปเบาะๆ 200 ล้านบาท
หรือมีเสียงเล่ามาว่า ที่ดินกลางหุบเขา มีธารน้ำไหล กว้างใหญ่ถึง 5,000 ไร่ ที่อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ ต้องตาต้องใจพระธัมมชโยนัก เรื่องเงินทองนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เรื่องชาวบ้านที่ไม่ยอมขายนี่สิ กลายเป็นปัญหาหนักหัวใจ แต่แล้วก็มีผู้มีอำนาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้ ชาวบ้านเองก็ไม่มีปัญญากล้าขัด เมื่อซื้อปุ๊บก็เอารั้วคอนกรีตมากั้นเขตแดนทันที ส่วนชาวบ้านจากเจ้าของที่ก็กลายมาเป็นคนงานในวัดไปซะนี่
หรือที่ดินที่จ.พิจิตร ทั้งๆ ที่ทางราชการ ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไปว่ามีเหมืองทอง แต่พระธัมมชโยกลับล่วงรู้ เจ้าของที่ประกาศจะขายก็ต่อเมื่อจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ที่ดิน 1,000 ไร่ๆ ละ 2 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เมื่ออยากได้ เลยแอบได้ยินว่ามีการขนเงินสดๆ 2,000 ล้านบาท บินตรงจากกรุงเทพฯ โดยเฮลิปคอปเตอร์ไปส่งให้ถึงมือไม่ขาดไม่เกินเลยจ๊ะ
ตามที่ได้ยินกันมาบ้าง อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าพ่อ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งประกาศตัวเป็นศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อนันต์ เองก็แสวงหาผลประโยชน์จากวัด เพราะลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีตำแหน่ง ร่ำรวย การสานต่อคอนเนกชั่นจึงทำได้ง่ายๆ หรืออาจจะทำให้ได้งานต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องมาจากวัดพระธรรมกาย
แต่กระนั้น ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่า ด้วยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนี้ พระธัมมชโย จะร่วมลงทุนไปกับ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ LH Bank ไปเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้ว เรื่องของ “นอมินี” ก็มีมิใช่น้อย ทั้งสีกา ญาติโยม ที่เปิดบริษัท เอาเงินไปลงทุนให้ที 100 ล้าน 500 ล้านบาท ที่พอจะรู้ก็บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทค้าอาวุธ ซึ่ง คุณหมอมโน ว่าอ่านเอกสารจดทะเบียนกับตา จับมากับมือ มาแล้ว
พูดถึงเรื่องนอมินี มีเรื่องนอมินีมีที่เป็นตลกร้ายมาเล่าสู่กันฟัง ครั้งหนึ่งเมื่อลูกศิษย์ เข้าไปขอพรพระธัมมชโย ด้วยหวังประมูลงานๆ หนึ่งกับหน่วยงานราชการ ที่เล็งเห็นช่องทางเพราะไม่มีคู่แข่งขัน พระธัมมชโย สนใจเลยซักถามรายละเอียดซะยกใหญ่ พอถึงเวลาไปประมูลงานจริง ปรากฏว่ามีบริษัทคู่แข่งจากไหนไม่รู้โผล่ขึ้นมาด้วย แถมยังคว้างานนี้ไปอีกต่างหาก ครั้นสืบไปสืบมา เลยถึงบางอ้อ ว่าที่แท้แล้วเป็นบริษัทลูกศิษย์พระธัมมชโยอีกคน ที่สวมหน้ากากเป็นนอมินีให้ด้วยซ้ำไป
นี่แหละผลของการเมา “บุญนะจ๊ะ! บุญทั้งนั้นแหล่ะจ๊ะ!” มีให้เห็นทันตาเลย นะจ๊ะ!!
cr.
http://www.mbamagazine.net/index.php/finance-blog/181-m-m-s-v15-181
อู้ฟู่....จริงนะจ๊ะ นะเจ๊
เงิน ทอง ฯลฯ ที่หลั่งไหลเข้าวัดพระธรรมกายด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าของบรรดากัลยาณมิตรนั้น ทำให้วัดพระธรรมกาย เป็นวัดที่มีทรัพย์สินมหาศาลจริงๆ ลำพังแค่ภายในวัดพระธรรมกาย ที่ตั้งอยู่ ต.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ก็อยู่บนที่ดินไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ ไหนจะสิ่งก่อสร้างที่ล้วนมหึมามโหฬาร ไม่ว่าจะเป็นมหาธรรมกายเจดีย์ มหาวิหารคต อุโบสถ อาคารปฏิบัติธรรม ฯลฯ ดูแล้วตระการตาไปหมด
วิธี “ดูดทรัพย์” นั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าไร้เทียมทาน ที่นี่ยิ่งบริจาคทรัพย์มากยิ่งได้บุญมาก (เขาว่ากันมาอย่างนั้น) ขายไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะขายบุญ ขายอภินิหาร ขายพระพุทธรูป ขายวัตถุมงคล แถมยังมีโปรโมชั่น กู้ก่อนแล้วผ่อนทีหลัง ที่สำคัญ ประกาศชัดเจนว่า ‘เช็คไม่รับ รับแต่เงินสด นะจ๊ะ’
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสุดล้ำเลิศกับการมีพื้นที่สื่อของตัวเองทั้ง เว็บไซต์ นิตยสาร และแม้กระทั่งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “DMC”
แกนนำผู้สนับสนุนรายใหญ่ของวัดมีคนดังๆ ทั้งนั้น นักธุรกิจติดอันดับ คหบดี เศรษฐี อย่าง อนันต์ อัศวโภคิน, บุญชัย เบญจรงคกุล, ลีลาวดี วัชโรทัย ฯลฯ
นอกจากการขายแล้ว เบื้องหลังยังมีการทำ CRM อีกต่างหาก ด้วยฐานข้อมูลสมาชิกขนาดใหญ่ คิดดูแล้วกันในปี 2532 มีการเดินไฟเบอร์ออปติคไปทั่ววัด สร้างระบบฐานข้อมูลเพื่อหวังสร้างคอนเนกชั่น พร้อมๆ ไปกับทำ R&D
รายละเอียดสมาชิกทั้ง วันเกิด รายได้ ครอบครัว งานอดิเรก อาชีพจริง อาชีพหลอก หรือกระทั่งเมียน้อยกี่คน ก็มีให้เก็บเอาไว้ นัยว่า ถึงวันเกิดทีก็จะได้รับบัตรอวยพรที่ส่งไปให้ หรือกัลยาณมิตรคนไหน เริ่มศรัทธาง่อนแง่น ก็จะมี “หน่วยศรัทธาภิบาล” ประกบโทร.ไป “หนุนใจ” เสริมศรัทธาให้แน่นปึ้กขึ้นไปอีก
แต่ขอบอกว่า เมื่อทำฐานข้อมูลนี้แล้วเสร็จ เลยทำให้เห็นความจริงกันว่า เมียน้อย นี่แหละเป็นกำลังสำคัญ นำพาบรรดาอาเสี่ย เศรษฐี ตามเข้ามาอีกมากมาย
ว่าไปแล้ว ไม่ใช่อะไรที่ไหนที่ทำให้ทั้งคนและเงินไหลเข้ามามากมายเช่นนี้ แต่คือ “ศรัทธา” หรือ faithful นี่แหละ ยิ่งศรัทธามากยิ่งจ่ายมาก เลยมีการหยิบฉวยเอาความศรัทธานี้มาทำการตลาด จนประสบความสำเร็จ (ย้อนอ่านเรื่อง ศรัทธา เพิ่มเติมได้ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ว่าด้วยเรื่อง “เชื่อฉัน Believe, Trust, Faithful Marketing”)
เห็นอย่างนี้แล้ว เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อศรัทธาเยอะซะขนาดนี้ จะมีวิธีเก็บ และ ขยายสินทรัพย์ที่ได้มาอย่างไรบ้าง
วันดีคืนดี มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นว่า สมาคมพุทธศาสตร์สากล ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหามังคลาจารย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งวัดพระธรรมกาย บริจาคเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่ออบรมเยาวชน ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น เพื่อยกระดับมาตรฐานศีลธรรมเชิงบูรณาการ แต่เงินขนาดนี้ ก็ถือว่าจิ๊บๆ สำหรับวัดพระธรรมกาย
ครั้งหนึ่งหากจำกันได้ เรื่องการปั่นหุ้น ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือ “บีบีซี” เมื่อปี 2535 ของชายชื่อ “เสี่ยสอง” หรือ “สอง วัชรศรีโรจน์” บุคคลในตำนานของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเมื่อสาวไปสาวมาก็ไปเกี่ยวของกับวัดพระธรรมกาย
คราวนั้นเกือบจะเทคโอเวอร์ได้สำเร็จอยู่แล้ว ช้าไปเพียงนิดเดียว ด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไหวตัวทัน เดินทางไปพบ วีระพงษ์ รามางกูร กลางดึก วันรุ่งขึ้นจึงมีการแขวนป้ายห้ามซื้อขายหุ้นบีบีซี และว่ากันว่า เหตุการณ์นี้ ทำให้พระธัมมชโย สูญเงินไปร่วม 10,000 ล้านบาท ทีเดียว
มโน เลาหวณิช ประธานมูลนิธิชีวันตารักษ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยบวชเป็นพระสงฆ์ที่วัดพระธรรมกาย และมีความสำคัญในระดับไม่ต่ำกว่าหมายเลข 3 ของวัดพระธรรมกาย ก่อนจะเดินออกมาจากวัดพระธรรมกายเมื่อปี 2534 หวนความทรงจำเล่าให้ MBA ฟัง ว่า เรื่องการเงินการทองในวัดพระธรรมกายนั้น เป็นเสมือนหลุมดำมืด ที่ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่ามีเท่าไหร่กันแน่ ในสมัยก่อนเริ่มแรกเดิมทีการเบิกจ่ายเงินในแต่ละครั้ง จะต้องใช้ถึง 3 ลายเซ็นประกอบกัน แต่ตั้งแต่ปี 2530 เหลือเพียงลายเซ็นของพระธัมมชโยเพียงผู้เดียว
ด้วยวิธีจัดการของพระธัมมชโย แบบแบ่งกันรู้แยกกันทำ กล่าวคือ จะไม่มีใครที่รู้เรื่องสินทรัพย์ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินทรัพย์ในความครอบครองของพระ ธัมมชโย บางคนรู้เรื่องนี้ ขณะที่อีกคนรู้เรื่องนั้น และอีกคนก็รู้อีกเรื่อง จิ๊กซอว์ที่ว่าด้วยเรื่องเงินจึงยากที่จะต่อได้ครบ หรือเห็นภาพชัดๆ บางทีกฐินที่เหล่ากัลยาณมิตรนำมาทอด ยังไม่มีใครรู้เลยว่ายอดเงินจริงๆ เป็นเท่าไหร่
แต่ที่แน่ๆ “บุญนะจ๊ะ! บุญทั้งนั้นแหล่ะจ๊ะ!” เพียงเท่านี้ ก็ทำให้วันหนึ่งๆ มีเงินไหลเข้าวัดพระธรรมกายร่วม 10 ล้านบาทแล้ว
เงินเข้า ไม่รู้ เงินออก ก็ไม่รู้ แถมยังได้อานิสงส์ จากการไม่ต้องเสียภาษีอีก งานนี้เลยรับไปเต็มๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากการประมาณโดยสายตาในช่วงที่ คุณหมอมโน ยังอยู่วัดพระธรรมกาย ทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายน่าจะมีถึง 1 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าเป็นของส่วนตัวพระธัมมชโยแล้วจะสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท ยืนยันได้จากคำพูดของพระธัมมชโยที่เคยบอกกล่าวกับคุณหมอมโน เองว่า “สามารถสร้างวัดอย่างนี้ได้อีกถึง 5 แห่ง” แต่ถ้าถึงตอนนี้ ดีดลูกคิดไปมาแล้วน่าจะถึง “แสนล้านบาท” คิดดู เพียงที่ดิน 2,000 ไร่ บวกรวมกับ มหาธรรมกายเจดีย์มีมูลค่าเหยียบถึง 30,000 ล้านบาท มหาวิหารหลวงปู่ มหาวิหารคุณยายอาจารย์ มหาวิหารคต สภาธรรมกายสากล ฯลฯ จะมูลค่ามหาศาลขนาดไหน
ไม่ใช่เพียงแค่นี้ เพราะดูเหมือนว่าพระธัมมชโย จะชมชอบการสะสมที่ดินเป็นพิเศษ มีทั้งซื้อเก็บและซื้อเพื่อการลงทุน
อย่างปี 2528 เกาะเดียวในอ่าวไทยที่มีน้ำตก ใกล้กับเกาะช้าง ซึ่งเป็นที่ นส. 3 พระธัมมชโย ท่านว่า ‘ขายหลวงพ่อเถิด จะเอาไปทำสถานที่ปฏิบัติธรรม’ ผู้ขายมีจิตศรัทธาอยากร่วมทำบุญด้วย จึงรับทรัพย์แลกกับการขายที่ดินไปเพียง 2 ล้านบาท ครั้นถัดมาปี 2529 พระธัมมชโย ก็ไม่รอช้าที่จะขายที่นั้นออกไปให้กับนายทุนเพื่อทำรีสอร์ท โดยได้รับทรัพย์กลับเข้ากระเป๋าไปเบาะๆ 200 ล้านบาท
หรือมีเสียงเล่ามาว่า ที่ดินกลางหุบเขา มีธารน้ำไหล กว้างใหญ่ถึง 5,000 ไร่ ที่อำเภอฮอด จ.เชียงใหม่ ต้องตาต้องใจพระธัมมชโยนัก เรื่องเงินทองนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เรื่องชาวบ้านที่ไม่ยอมขายนี่สิ กลายเป็นปัญหาหนักหัวใจ แต่แล้วก็มีผู้มีอำนาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้ ชาวบ้านเองก็ไม่มีปัญญากล้าขัด เมื่อซื้อปุ๊บก็เอารั้วคอนกรีตมากั้นเขตแดนทันที ส่วนชาวบ้านจากเจ้าของที่ก็กลายมาเป็นคนงานในวัดไปซะนี่
หรือที่ดินที่จ.พิจิตร ทั้งๆ ที่ทางราชการ ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไปว่ามีเหมืองทอง แต่พระธัมมชโยกลับล่วงรู้ เจ้าของที่ประกาศจะขายก็ต่อเมื่อจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ที่ดิน 1,000 ไร่ๆ ละ 2 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เมื่ออยากได้ เลยแอบได้ยินว่ามีการขนเงินสดๆ 2,000 ล้านบาท บินตรงจากกรุงเทพฯ โดยเฮลิปคอปเตอร์ไปส่งให้ถึงมือไม่ขาดไม่เกินเลยจ๊ะ
ตามที่ได้ยินกันมาบ้าง อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าพ่อ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งประกาศตัวเป็นศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อนันต์ เองก็แสวงหาผลประโยชน์จากวัด เพราะลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีตำแหน่ง ร่ำรวย การสานต่อคอนเนกชั่นจึงทำได้ง่ายๆ หรืออาจจะทำให้ได้งานต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องมาจากวัดพระธรรมกาย
แต่กระนั้น ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่า ด้วยความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนี้ พระธัมมชโย จะร่วมลงทุนไปกับ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ LH Bank ไปเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้ว เรื่องของ “นอมินี” ก็มีมิใช่น้อย ทั้งสีกา ญาติโยม ที่เปิดบริษัท เอาเงินไปลงทุนให้ที 100 ล้าน 500 ล้านบาท ที่พอจะรู้ก็บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทค้าอาวุธ ซึ่ง คุณหมอมโน ว่าอ่านเอกสารจดทะเบียนกับตา จับมากับมือ มาแล้ว
พูดถึงเรื่องนอมินี มีเรื่องนอมินีมีที่เป็นตลกร้ายมาเล่าสู่กันฟัง ครั้งหนึ่งเมื่อลูกศิษย์ เข้าไปขอพรพระธัมมชโย ด้วยหวังประมูลงานๆ หนึ่งกับหน่วยงานราชการ ที่เล็งเห็นช่องทางเพราะไม่มีคู่แข่งขัน พระธัมมชโย สนใจเลยซักถามรายละเอียดซะยกใหญ่ พอถึงเวลาไปประมูลงานจริง ปรากฏว่ามีบริษัทคู่แข่งจากไหนไม่รู้โผล่ขึ้นมาด้วย แถมยังคว้างานนี้ไปอีกต่างหาก ครั้นสืบไปสืบมา เลยถึงบางอ้อ ว่าที่แท้แล้วเป็นบริษัทลูกศิษย์พระธัมมชโยอีกคน ที่สวมหน้ากากเป็นนอมินีให้ด้วยซ้ำไป
นี่แหละผลของการเมา “บุญนะจ๊ะ! บุญทั้งนั้นแหล่ะจ๊ะ!” มีให้เห็นทันตาเลย นะจ๊ะ!!
cr.http://www.mbamagazine.net/index.php/finance-blog/181-m-m-s-v15-181